บทสรุปเนื้อเรื่องนี้จะเขียนให้รูปแบบ Chronologically คือเรียงตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากลำดับการเล่นในเกมหรือสิ่งที่ตัวละครรับรู้นะครับ เนื่องจากเชื่อว่าการเขียนลักษณะนี้จะครอบคลุมเนื้อหาและรายละเอียดได้มากกว่า และแน่นอนว่าสปอยล์หนักหน่วงมาก ใครที่ยังไม่ได้เล่นหรืออยากเสพย์เนื้อเรื่องของเกมซีรี่ส์นี้ด้วยตัวเองก่อนก็ระวังกันด้วยนะครับ
สำหรับสรุปนี้จะเป็นตอนที่ 1 ของซีรี่ส์ สรุปเนื้อเรื่องเกม Persona 5 โดยจะเล่าถึงกฏเกณฑ์ อดีต และที่มาที่ไปต่างๆภายในเกม จนถึงจุดเริ่มต้นของเกมในวันเปิดภาคการศึกษาต้นของตัวเอก เป็นการปูพื้นฐานต่างๆก่อนจะเข้าสู่เหตุการณ์หลักที่จะเกิดขึ้นภายในเกม ใครที่สนใจอยากอ่านเรื่องราวของเหตุการณ์หลักในตัวเกม สามารถข้ามไปอ่านได้ที่ลิ้งก์ต่อไปนี้เลยครับ
- ตอนที่ 2 : เหล่าจอมโจรผู้ทวงคืนความยุติธรรม
- ตอนที่ 3 : หลุมพรางของความสำเร็จ
- ตอนที่ 4 : บทสรุปของเกมแห่งชะตากรรม
เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย
เรื่องราวใน Persona 5 นั้นเกิดจากแนวคิดที่ว่า นอกจากโลกแห่งวัตถุที่เราอาศัยอยู่กันแล้ว ยังมีโลกที่เป็นเหมือนอีกด้านหนึ่งของเหรียญซ้อนทับกับโลกนี้อยู่ เป็นโลกที่เกิดจาก การรับรู้ (Cognition) ภายในจิตใจของมนุษย์แต่ละคน เป็นเหมือนภาพสะท้อนจิตใจและความคิดของผู้คนที่มีต่อโลกความเป็นจริง เราเรียกสิ่งนี้ว่า Metaverse หรือ Cognitive World (โลกแห่งการรับรู้)
อย่างไรก็ตาม Metaverse เป็นเพียงแค่คอนเส็ปต์ในเชิงนามธรรม ไม่ได้มีตัวตนเป็นวัตถุจับต้องได้จริง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเปรียบเปรยเพื่ออธิบายปรากฏการร์ทางความคิด อารมณ์ ความรู้สึกให้เป็นรูปธรรมเท่านั้น
การถือกำเนิดของโลกอีกด้านหนึ่ง
เนิ่นน่านก่อนที่เหตุการณ์ในเกมจะเริ่มขึ้น
ในโลกของเราที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนต่างเริ่มเบื่อหน่ายและยอมแพ้ที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง การพยายามเป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจอะไรๆด้วยตัวเอง มีความเชื่อ ความฝัน ความมุ่งมั่นเป็นของตัวเอง ดูจะกลายเป็นภาระมากกว่าจะเป็นความสุขและแรงผลักดันให้กับผู้คน ทำให้ผู้คนต่าง “เลือกที่จะไม่เลือก” ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่คิดว่าคนส่วนใหญ่ทำ เบือนหน้าหนีจากตัวเอง โยนความรับผิดชอบให้กับกระแสสังคม เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยกังวลและรับผิดชอบกับการเป็นตัวของตัวเอง เพื่อจะได้รู้สึกสะดวกสบาย
หมู่มวลความคิดเหล่านั้นของผู้คนได้แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ จากแค่ความรู้สึกเล็กๆกลายเป็นความปราถนา ปราถนาที่จะมีใครสักคนหนึ่งชี้น้ำพวกเขา ใครสักคนที่คิดแทนพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระลแะพันธนาการจากการเป็นตัวของตัวเอง ไปสู่ “อิสรภาพ” ที่จะไม่ต้องคิดอะไรด้วยตัวเองอีกต่อไป
ตอนนั้นเองที่ Holy Grail (จอกศักดิ์สิทธิ์) ตัวตนที่เกิดแรกปราถนาอันบิดเบี้ยวของผู้คนทั่วโลกจึงได้ถือกำเนิดขึ้น ภายใน Metaverse ร่วมกันของมวลมนุษยชาติที่ก่อตัวกันเกิดเป็นโลกอีกใบขึ้นมาจริงๆ ในชื่อว่า Mementos
แม้จะมีหน้าตาเป็นจอกขนาดยักษ์ แต่ Holy Grail ก็เป็นตัวตนที่มีอัตตาและความคิดเป็นของตัวเอง เพื่อตอบสนองเจตจำนงค์ของผู้คนทั่วโลกที่ต้องการจะถูกชี้นำ Holy Grail จึงได้เฝ้ามองดูและควบคุมมนุษยชาติจากภายในส่วนลึกสุดของ Mementos เรื่อยมา
ในขณะที่ Mementos นั้นมีลักษณะเป็นเหมือนโลกใต้พิภพที่เชื่อมต่อการรับรู้ของมวลมนุษยชาติเข้าด้วยกัน โดยมีจุดศูนย์กลางเป็นเหมือนกับคุกขนาดยักษ์ที่กักขังจิตใจของผู้คนเอาไว้จากการคิดและตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยตนเองที่เรียกว่า คุกแห่งความเสื่อมถอย (Prison of Regression) และมีแกนกลางที่อยู่ลึกที่สุดเป็นที่พำนักของ Holy Grail ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานจากความปราถนาของผู้คนที่ถูกขังเอาไว้ใน Mementos ผ่านท่อที่เป็นเหมือนเส้นเลือดพัวพันไปทั่วคุกแห่งนี้ ยิ่งผู้คนปราถนาจะถูกชี้นำชีวิตมากเท่าไหร่ Holy Grail ก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น
