สำหรับเครื่องเกมพกพาลูกผสมอย่าง Nintendo Switch ที่มีสเปกอ่อนด้อยกว่าคอนโซลรุ่นอื่น นี่แค่เทียบกับ PS4 , XBoxone ก็ไม่สามารถเทียบได้ ดังนั้นเกมส่วนใหญ่บน Switch หากออกบนเครื่องเกมอื่นด้วยก็จะมีคุณภาพที่อ่อนด้อยกว่า แต่ก็มีผู้สร้างเกมหลายค่ายพยายามทำเกมออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่สเปก ของ Switch จะทำได้ วันนี้ทาง Beartai ได้รวมเอา 10 เกมที่ย้ายบ้านมาจากคอนโซลอื่นมาลง Nintendo Switch แล้วทำออกมาได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไปดูกันว่ามีเกมอะไรบ้าง (บทความนี้ไม่ได้เป็นการจัดอันดับ)
10 เกมมีอะไรบ้าง!
- The Witcher 3: Wild Hunt Complete Edition
- DRAGON QUEST XI S: Echoes of an Elusive Age Definitive Edition
- Ori and the Will of the Wisps
- Diablo 3
- Crysis Remastered
- New Super Mario Bros. U Deluxe
- Doom (ฉบับปี 2016)
- Hellblade: Senua’s Sacrifice
- Darksider (ภาคแรก)
- Wolfenstein II: The New Colossus และ Wolfenstein: Youngblood
The Witcher 3: Wild Hunt Complete Edition
เกมกราฟิกเทพที่มีโลกกว้างแบบ OpenWorld แถมยังออกวางขายบน PS4 , XBoxone และ PC นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ยาวมาก ๆ ทำให้การมาลง Nintendo Switch แทบจะเป็นไปไม่ได้ แถมเวอร์ชันที่ลง Switch ขนเอา DLC มาแบบครบ ๆ แถมยังทำลงตลับเกมความจุสูงสุดที่ 32GB แบบเต็ม ๆ ไม่ต้องโหลดเพิ่มด้วย และเมื่อได้สัมผัสแล้วเกมพอร์ตมาได้ยอดเยี่ยมมาก แม้ว่าแน่นอนว่ากราฟิกจะสู้ PS4 ไม่ได้เลยแต่ก็ไม่ได้แย่ แถมผู้สร้างยังขยันอัปเดตกราฟิกให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ก็ยังมีการอัปเดตให้อยู่ ทำให้มันเป็นอีกเกมที่พลาดไม่ได้เลย
DRAGON QUEST XI S: Echoes of an Elusive Age Definitive Edition
หนึ่งในเกม RPG ระดับตำนานของญี่ปุ่น ที่ตั้งแต่เปิดตัวมีการระบุว่าจะออกคอนโซลของนินเทนโด อยู่แล้วแต่ตอนนั้น Switch ยังไม่ออกทำให้มีการลง PS4 ก่อนและได้ออกเวอร์ชัน 3DS ด้วยแต่เหมือนเป็นคนละเกม และในที่สุดเวอร์ชันที่ออกบน PS4 ได้ออกบน Switch และเป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่ามาก เพราะนอกจากกราฟิกจะดูดีแทบไม่ต่างจากเดิมแล้ว ยังเพิ่มส่วนใหม่เข้าไปอีกเช่นโหมดการเล่นแบบฉาก 2D รูปแบบ 16Bit มาให้เล่น และยังมีเรื่องราวเพิ่มเติมมาให้อีก นอกจากนี้เรายังสามารถปรับความเร็วในเกมให้เล่นได้อย่างลื่นไหลมากขึ้นอีก เรียกว่ามาให้มาเกินต้นฉบับแบบนี้ทำให้แฟน RPG ในตำนานห้ามพลาดอีกเกม
Ori and the Will of the Wisps
อีกเกมที่มาจากค่าย ไมโครซอฟต์ ที่พอร์ตมาจาก XBoxOne และไม่ใช่แค่ภาคแรกเพราะก่อนหน้านี้มีการนำเกม Ori and the Blind Forest มาลง Nintendo Switch แล้ว และการมาของภาคต่อถือว่ายังทำได้น่าประทับใจมาก เพราะกราฟิกแทบไม่ต่างจาก XBoxOne เลย และด้วยระบบการเล่นที่มาในรูปแบบแอ็กชัน 2D มุมมองด้านข้าง และเน้นการแก้ปริศนาร่วมกับการต่อสู้กับศัตรู โดยเมื่อเราค่อย ๆ พัฒนาตัวละครไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถปลดล็อกสิ่งใหม่ในเกมได้เช่นการไปยังฉากใหม่ รวมทั้งสามารถใช้ท่าไม้ตายใหม่ได้ เรียกได้ว่าสนุกไม่แพ้เกมในตำนานอย่างเกม Castlevania: Symphony Of The Night เลย และส่วนตัวแล้ว Ori and the Blind Forest เป็นเกมที่ติดอันดับต้น ๆ เกมภาพสวยบน Switch ด้วย
Diablo 3
Diablo 3 เกมในตำนานที่ออกมาหลายปีแล้ว และผ่านการออกบนคอนโซลมาหลายเครื่อง โดยเกมต้นฉบับออกในปี 2012 แน่นอนว่าไม่แปลกที่เกมเก่าแบบนี้จะย้ายบ้านมาลง Switch แบบง่าย ๆ เพราะกราฟิกก็ไม่ได้เทพอะไรแล้ว อย่างไรก็ตามการพอร์ตลงคอนโซลนินเทนโด ก็ยังน่าเล่นเพราะความลื่นไหลของรูปแบบการเล่น กราฟิกก็ทำออกมาได้ดีและเฟรมเรตลื่นไหลในระดับน่าพอใจ และต้นฉบับยังเป็นเกมที่สนุกมากและเหมาะมากสำหรับการพกพาไปเล่นนอกบ้าน นอกจากนี้ DLC ทั้งหมดของเกมก็มาด้วย เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้ผู้เขียนเองยังคงเล่น Diablo 3 บน Nintendo Switch อยู่แม้ว่าเกมออกมาหลายปีแล้วก็ตาม
Crysis Remastered
หนึ่งในเกมยิง FPS กราฟิกเคยเทพในสมัยอดีต โดยในตอนนั้นถึงกับมีวลีเด็ดที่บอกว่า เครื่องนี้สามารถเล่น Crysis ได้กันเลย แต่วันเวลาผ่านไปกราฟิกระดับ Crysis ต้นฉบับถือว่าธรรมดาไปแล้ว แต่สำหรับคอนโซลสเปกไม่แรงอย่าง Switch การย้ายมาลงของเกมยิงในตำนานถือว่าทำได้ไม่เลว อย่างไรก็ตามแม้ตัวเกมจะมีชื่อว่า Remastered แต่ภาพในเกมแทบจะเหมือนเดิมสมัยออกบน PC ครั้งแรก แตกต่างจากรีมาสเตอร์บน PS4 ที่เพิ่งออกมา แต่โดยรวม Crysis Remastered ก็ยังสามารถถ่ายทอดความยอดเยี่ยมของกราฟิกเทพเมื่อสิบกว่าปีก่อนบนคอนโซลลูกผสมได้ดี บวกกับเกมเพลย์ที่ยอดเยี่ยมในแบบเกมยิงมุมมองบุคคลที่ 1 ในตำนานที่ยังคงสนุกโดยรวมหากไม่คาดหวังกราฟิกแบบใหม่ที่ออกบน PS4 แล้ว Crysis Remastered ก็ยังคุ้มค่าน่าเล่นอยู่
New Super Mario Bros. U Deluxe
อีกเกมที่ปู่นินพอร์ตจาก WiiU ลง Nintendo Switch โดย Mario Bros. U เป็นเกมเปิดตัวบน WiiU และเป็นมาริโอ 2 มิติมุมมองด้านข้างแบบเดิม ๆ ที่แฟนคุ้นเคยดี โดยภาคนี้เป็นมาริโอที่มีกราฟิก HD ภาคแรกซึ่งออกในปี 2012 และสร้างชื่อเสียงพอสมควร เพราะเกมเพลย์แบบเดิมที่เพิ่มเติมหลายระบบใหม่ เช่นตัวละครใหม่ที่เหมือนมาแทนระดับความยากในเกม ทำให้มือใหม่เล่นจบได้ง่าย ๆ ส่วนกราฟิกแทบไม่แตกต่างจากต้นฉบับ แต่ของเดิมก็ทำได้ดีอยู่แล้วและอยู่ในระดับ HD แม้จะไม่ได้แปลกใหม่แต่ด้วยคุณภาพของเกมจากค่ายนินเทนโด และภาคหลักของมาริโอ ที่ทำออกมาไม่เคยผิดหวังอยู่แล้ว ดังนั้น New Super Mario Bros. U Deluxe จึงเป็นอีกเกมที่แฟนปู่นินควรมีติดเครื่อง Nintendo Switch
Doom (ฉบับปี 2016)