ภายใน Mementos จะมีอีกตัวตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ เราเรียกพวกมันว่า ชาโดว์ (Shadow) อันเป็นศัตรูประจำซีรี่ส์ Persona จะมีสองประเภทด้วยกัน คือ
ประเภทที่ 1 ชาโดว์ที่เป็นตัวตนอีกด้านของผู้ที่เป็นเจ้าของ Metaverse นั้นๆ ชาโดว์พวกนี้โดยปกติจะมีรูปร่างหน้าตาโดยทั่วๆไปเหมือนกับตัวจริงของพวกมัน แต่มีความคิดอ่านที่แสดงธาตุแท้ของคนๆนั้นออกมาอย่างสุดโต่ง เปรียบเสมือนเป็นตัวตนที่แท้จริงที่สะท้อนด้านมืดของคนๆนั้นออกมา ซึ่งเหล่านักโทษใน Mementos ทั้งหลายก็เป็นชาโดว์ประเภทนี้นี่แหละ และหากชาโดว์ประเภทนี้ตาย ผู้ที่เป็นเจ้าของชาโดว์นั้นจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ราวกับถูกปิดสวิตช์การทำงานของสมองไปดื้อๆ เราเรียกสภาวะนี้ว่า Mental Shutdown
ประเภทที่ 2 ชาโดว์ทั่วไป เกิดจากเศษเสี้ยวความคิดด้านลบมนุษย์ที่แปดเปื้อนเหล่าตัวตนต่างๆจากทะเลแห่งจิตวิญญาณ (Sea of Souls) ทำให้พวกมันสูญเสียความทรงจำและตกเป็นทาสของชาโดว์ที่เป็นเจ้าของ Metaverse นั้นๆ ชาโดว์พวกนี้จะมีจำนวนมากและเกิดขึ้นเรื่อยๆตราบเท่าที่เจ้าของ Metaverse นั้นๆยังมีความคิดด้านลบอยู่ หากชาโดว์พวกนี้ตายลงก็จะไม่ส่งผลอะไรต่อผู้เป็นเจ้าของ Metaverse ซึ่งเจ้าพวกนี้ก็คือพวกศัตรูทั่วๆไปหรือมินิบอสต่างๆที่เราเจอตลอดการเล่นนั่นเอง
การกำเนิดของ Holy Grail และ Mementos ยังส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Palace ตามขึ้นมาด้วย
Palace คือสภาวะของ Metaverse ภายในจิตใจของมนุษย์ที่มีแรงปราถนาอันบิดเบี้ยว (Distorted Desire) อันเป็นความต้องการในบางสิ่งบางอย่างที่แรงกล้าจนทำให้การรับรู้ของบุคคลผู้นั้นบิดเบือนไปอย่างรุนแรง ส่งผลให้ Metaverse ของคนๆนั้นมีภูมิทัศน์ที่บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่าคนผู้นั้นไม่ได้มองสถานที่หรือสิ่งต่างๆรอบๆตัวอย่างที่มันเป็นอีกต่อไป โดยภายในส่วนลึกสุดของ Palace จะมีสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวอยู่ เราเรียกสิ่งนั้นว่า สมบัติ (Treasure) ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีลักษณะเป็นหมู่มวลพลังงานใสๆ
เช่นเดียวกับ Mementos ภายใน Palace ก็จะมีชาโดว์ที่เป็นตัวตนอีกด้านของผู้ที่เป็นเจ้าของ Palace ปกครองอยู่ และหากชาโดว์ของเจ้าของ Palace ตาย Palace ก็จะหายไปด้วย Palace จึงเป็นเหมือน Metaverse ที่แยกตัวออกมาจาก Mementos อีกที เพราะมนุษย์ที่ให้กำเนิด Palace ย่อมมีแรงปราถนาที่แตกต่างไปจากผู้คนที่ถูกพันธนาการไว้ด้วย Holy Grail หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ Mementos เองก็ถือเป็น Palace รูปแบบหนึ่งเช่นกัน เป็น Palace ร่วมกันของผู้คนทั่วโลกที่มีแรงปราถนาอันบิดเบี้ยวที่จะถูกชี้นำนั่นเอง
แผนการสู่การล่มสลายของมนุษยชาติ
แม้จะตกอยู่ภายใต้พันธนาการของ Holy Grail แต่มนุษยชาติก็ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งไม่นานก่อนที่เหตุการณ์ในเกมจะเกิดขึ้น
Holy Grail รู้สึกสิ้นหวังและเบื่อหน่ายในความโง่เขลาและน่าเวทนาของมวลมนุษย์ที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา ไม่ว่าจะผ่านไปนานซักเพียงใด มนุษยชาติก็ไม่อาจก้าวข้ามความเกียจคร้านที่จะมีชีวิตอยู่อย่างตายซากและปล่อยตัวเองไปตามกระแสสังคมได้ Holy Grail จึงคิดจะใช้อำนาจและพลังในฐานะผู้ชี้นำอนาคตของมนุษยชาติเพื่อทำลายมนุษยชาติซะเอง จากนั้นจึงจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา
อัตตาของ Holy Grail ที่มีความต้องการและจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเองนี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในนาม Yaldabaoth เทพเจ้าแห่งการควบคุม (The God of Control) ผู้ต้องการจะการชักนำมนุษยชาติไปสู่การล่มสลาย (The Ruin)
ในขณะที่ Yaldabaoth สิ้นหวังและคิดจะทำลายล้างมนุษยชาติ อีกตัวตนหนึ่งผู้มีนามว่า อีกอร์ (Igor) แห่งเวลเวทรูม (Velvet Room) กลับเชื่อว่า Trickster(จอมโจร) ผู้มีจิตใจแห่งการกบฏจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อขัดขวางและปลดปล่อยมนุษยชาติจากพันธนาการของ Yaldabaoth ได้สำเร็จ
เวลเวทรูมคือสถานที่ที่มีตัวตนอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและความฝัน ระหว่างจิตใจและวัตถุ เป็นมิติที่ล่องลอยอยู่ในช่องว่างของมิติทั้งมวล เวลเวทรูมจะปรากฏขึ้นแก่มนุษย์ที่มีชะตาต้องพานพบกับความท้าทายหรืออุปสรรคยิ่งใหญ่ เพื่อสนับสนุนบุคคลดังกล่าวให้บรรลุชะตาชีวิตของตนเอง โดยมีอีกอร์ ชายแก่จมูกยาวเป็นเจ้าของและผู้ดูแห่งเวลเวทรูท พร้อมกับผู้ช่วยของเขา คอยชี้นำและให้บริการต่างๆอันเอื้อประโยชน์ต่อการเดินทางของบุคคลผู้นั้น ซึ่งหน้าตาของเวลเวทรูมที่ปรากฏแก่บุคคลงแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปตามภาพสะท้อนความเป็นไปภายในจิตใจของคนๆนั้น
เมื่อเวลเวทรูทปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้ใด และผู้นั้นได้ทำสัญญากับเวลเวทรูมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนๆนั้นก็จะได้รับพลังในการใช้ Persona และพลังแห่ง The Wild Card มาครอบครอง
การจะเข้าใจคอนเส็ปต์ของ Persona และ The WIld Card ได้ เราจำเป็นจะต้องเข้าใจคอนเส็ปต์ของ ทะเลแห่งจิตวิญญาณ (Sea of Souls) เสียก่อน
ทะเลแห่งจิตวิญญาณ คือดินแดนที่อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจของมนุษย์ทุกคนและเป็นมิติที่ซึ่งเชื่อมโยงจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนเข้าด้วยกัน เป็นมิติที่ซึ่งวิญญาณทั้งมวลกำเนิดขึ้นและจะกลับมาที่นี่เมื่อตายลง ทะเลแห่งจิตวิญญาณเป็นที่อาศัยอยู่ของตัวตนในตำนานความเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพ ปีศาจ ตลอดจนวีรบุรุษหรือวีรสตรีในเรื่องเล่าขาน ตัวตนเหล่านี้ได้สร้างอิทธิพลต่อดวงวิญญาณของมนุษย์ เกิดเป็นอัตลักษณ์ทางบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปในมนุษย์แต่ละคน กล่าวได้ว่าในจักรวาลของเกมนี้ ทั้งเทพและปีศาจต่างก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์หรือนรก แต่อยู่ภายในจิตใจของมวลมนุษย์ทั้งมวล ณ ทะเลแห่งจิตวิญญาณแห่งนี้
ซึ่ง Persona ก็คือพลังในการทำสัญญากับตัวตนในทะเลแห่งจิตวิญญาณเหล่านั้น แปรเปลี่ยนตัวตนที่แท้จริงที่อยู่ในจิตใจของคนๆหนึ่งให้กลายเป็นตัวตนดังกล่าวเพื่อขอยืมพลังมาใช้ในการต่อสู้ โดยตัวตนที่ผู้ใช้ Persona จะทำสัญญาด้วยนั้น ก็จะแตกต่างกันไปตามอัตลักษณ์ที่แท้จริงของแต่ละคน Persona จึงเป็นเหมือนหน้ากากที่สะท้อนตัวจริงของคนๆนั้นออกมา ทำให้โดยปกติแล้วคนๆหนึ่งจะมี Persona ได้เพียงตนเดียวเท่านั้น นอกเสียจากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจกับบุคคลผู้นั้นครั้งใหญ่ Persona ก็อาจเปลี่ยนสภาพไปสู่ตัวตนอื่นที่ทรงพลังและเหมาะสมกับอัตลักษณ์ใหม่มากกว่าได้
จะเห็นว่าแท้จริงแล้ว Persona และ ชาโดว์ ของคนๆหนึ่งนั้นก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง ชาโดว์คือตัวตนที่แท้จริงของบุคคลคนนั้นใน Metaverse ซึ่งจะแสดงธาตุแท้หรือด้านมืดของคนๆนั้นออกมา ยิ่งคนผู้นั้นปฏิเสธด้านมืดของตัวเองมากเท่าไหร่ ชาโดว์ก็จะยิ่งทรงพลังและคลุ้มคลั่งมากขึ้นเพราะบุคคลผู้นั้นเบือนหน้านี้จากตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ในทางกลับกัน หากบุคคลผู้นั้นยอมรับและเผชิญหน้ากับตัวตนที่แท้จริงแม้มันจะน่าเกลียดเพียงใดก็ตาม ชาโดว์ก็จะยอมสยบให้แก่คนผู้นั้น นำไปสู่การทำสัญญาและแปรเปลี่ยนชาโดว์ของตนเองให้กลายเป็น Persona ในที่สุด
โดยธรรมชาติของมัน บุคคลแต่ละคนไม่จำเป็นต้องพบกับเวลเวทรูมก็สามารถได้รับพลังในการใช้ Persona มาได้ภายใต้กระบวนการต่างๆ อย่างเช่นการเผชิญหน้าและยอมรับชาโดว์ของตนเอง แต่สำหรับผู้ที่ได้รับเลือกจากเวลเวทรูมเท่านั้น ที่จะได้ถือครองพลังที่เหนือล้ำกว่าที่เรียกว่า The Wild Card
The Wild Card คือความสามารถในการเปลี่ยนและถือครอง Persona หลายๆตัวได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกผูกมัดกับอัตลักษณ์ของบุคคลคนนั้น ผู้ที่ถือครอง Wild Card สามารถที่จะทำสัญญาเพื่อขอยืมพลังจากตัวตนในทะเลแห่งวิญญาณมาใช้ได้ดั่งใจนึกหากตัวตนเหล่านั้นยินยอมให้คนผู้นั้นทำสัญญาด้วย นั่นจึงทำให้ผู้ถือครอง The Wild Card มีความยืดหยุ่นในการต่อสู้สูงเนื่องจากสามารถใช้พลังของ Persona ได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ อีกอร์และผู้ช่วยของเขาจะคอยสนับสนุนผู้ถือครอง The Wild Card ด้วยการให้บริการในการรวมร่าง Persona เข้าด้วยกัน เพื่อก่อกำเนิดขึ้นเป็นตัวตนใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิมได้
อีกพลังหนึ่งที่ผู้ถือครอง The Wild Card ได้รับคือพลังในการแปรเปลี่ยน ความสัมพันธ์ ให้กลายเป็นพลังแก่ Persona เมื่อผู้ถือครอง The Wild Card ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจหรือความรักของบุคคลผู้มีอัตลักษณ์สอดคล้องกับ Persona ตัวใด ความรู้สึกนั้นก็จะส่งเสริมให้ผู้ถือครอง the Wild Card ยืมพลังจาก Persona เหล่านั้นได้มากขึ้น ทรงพลังขึ้น นี่จึงเป็นที่มาของระบบ Arcana และ Confidant ภายในเกมนั่นเอง
ภาพประกอบจากอนิเมชั่นเรื่อง Persona 4 The Animation
หน้าที่ของอีกอร์เและเวลเวทรูมจึงเป็นเหมือนการการช่วยผลักดันความหวังของมนุษย์ให้เป็นจริงตลอดมา หาก Yaldabaoth คิดจะชักนำมนุษยยชาติสู่การล่มสลายจริงๆ อีกอร์เองก็ต้องยื่นมือเข้ามาสนับสนุนผู้ที่จะกลายมาเป็น Trickster เพื่อขัดขวาง Yaldabaoth เป็นแน่
เมื่อรู้ดังนั้น Yaldabaoth จึงเกิดสนใจในตัว Trickster ขึ้นมาและคิดจะทำการทดลองให้โอกาสมนุษยชาติพิสูจน์ตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการสร้างเกมขึ้นมา เกมที่จะกำหนดว่า Trickster จะสามารถกอบกู้และผลักดันมนุษยชาติให้กลับมามีแรงขับเคลื่อนที่จะใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง หลุดพ้นจากความเกียจคร้านและโง่เขลาได้หรือไม่
แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในเกมได้เอง Yaldabaoth จึงจับอีกอร์ไปขังไว้ในคุกของ Mementos และแยกวิญญาณของ ลาเวนซ่า (Lavenza) สาวน้อยผู้ช่วยของอีกอร์ออกเป็น 2 ส่วน ทำให้เธอสูญเสียความทรงจำและลดทอนพลังอำนาจลง เกิดเป็นตัวตนใหม่ในชื่อ จัสทีน (Justine) และ แคโรลิน (Caroline) จากนั้น Yaldabaoth จึงปลอมแปลงตัวเองเป็นอีกอร์ เพื่อหลอกใช้ทั้งสองให้เป็นผู้ช่วยของตนในการใช้งานเวลเวทรูมแทนที่อีกอร์ ก่อนจะกักขังมิติของเวลเวทรูมไว้ในคุกของ Mementos เช่นเดียวกันกับอีกอร์
ที่ Yaldabaoth ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่การช่วยเหลือของอีกอร์และเวลเวทรูมจะทำให้ Trickster ก้าวข้ามเหนือความคาดหมายของเขาและหยุดยั้งการล่มสลายของมนุษยชาติลงได้สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงจะรับหน้าที่ในการดูแลฟูมฟัก Trickster เสียเอง เพื่อให้เขาสามารถสอดส่องการเคลื่อนไหวและพัฒนาการของ Trickster ให้เป็นไปตามทิศทางที่เขาต้องการได้ตลอดเวลา ก่อนที่สุดท้าย Yaldabaoth จะมอบความสิ้นหวังให้แก่ Trickster พร้อมๆกับการล่มสลายของมนุษยชาติ
ทว่า ก่อนที่อีกอร์จะถูก Yaldabaoth จับกักขังได้นั้น อีกอร์ได้ใช้พลังที่เหลืออยู่ รวบรวมเศษเสี้ยวความหวังภายในจิตใจของมนุษย์ที่อยู่ใน Mementos สร้างเป็นตัวตนใหม่ขึ้นมา ตัวตนที่จะช่วยชี้นำและฟูมฟัก Trickster ให้กลายเป็น Phantom Thief จอมโจรผู้ก้าวข้ามเหนือความคาดหมายของ Yaldabaoth เขาก็คือ มอร์กาน่า (Morgana) เจ้าแมวดำมาสคอตประจำภาคนี้นั่นเอง
มอกอร์น่าได้ถือกำเนิดขึ้นที่เวลเวทรูมพร้อมกับพลังในการใช้ Persona ตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับ Metaverse และทักษะของการเป็น Phantom Thief แต่มอร์กาน่ากลับสูญเสียความทรงจำในชาติกำเนิดและหน้าที่ของตัวเองไป เหลือไว้เพียงองค์ความรู้ต่างๆที่ไม่ปะติดปะต่อและความสามารถในการใช้ Persona เท่านั้น มอร์กาน่าที่สูญเสียความทรงจำได้เห็นเหล่าชาโดว์ของมนุษย์ในคุกแห่งการเสื่อมถอยก็นึกสงสัยในรูปร่างหน้าตาของตนเองที่แตกต่างจากมนุษย์ ทำให้เขาเริ่มเชื่อว่าเดิมทีตนเองจะต้องเป็นมนุษย์มาก่อนแน่ๆ เพื่อที่จะตามหาความทรงจำและหาทางกลับไปเป็นมนุษย์ เขาจึงออกเร่ร่อนไปทั่ว Mementos ด้วยความเชื่อว่าหากเขาได้สัมผัสแรงปราถนาของมนุษย์มากๆเข้า ความทรงจำของเขาอาจจะรื้อฟื้นกลับมาก็ได้
ตัวแทนทั้งสองแห่งมนุษยชาติ
ทางด้าน Yaldabaoth ที่ตอนนี้ได้ครอบครองเวลเวทรูมและปลอมตัวเป็นอีกอร์แล้ว ก็ได้เริ่มแผนการขั้นต่อไปในการสร้างเกมของเขาขึ้นมาทันที
Yaldabaoth ได้เลือกมนุษย์ขึ้นมาสองคน คนหนึ่ง เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการทำลายล้างที่จะชักนำมนุษยชาติไปสู่การล่มสลาย อีกคนหนึ่ง เพื่อให้เป็น Trickster ผู้จะมาหยุดยั้งสิ่งนั้น โดยเขาจะมอบพลังในการก้าวเข้าสู่ Metaverse และพลังแห่ง The Wild Card ให้กับทั้งสอง จากนั้นก็เฝ้าดูว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้กุมชัยชนะและกำหนดชะตาของมนุษยชาติ
คนแรกที่เขาเลือกคือ เด็กหนุ่มที่ชื่ออาเคจิ โกโร่ (Akechi Goro)
อาเคจิเป็นลูกชายนอกฏหมายของนักการเมืองที่มีชื่อว่า ชิโดะ มาซาโยชิ(Shido Mayasoshi) เมื่ออาเคจิเกิดมา ชิโดะก็ตัดสัมพันธ์กับแม่ของอาเคจิทันทีเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ทางการเมืองของเขาต้องมีเรื่องอื้อฉาว ส่งผลให้ชีวิตของแม่ของอาเคจิต้องพังทลายลงและโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของอาเคจิที่เกิดมา ก่อนที่เธอจะตรอมใจจนฆ่าตัวตายในที่สุด นับแต่นั้นมาอาเคจิจึงเคียดแค้นชิงชังชิโดะมาตลอด ความเกลียดชังนั้นคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้อาเคจิมุมานะตั้งใจเรียนหนังสือและพัฒนาตนเองในทุกด้านเท่าที่ทำได้ เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะได้ไต่เต้าไปเป็นบุคคลที่มีอำนาจพอที่จะแก้แค้นชิโดะที่เป็นถึงคนใหญ่คนโตได้
อาเคจิจึงเป็นเด็กที่เติบโตมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นพ่อที่ทอดทิ้งเขาไป แม่ที่สาปส่งเขา แม้กระทั่งเมื่อเขาโตขึ้นและประสบความสำเร็จในการเรียน ผู้คนที่รายล้อมเขาต่างก็ใส่หน้ากากเข้าหาเขา เยินยอเขาเพียงเพื่อต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเขาเท่านั้น ไม่มีใครที่ต้องการอาเคจิจากตัวตนจริงๆของเขาเลย ลึกๆแล้วอาเคจิจึงไม่ได้เคียดแค้นเพียงแต่ชิโดะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโลกอันแสนจะอัปลักษณ์ที่ปฏิเสธตัวตนของเขาด้วย ก่อเกิดเป็นความยุติธรรมที่บิดเบี้ยวของอาเคจิ โกโร่ ชายผู้มุ่งแสวงหาแต่การล้างแค้นโดยไม่สนว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องรับเคราะห์สักกี่คน
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ Yaldabaoth เลือกอาเคจิ โกโร่ ให้เป็นตัวแทนแห่งการทำลายล้างในเกมของเขา
ราวสองปีก่อนเหตุการณ์ในการเกมจะเริ่มขึ้น อาเคจิได้พบกับแอพพลิเคชั่นประหลาดบนมือถือของเขาในที่เรียกว่า Metaverse Navigator ซึ่งแอพนี้คือพลังในการเข้าสู่ Metaverse ที่ Yaldabaoth มอบให้แก่อาเคจิ
อาเคจิที่ได้ลองใช้แอพดังกล่าวจึงได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของ Metaverse และได้ปลุกพลังแห่ง The Wild Card ที่ Yaldabaoth มอบให้เขาขึ้นมา พร้อมกับ Loki ที่เป็น Persona ประจำตัว ซึ่ง Loki นั้นเป็น Persona ที่มีพลังพิเศษที่เรียกว่า เสียงเรียกแห่งความบ้าคลั่ง (Call of Chaos) อันเป็นพลังที่จะกระตุ้นชาโดว์ให้เกิดอาการคุ้มคลั่งได้ และหากนำพลังนี้ไปใช้กับชาโดว์ของมนุษย์คนใด ก็จะส่งผลให้ตัวจริงของคนผู้นั้นเสียสติและคุ้มคลั่งตามไปด้วย กลายเป็นอาการที่เรียกกันว่า Psychotic Breakdown
ด้วยความปราดเปรื่องของเขา เพียงไม่นานอาเคจิก็ทำความเข้าใจโครงสร้างของสิ่งต่างๆใน Metaverse รวมถึงควบคุมพลังของเขาได้อย่างดี ซึ่งสำหรับอาเคจิแล้ว เขารับรู้ได้ทันทีเลยว่าเขาจะใช้ประโยชน์อะไรจากพลังและองค์ความรู้เหล่านี้ได้บ้าง ไม่รอช้า อาเคจิจึงได้เริ่มแผนการของเขาด้วยการเข้าหาชิโดะทันที
ชิโดะ มาซาโยชิ เป็นนักการเมืองหนุ่มไฟแรง ผู้มีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เขาเชื่อว่าที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชอย่างทุกวันนี้ก็เพราะพวกนักการเมืองแก่ๆที่หวงบัลลังก์ของตนเองกดคนรุ่นใหม่ไม่ให้ได้มีโอกาสโงหัวขึ้นมาในโลกการเมืองและทำการเปลี่ยนแปลงประเทศ แม้จะฟังดูสวยหรู แต่ความสุดโต่งในอุดมการณ์ของเขาก็ทำให้เขาเป็นคนที่ไร้ซึ่งเมตตาธรรม ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหาร การฉ้อโกงและคอรัปชั่น เขายินดีจะทำทั้งหมดหากมันจะนำมาซึ่งโอกาส อำนาจ เส้นสาย อะไรก็ตามแต่ที่จะสนับสนุนให้เขาไต่เต้าขึ้นไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการตัดสัมพันธ์กับแม่ของอาเคจิและทำเหมือนอาเคจิไม่มีตัวตนอยู่ด้วย
จนกระทั่งราวๆสองปีก่อนเหตุการณ์ในเกม ชิโดะที่กำลังไต่เต้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกนักการเมืองแก่ๆที่หวงอำนาจกระสับกระส่าย พวกเขาจึงเริ่มหาทางขัดแข้งขัดขาเล่นงานชิโดะด้วยการใส่ร้ายเขาในเรื่องอื้อฉาวต่างๆ ในขณะที่กำลังตกที่นั่งลำบากนั้นเอง อาเคจิก็ยื่นมือเข้ามาช่วยชิโดะ
อาเคจิแนะนำชิโดะให้รู้จักกับ Metaverse และพลังของอาเคจิที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อช่วยสนับสนุนชิโดะได้ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ชิโดะเองก็ต้องใช้เส้นสายและอำนาจทางการเมืองของเขา สนับสนุนอาเคจิให้เป็นที่โด่งดังและเป็นที่ยอมรับในสังคมในฐานะนักสืบ ชิโดะตกลงรับข้อเสนอของเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่าอาเคจิคือลูกแท้ๆที่เขาทอดทิ้งไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน
จากนั้นมา ชิโดะก็ร่วมมือกับอาเคจิในการขยายอำนาจขึ้นไปเรื่อยๆ ชิโดะได้สร้างเส้นสายกับคนใหญ่คนโตในหลายๆด้วยการให้พวกเขากลายเป็น “ลูกค้า” จากการใช้บริการจากพลังของอาเคจิ ไม่ว่าจะเป็นการแบล๊คเมลล์ผู้มีอำนาจในกรมตำรวจด้วยการล้วงข้อมูลจากชาโดว์ของเขาเอง การสังหารประธานบริษัทคู่แข่งโดยการทำให้เกิดภาวะ Mental Shutdown การดิสเครดิตหน่วยงานต่างๆด้วยการทำให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนั้นคุ้มคลั่งจากสภาวะ Psychotic Breakdown ทั้งหมดนี้แลกกับการที่ลูกค้าผู้นั้นจะต้องให้การสนับสนุนชิโดะ ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน หน้าข่าวในหนังสือพิมพ์ การปกปิดข่าวอื้อฉาว ทำให้เครือข่ายทางการเมืองของชิโดะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทางด้านอาเคจิเอง ก็ฉวยโอกาสจากคดีที่เกิดขึ้นจากบริการเหล่านั้น แสร้งทำเป็นคลี่คลายคดีเหล่านั้นเสียเอง ยิ่งได้รับความช่วยเหลือจากเส้นสายต่างๆของชิโดะก็ยิ่งง่ายในการคลี่คลายคดีปลอมๆที่เขานั่นแหละเป็นผู้ก่อ ความดีความชอบจากการคลี่คลายคดีเหล่านั้นทำให้อาเคจิมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ทว่า แผนการที่แท้จริงของอาเคจิก็คือการซื้อใจชิโดะนั่นเอง เขาแสร้งทำเป็นทำงานให้กับชิโดะอย่างขยันขันแข็งและซื่อสัตย์เพื่อให้ชิโดะยอมรับและไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเขาในที่สุด เพื่อที่เมื่อถึงเวลาที่ชิโดะบรรลุเป้าหมายของตนเองและได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ อาเคจิจะเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาคือลูกแท้ๆที่ชิโดะเคยทอดทิ้ง ก่อนจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ชิโดะสร้างขึ้นมา
เพื่อให้ความลับในการใช้พลังของอาเคจิไม่แพร่งพรายออกไปหรือถูกเปิดเผย ชิโดะจึงได้สั่งให้อาเคจิทำการ Mental Shutdown ใส่ วากาบะ อิชิกิ (Wakaba Isshiki) นักวิจัยหญิงที่กำลังวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติจากการมีอยู่ของโลกแห่งการรับรู้ ที่เรียกว่า Cognitive Pscience ก่อนที่เธอจะค้นพบการมีอยู่ของ Metaverse
วากาบะ อิชิกิ เป็น Single Mom ผู็มีลูกสาวเพียงคนเดียวชื่อว่า ฟุบาตะ อิชิกิ (Futaba Isshiki) ไม่มีใครรู้ว่าผู้เป็นพ่อของฟุตาบะเป็นใครและเธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงเขาให้ใครฟัง เธออุ้มท้อง ให้กำเนิด และเลี้ยงดูฟุตาบะขึ้นเพียงลำพังคนเดียว โดยมี โซจิโร่ ซากุระ (Sojiro Sakura) ข้าราชการชายผู้ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างศูนย์วิจัยของเธอและรัฐบาล เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ฟุตาบะยังไม่เกิด
วากาบะทุ่มเทให้กับงานวิจัยของเธอมาก เธอเชื่อว่าหากเธอสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของ Metaverse ผ่านทฤษฏีของ Cognitive Pscience ได้ มันจะกลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ และนั่นจึงทำให้เธอมีปัญหากับฟุตาบะผู้เป็นลูกสาวในบางครั้ง แม้วากาบะจะรักลูกสาวของเธออย่างสุดหัวใจและพยายามเลี้ยงดูฟุตาบะให้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ความเหนื่อยล้าจากการทุ่มเททำงานหนักของเธอก็ทำให้ฟุตาบะที่ยังเด็กต้องน้อยใจหลายต่อหลายครั้ง
จนกระทั่งงานวิจัยของเธอใกล้จะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมจะได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก วากาบะเริ่มรู้สึกตัวถึงภัยร้ายที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นกับเธอเพราะใครบางคนที่ไม่ต้องการให้การค้นพบของเธอได้รับการเปิดเผย ความวิตกกังวลทำให้วากาบะยิ่งโหมทำงานหนักขึ้นเพื่อเร่งงานวิจัยของเธอให้เสร็จเร็วที่สุด ส่งผลให้เธอไม่มีเวลาให้กับฟุตาบะและทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะขอโทษฟุตาบะและสัญญาว่าทันทีที่งานวิจัยของเธอเสร็จสิ้น เธอจะพาฟุตาบะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้
แต่สุดท้าย คำสัญญาก็ไม่เป็นจริง
อาเคจิใช้พลังของเขาเข้าไปสังหารชาโดว์ของวากาบะภายใน Metaverse ส่งผลให้วากาบะเข้าสู่ภาวะ Mental Shutdown ตอนที่วากาบะกำลังพาฟุตาบะเดินข้ามถนนพอดี วากาบะที่เกิดอาการ mental Shutdown จึงล้มลงสู่ถนนและถูกรถชนตายต่อหน้าต่อหน้าของฟุตาบะ
เพื่อปกปิดสาเหตุที่แท้จริง ชิโดะได้ใช้เส้นสายในกรมตัวรวจเพื่อวินิจฉัยคดีให้เป็นการฆ่าตัวตาย เข้ายึดเอาผลงานวิจัยทั้งหมดของวากาบะมาเป็นของตน ลบข้อมูลต้นฉบับทั้งหมดทิ้ง แล้วระบุในสำนวนว่าวากาบะทำการลบผลการวิจัยทั้งหมดด้วยตนเองเนื่องจากอาการทางจิต โดยโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับฟุตาบะด้วยการสร้างจดหมายลาตายปลอมๆขึ้นมาและส่งเจ้าหน้าที่ไปเปิดจดหมายอ่านในงานศพของวากาบะ ภายในจดหมายระบุว่าวากาบะมองฟุตาบะเป็นภาระที่ถ่วงเธอจากงานวิจัยของเธอ เพราะต้องดูแลฟุตาบะจึงทำให้วากาบะเครียดจนเสียสติและลบงานวิจัยของเธอทั้งหมดทิ้งด้วยตัวเอง เมื่อได้ยินดังนั้นญาติๆต่างก็พากันโทษฟุตาบะในสิ่งที่เกิดขึ้น
ฟุตาบะที่ช๊อคกับการตายไปต่อหน้าต่อตาของวากาบะไม่อยู่ในสภาพจิตใจที่จะคิดอะไรอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ ข้อความในจดหมายปลอมๆนั้นได้ทำให้ฟุตาบะที่กำลังอ่อนแอเชื่ออย่างสนิทใจ ความทรงจำดีๆระหว่างเธอและวากาบะเริ่มขาดหาย เธอหลงลืมคำปลอบประโลมของวากาบะและจดจำเพียงเรื่องที่พวกเขาทะเลาะกัน ฟุตาบะจึงเริ่มโทษตัวเองว่าเธอนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าแม่ของเธอนับตั้งแต่ตอนนั้น
จากนั้นฟุตาบะก็ถูกส่งไปให้ญาติแต่ละคนเลี้ยงดู เธอต้องย้ายไปอยู่กับญาติคนนั้นคนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งพวกเขาต่างก็ล้วนรังเกียจเดียดฉันท์เธอ ในที่สุดโซจิโร่ที่คอยเฝ้าดูห่างๆก็ทนไม่ไหวและขอรับฟุตาบะมาเลี้ยงดูแทน โซจิโร่ในตอนนั้นพึ่งจะลาออกจากงานราชกาลเพราะเขารู้ดีว่าแม้เขาจะเคลือบแคลงใจต่อการตายของวากาบะอย่างไรตัวเขาก็ไม่อาจต่อต้านอำนาจของผู้ที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ เขาจึงหนีมาเปิดคาเฟ่ขายกาแฟและข้าวแกงกะหรี่ที่วากาบะช่วยเขาพัฒนาสูตรขึ้นมาในชื่อ Café Leblanc ส่วนฟุตาบะที่ย้ายมาอยู่กับโซจิโร่ก็ได้รับการโอนนามสกุลมาเป็น ฟุตาบะ ซากุระ (Futaba Sakura)
ความคิดโทษตัวเองของฟุตาบะทำให้เธออยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง นับวันเธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองสมควรตายมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มเห็นภาพหลอนของวากาบะที่พร่ำบอกว่าการให้กำเนิดเธอขึ้นมาคือความผิดพลาด สุดท้ายฟุตาบะก็ตัดสินใจขังตัวเองไว้ในห้องของเธอในบ้านของโซจิโร่และไม่ออกมาอีกเลยนับตั้งแต่นั้น เธอไม่ยอมแม้กระทั่งให้โซจิโร่หรือจิตแพทย์เข้าไป โซจิโร่ที่ทำอะไรไม่ได้มากและเพียงอยากให้ฟุตาบะมีความสุขจึงไม่บังคับขู่เข็ญอะไรเธอ และคอยดูแลหาน้ำหาท่ามาให้เธอใช้ชีวิตอยู่ได้
ทางด้านอาเคจิและชิโดะ ทุกอย่างก็กำลังไปได้สวย ชิโดะได้ใช้ข้อมูลการวิจัยของวากาบะส่งให้ลูกน้องของเขาทำการวิจัยต่อไปอย่างลับๆเผื่อในการใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า พร้อมๆกับแผนการไต่เต้าของเขาที่ดำเนินต่อไป จนกระทั่ง…
จิตวิญญาณแห่งการกบฎที่ลุกโชน
ช่วงเวลาไม่นานก่อนเหตุการณ์ในเกมจะเริ่มขึ้น
ค่ำคืนหนึ่ง ณ จังหวัดหนึ่งในญี่ปุ่นอันเป็นบ้านของตัวเอกหรือก็คือ เรา นั่นเอง ชิโดะที่กำลังเมามีปากเสียงกับพนักงานหญิงของตนที่คอยจัดการเรื่องการฉ้อโกงเงินให้เขา พนักงานคนดังกล่าวพยายามจะหนีไปจากรถของชิโดะ เลยเกิดการฉุดกระชากลากถูกันขึ้น
ตอนนั้นเองที่เรากำลังเดินกลับบ้านพอดี เมื่อได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากพนักงานคนดังกล่าว เราจึงรีบรุดไปที่ต้นตอของเสียง ชิโดะที่เห็นเราทำท่าจะมาขวางก็ขู่ให้อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ เราที่ไม่ยอมถอยไปทำให้ชิโดะที่กำลังเมาวิ่งเข้ามาหวังจะทำร้ายเรา แต่กลับกลายเป็นตัวเขาที่ล้มลงไปหัวฟาดกับรั่วถนนจนเป็นแผล ชิโดะจึงขู่จะฟ้องเรา และบังคับให้พนักงานหญิงให้การเท็จกับตำรวจว่าเราเป็นผู้ทำร้ายชิโดะก่อน ไม่เช่นนั้นชิโดะจะโยนความผิดเรื่องการฉ้อโกงเงินทั้งหมดไปให้หล่อน เมื่อตำรวจมาถึง พนักงานหญิงที่ไม่มีทางเลือกจึงยอมให้การเท็จตามที่ชิโดะสั่งไป ก่อนที่เขาจะกำชับกับทางตำรวจว่าอย่าให้มีชื่อของเขาปรากฏในข่าวเพราะจะทำให้เสียภาพลักษณ์
เราที่ถูกฟ้องและแพ้คดีเนื่องจากคำให้การเท็จของพนักงานหญิงจึงถูกภาคทัณฑ์และถูกไล่ออกจากโรงเรียนม.ปลายเดิม หลังจากกระบวนการหลายๆอย่างเสร็จสิ้น โรงเรียนมัธยมปลายชูจินที่โตเกียวก็เสนอตัวที่จะรับเราเข้าไปศึกษาต่อชั้นมัธยมปลายปี 2 (เทียบเป็นบ้านเราก็ม.5) เป็นเวลาหนึ่งปี โดยที่โคบายาคาวะ (Principal Kobayakwa) ผู้อำนวยการของโรงเรียนชูจินก็เป็นลูกค้าของชิโดะเช่นกัน จึงเป็นไปได้ว่าสาเหตุที่เขารับเราเข้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนของเขาก็มาจากคำสั่งของชิโดะเพื่อให้คดีของเราเงียบนั่นเอง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ทิ้งคำถามไว้ในหัวของเรา “บางทีเราอาจจะไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่แรกก็ได้…?” เราที่เป็นผู้เข้าไปช่วยเหลือกลับกลายเป็นเหยื่อเสียเองเพียงเพราะอีกฝ่ายมีชื่อเสียงและอำนาจทางสังคมที่มากกว่า ความอยุติธรรมที่เราได้รับในครั้งนั้นทำให้จิตวิญญาณแห่งการกบฏของเราลุกโชนอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับความทรงจำของค่ำคืนแห่งความพ่ายแพ้ที่เลือนลาง
ซึ่งจิตวิญญาณนั้นก็หาได้รอดพ้นสายตาของ Yaldabaoth ไปไม่
เด็กหนุ่มผู้เป็นเหยื่อจากความอยุติธรรมของชายที่ชื่อชิโดะ มาซาโยชิ จนทำให้ชีวิตต้องพลิกผันและดิ่งลงเหว ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างเราและอาเคจิ โกโร่ ทำให้ไม่มีตัวเลือกไหนที่จะเหมาะสมแก่การเป็นคู่ต่อกรกับอาเคจิมากไปกว่านี้อีกแล้ว
แล้ว Yaldabaoth ก็ได้เลือกเราให้เป็น Trickster ผู้ที่จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อปกป้องมนุษยชาติจากการล่มสลาย
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ใน Persona 5
To Be Continue…
ติดตามต่อได้ที่ สรุปเนื้อเรื่องเกม Persona 5 ตอนที่ 2 : เหล่าจอมโจรผู้ทวงคืนความยุติธรรม