เกมที่สร้างความประหลาดใจให้แฟนเกมอย่างมากตอนประกาศ เพราะ Doom ฉบับปี 2016 (ออกบน Switch ในปี 2017) ถือว่าเป็นภาคที่เปิดโลกใหม่บนคอนโซล PS4 , XBoxone และด้วยกราฟิกที่ดูดีอย่างมากในตอนนั้น ทำให้การประกาศออกบน Nintendo Switch ในปี 2017 แทบไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างลงได้ โดยรูปแบบเกมยิง FPS ที่ถือเป็นต้นฉบับของวงการ และภาคนี้ถือว่าสร้างออกมาได้ยอดเยี่ยมตั้งแต่ต้นฉบับ แน่นอนว่าทุกอย่างของความสนุกพบได้บน Switch เว้นแต่กราฟิกในเกมที่ต้องด้อยกว่าบน PS4 หรือ XBoxone อยู่แล้ว โดยทีมงานใช้การเบลอภาพ รวมทั้งกราฟิกอาจจะดูไม่ดีนักในโหมดพกพา แต่โดยรวมแล้ว Doom บน Switch ถือว่าเป็นอีกเกมที่พอร์ตมาดีมาก และใส่โหมดออนไลน์มาให้ครบแบบไม่ตัดออกด้วย นอกจากนี้ในเร็ว ๆ นี้จะมีภาคต่ออย่าง DOOM Eternal ออกบน Switch ด้วยเช่นกัน
Hellblade: Senua’s Sacrifice
อีกเกมที่เน้นหนักที่โชว์กราฟิกเทพ ๆ อย่าง Hell Blade ที่ต้นฉบับออกวางขายบน PS4 , XBoxone ในปี 2017 และออกบน Switch ในปี 2019 ในแง่ของกราฟิกที่ว่าสามารถถ่ายทอดความดีงามมาได้ยอดเยี่ยมมาก เพราะแทบไม่แตกต่างจากต้นฉบับมากนัก ส่วนรูปแบบบการเล่นแม้ตัวเกมจะไม่ได้มีฉากกว้าง ๆ แต่ก็ยังสร้างความสนุกในแง่ของแอ็กชันเน้นการสำรวจร่วมกันได้อย่างลงตัว แม้เกมเพลย์จะไม่ได้โดดเด่นเท่ากับเกมอื่นแต่หากคุณอยากเสพภาพสวย ๆ บน Nintendo Switch แล้ว Hellblade: Senua’s Sacrifice ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
Darksider (ภาคแรก)
เกมแอ็กชันแนวเซลด้า ที่ออกวางขายครั้งแรกบน PS3 , XBox360 ในปี 2010 และมีการพอร์ตลง WiiU แล้วด้วยแม้เกมจะเก่าขนาดนี้แต่ Darksider ยังคงน่าสนใจ ประเด็นแรกคือกราฟิกที่ด้วยเทคโนโลยีเมื่อ 10 ปีก่อนสามารถถ่ายทอดลงบน Switch แบบ 100% อยู่แล้ว บวกกับรูปแบบการเล่นที่นำตำนานอย่าง The Legend of Zelda มาปรับเข้ากับความ Hard Core และงานออกแบบที่คล้ายกับเกม Warcraft มารวมกันได้ลงตัวมาก รูปแบบการเล่นที่ทำออกมาได้ดีพอ ๆ กับเซลด้าบางภาค ใครอยากเล่นเซลด้าที่มีเนื้อหาผู้ใหญ่กว่า รวมทั้งมีความรุนแรงแบบ God Of War ไม่ควรพลาด
Wolfenstein II: The New Colossus และ Wolfenstein: Youngblood
ตามรอย Doom ฉบับปี 2016 ที่เป็นการนำเกมยิงฟอร์มดีมาย้ายบ้านลง Nintendo Switch และข่าวดีคือทีมงานที่พอร์ต Wolfenstein คือทีมที่นำ Doom มาลง Switch ด้วย แถมยังนำตำนานยุคใหม่มาถึง 2 ภาคคือ Wolfenstein II: The New Colossus และภาค Youngblood ด้วย และในแง่ของกราฟิกถือว่าพอร์ตออกมาดีพอ ๆ กับ Doom เพราะแม้รายละเอียดจะถูกลดระดับลง แต่ก็ยังดูดีบน Switch ส่วนรูปแบบการเล่นมาแนว FPS ที่ยอดเยี่ยมเพราะมีการออกแบบอาวุธ และฉากที่มีความแปลกตา ด้วยโลกที่นาซีเป็นใหญ่และเรารับบทเป็นกลุ่มต่อต้าน ที่ดูแปลกและเต็มไปด้วยความรุนแรงที่สูงมาก แต่ก็สนุกลงตัวจนเป็นอีกเกมที่ใครชอบเกมยิงโหด ๆ ไม่ควรปล่อยผ่านไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส