เมื่อพูดถึงตัวร้ายตลอดกาลที่แฟน ๆ เกม ‘Resident Evil’ รู้จักและจดจำเป็นอย่างดี ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องความชั่วร้ายทั้งหมดของเกมซีรีส์นี้ อย่าง ออสเวลล์ อี. สเปนเซอร์ (Ozwell E. Spencer) ชายผู้ก่อตั้งบริษัทยาขนาดใหญ่อย่าง ‘Umbrella Corporation’ ขึ้นมา ซึ่งตั้งแต่ที่เกม ‘Resident Evil’ กล่าวถึงเจ้าของบริษัทผู้นี้ตั้งแต่ภาคแรก แต่จนแล้วจนรอดเรากลับไม่เคยเห็นหน้าของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนมาถึง ‘Resident Evil 5’ เราจึงได้เห็นหน้าตาของชายแก่บนรถเข็นที่ไร้เรี่ยวแรงคนนี้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เขานั้นได้สร้างสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เอาไว้มากมาย วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าตาลุงสเปนเซอร์คนนี้ได้สร้างเรื่องราวเลวร้ายอะไรให้กับซีรีส์ ‘Resident Evil’ ไว้บ้าง
Ozwell E. Spencer คือใคร
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาเรามาทำความรู้จัก ชายผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวความชั่วร้ายทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ‘Resident Evil’ กันก่อนกับออสเวลล์ อี. สเปนเซอร์ เขาเป็นมหาเศรษฐีชาวอังกฤษที่อยู่ในชนชั้นสูงของยุโรป(ตระกูล Spencer) แถมยังเป็นนักไวรัสวิทยาและยังสนใจเรื่องของสุพันธุศาสตร์(แนวคิดของเลือดบริสุทธิ์ที่เป็นเกณฑ์สำหรับความเป็นเอกลักษณ์) และชื่นชอบการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิด Natural History Conspectus “ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ” ที่เป็นผลงานเขียนของนักสำรวจชาวอังกฤษอย่างเฮนรี่ เทรวิส (Henry Travis) ตัวสเปนเซอร์เกิดเมื่อปี 1923 เสียชีวิตในปี 2006 โดยเขานั้นเป็นเจ้าของคฤหาสน์ผีสิงในเกม ‘Resident Evil’ ภาค 0 และภาค 1 ที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราว ส่วนบั้นปลายชีวิตของเข้านั้นเมื่อบริษัท ‘Umbrella Corporation’ ที่สร้างมาล่มสลายเขาก็หายตัวมาอยู่คนเดียว และสั่งให้กวาดล้างเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงเพื่อป้องกันไม่ให้อเมริการู้เรื่องโครงการต่าง ๆ ที่ตนสร้างมาให้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น พร้อมกับวางแผนที่จะคืนชีพให้ตนเองด้วยการสั่งให้อเล็กซ์ เวสเกอร์ (Alex Wesker) เริ่มการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสที่สามารถฟื้นฟูให้เขากลับไปเป็นหนุ่ม โดยการจัดหาเงินทุนอุปกรณ์วัสดุการวิจัยพร้อมกับเหยื่อหลายร้อยคนมาทำการวิจัยบนเกาะ Sonido de Tortuga แต่ทางอเล็กซ์กลับไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เธอจึงเปลี่ยนแนวทางมาที่การย้ายจิตไปใส่ในร่างอื่น ซึ่งเป็นที่มาของเนื้อเรื่องใน ‘Resident Evil Revelations 2’
จุดกำเนิดไวรัส
ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้วที่เราพูดถึงความสนใจของสเปนเซอร์ เรื่องเกี่ยวกับ ‘Natural History Conspectus’ จากงานเขียนของนักสำรวจเฮนรี่ เทรวิส ที่ในบันทึกนั้นจะเป็นการเดินทางไปทั่วแอฟริกาตลอด 35 ปีที่ถูกเขียนออกมาเป็นหนังสือกว่า 72 เล่มที่สเปนเซอร์ติดตามอ่านอย่างสนใจ และในตอนนั้นเขาได้พบเพื่อนใหม่ 2 คนในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั่นคือเจมส์ มาร์คัส (James Marcus) และเอ็ดเวิร์ด แอชฟอร์ด (Edward Ashford) โดยสิ่งที่ทั้งสามคนสนใจนั้นคือเรื่องของไวรัสวิทยาและสุพันธุศาสตร์ ซึ่งหนึ่งในหนังสือของเฮนรี่ เทรวิสก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาสนใจ นั่นคือเรื่องราวของดอกไม้สุดพิเศษที่มีชื่อว่า ‘Stairway of the Sun’ ที่มีเพียงในชนเผ่าคนป่า ‘Ndipaya’ เท่านั้นที่มีมัน โดยดอกไม้นี้จะเป็นหนึ่งในตัวคัดเลือกหัวหน้าเผ่าที่ใครกินมันเข้าไปแล้วไม่ตาย ก็จะได้รับพลังความแข็งแกร่งพร้อมอายุที่ยืนยาวในการปกครองหมู่บ้าน ที่ในทางทฤษฎีแล้วดอกไม้นั้นเป็นเหมือนเชื้อไวรัสที่เกิดเองตามธรรมชาติที่สอดคล้องกับทฤษฎีสุพันธุศาสตร์ จนเมื่อสเปนเซอร์กับเพื่อนที่สนใจจึงไปสำรวจแล้วนำมาทดลองทันที จนในที่สุดเจมส์ มาร์คัสก็สามารถสกัดสารจากดอกไม้ออกมาได้จนเป็นต้นกำเนิดของ ‘T-Virus’ ขึ้นมาในอนาคต
กำเนิดบริษัท Umbrella Corporation
แต่ก่อนจะไปถึงจุดที่สร้างเชื้อ ‘T-Virus’ ในปี 1966 ทั้งสามคนจึงจัดคณะเดินทางไปยังแอฟริกาตะวันตกเพื่อค้นหาดอกไม้นั้นจนในที่สุดก็ได้มันมา หลังนั้นทั้งสามก็เริ่มการทำวิจัยขึ้นมหาวิทยาลัย แต่ด้วยงานวิจัยที่ไม่เป็นที่ยอมรับและยังดูแปลกประหลาด จนไม่มีใครสนใจให้ทุนสนับสนุนในการวิจัย จนในปี 1967 สเปนเซอร์จึงมีความคิดที่จะจัดตั้งบริษัทยาขึ้นมาบังหน้า เพื่อหาเงินมาระดมทุนในการทำงานวิจัย พร้อมกับได้แอบสร้างห้องทดลองใต้คฤหาสน์ในเทือกเขา Arklay ซึ่งเป็นเทือกเขาในแถบมิดเวสต์ของอเมริกา โดยบริษัทที่สร้างขึ้นมาบังหน้านั้นก็มาจากการทดลองไวรัสเอามาพัฒนาเป็นยารักษาโรคและครีมเพื่อความอ่อนเยาว์ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจนบริษัท ‘Umbrella Corporation’ เติบโตอย่างรวดเร็วไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาไวรัสอยู่เบื้องหลัง
ฆ่าคนออกแบบคฤหาสน์ จับลูกเมียเขามาทดลอง
วกกลับมาที่การสร้างคฤหาสน์ในเทือกเขา Arklay อีกครั้ง ที่ในตอนนั้นทางสเปนเซอร์ได้ว่าจ้างสถาปนิกชื่อดังอย่างจอร์จ ทรีเวอร์ (George Trevor) มาทำการออกแบบคุมงานการสร้างคฤหาสน์ที่มีทางเดินกลไกต่าง ๆ ที่ซับซ้อน รวมถึงห้องทดลองขนาดใหญ่และทางรถไฟเข้าออกของเฉพาะพนักงานโดยที่ไม่มีคนนอกเห็น จนเมื่อการสร้างคฤหาสน์สำเร็จไปได้ด้วยดีทางสเปนเซอร์ก็ได้ว่าเชิญครอบครัวทรีเวอร์มาฉลองในความสำเร็จ แต่ตัวจอร์จกลับติดธุระจึงมาช้ากว่ากำหนด แต่เขาก็ส่งลูกเมียอย่างลิซา ทรีเวอร์ (Lisa Trevor) มาก่อน เมื่อสองคนแม่ลูกมาถึงทั้งคู่ก็ถูกจับมาทดลองเชื้อ ‘T-Virus’ โดยตัวแม่นั้นกลายเป็นซอมบี้ทันทีเมื่อรับเชื้อแต่ลิซาต่างออกไป เพราะแทนที่เธอจะกลายเป็นซอมบี้หญิงสาวกลับทนเชื้อได้เหมือนผู้ที่ถูกดอกไม้เลือก จนเมื่อตัวพ่ออย่างจอร์จมาถึง เขาก็ติดกับดักของตนเอง โดยการวางยาและทิ้งไว้ในทางเดินใต้ดินอยู่หลายวันจนเขาได้ค้นพบทางออก ซึ่งแท้ที่แล้วแล้วมันคือป้ายหลุมศพของเขาที่วางรอเอาไว้ล่วงหน้า โดยการกระทำนี้ของสเปนเซอร์ก็เพื่อปิดปากคนที่รู้กลไกของคฤหาสน์ที่เราได้เจอในเกม ‘Resident Evil’ ภาคแรกนั่นเอง
สร้างเหล่า Wesker
ในระหว่างที่ทุกอย่างกำลังไปได้อย่างดีทางเอ็ดเวิร์ด แอชฟอร์ด ก็ขอแยกตัวออกมาจากบริษัท ‘Umbrella Corporation’ เพื่อมาทดลองในแบบของตนเอง โดยที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องอะไรกันอีก ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้จะถูกเล่าในเกม ‘Resident Evil Code Veronica’ และแม้จะขาดเพื่อนร่วมก่อตั้งไป แต่ตัวของสเปนเซอร์ก็ไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะเขามีเจมส์ มาร์คัส เป็นหัวเรือในการพัฒนาเชื้อ และในระหว่างนั้นเขามีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาเผ่าพันธุ์มนุษย์ขั้นสูงขึ้นมาในชื่อ ‘Project W’ โดยสเปนเซอร์เชื่อว่าโลกจะเสียหายจากความเสื่อมโทรมของมนุษย์ เขาจึงอยากจะสร้างโลกแห่งปัญญาชนที่มีพรสวรรค์ในยูโทเปียด้วยการใช้ไวรัสสร้างยอดมนุษย์ที่ชาญฉลาดแข็งแกร่งขึ้นมาในชื่อ ‘Project Wesker’ ซึ่งในช่วงแรกของการทดลองเด็กหลายร้อยคนทั่วโลกได้รับการอุปการะเลี้ยงดู ไม่ว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยเด็กที่ผ่านการทดลอง(เด็กหลายร้อยคนต้องตายเพราะไม่ผ่านการทดลอง) นั้นจะได้นามสกุล ‘Wesker’ ที่ตั้งจากชื่อของคนที่ริเริ่มโครงการนี้ แถมยังถูกปล่อยให้ไปใช้ชีวิตตามปกติแต่มีเพียงอัลเบิร์ตและอเล็กซ์ เวสเกอร์เท่านั้นที่ได้รับการยอมรับจากสเปนเซอร์ให้มาช่วยงาน นั่นก็หมายความว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเวสเกอร์คนอื่น ๆ อีกก็ได้
ฆ่าเพื่อนเพื่อขโมยผลงาน
ภายหลังจากที่โครงการ ‘T-Virus’ ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี แถมบริษัทยาก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี แต่ภายในของผู้ก่อตั้งทั้งสองคนนั้นกลับไม่ค่อยสู้ดีนัก ยิ่งมีข่าวการเสียชีวิตของเอ็ดเวิร์ด แอชฟอร์ด ในอุบัติเหตุในห้องทดลองที่มีสเปนเซอร์เป็นสาเหตุ ก็ยิ่งทำให้สเปนเซอร์กับมาร์คัสไม่ค่อยลงรอยกัน ขณะที่สเปนเซอร์จะดูแลในส่วนของบริษัทยาการสร้างภาพต่าง ๆ ทางมาร์คัสก็จะดูแลทางด้านการทดลองต่าง ๆ และในตอนนั้นทางมาร์คัสนั้นได้รับเด็กฝึกงานที่มีความสามารถอย่างอัลเบิร์ต เวสเกอร์ และวิลเลียม เบอร์กิน (William Birkin) มามาทำงาน ขณะที่เด็กฝึกงานคนอื่น ๆ ถ้าไม่ถูกทดลองก็ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากกับการทดลอง ‘T-Virus’ กับปลิงของมาร์คัส จนมาถึงปี 1988 สเปนเซอร์ก็ส่งหน่วย ‘Umbrella Security Service’ มากำจัดมาร์คัสทิ้งและให้อัลเบิร์ต เวสเกอร์และวิลเลียม เบอร์กินมาสานต่อการทดลอง ขณะที่ตอนนั้นปลิงที่ใช้ทดลองได้หลุดเข้าไปในปากมาร์คัสและใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าที่มาร์คัสจะฟื้นจากความตายมาแก้แค้นในเกม ‘Resident Evil 0’
สร้างภาพเป็นบริษัทมหาชนที่ช่วยการกุศล
หนึ่งในความฉลาดของสเปนเซอร์คือการสร้างภาพในฐานะนักบุญ ที่ช่วยเหลือผู้คนโดยการบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ร่วมถึงการออกเงินทุนสร้างทางรถไฟสาย Kitb Brothers ในเมืองแร็กคูนที่จากเดิมมีระยะทางเพียง 1 ไมล์และมีสถานีรองรับเพียง 3 สถานี จนบริษัท ‘Umbrella’ มาช่วยสนับสนุนเงินทุนในการสร้างเส้นทางเพิ่มอีก 8.5 ไมล์และเพิ่มสถานีเป็น 8 แห่ง รวมถึงการออกเงินทุนพัฒนาพิพิธภัณฑ์ศิลปะให้เป็นโรงพัก โดยเบื้องหลังมันก็คือการติดสินบนเจ้าหน้าที่ครั้งใหญ่เพื่อสร้างห้องทดลองใต้ดิน และปิดเรื่องราวเน่าเหม็นต่าง ๆ โดยที่ชาวเมืองไม่รู้เลยว่าบริษัท ‘Umbrella’ นั้นได้แอบซ่อนสิ่งต่าง ๆ ที่ชั่วร้ายเอาไว้ รวมถึงการสร้างภาพเป็นบริษัทมหาชน ที่มาเปิดโรงงานให้ชาวบ้านในแอฟริกาได้มีทำงาน จนเมื่อไวรัสรั่วไหลออกมาทาง ‘Umbrella’ ก็ปิดปากชาวบ้านที่ทำงานในนั้นทุกคนเหลือเพียงเชวา อโลมาร์ (Sheva Alomar) เท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ใน ก่อนจะบอกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุพร้อมจ่ายค่าชดเชยกับพนักงานทุกคน จนได้รับคำชื่นชมในการควบคุมเหตุการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องราวใน ‘Resident Evil 5’
ข้อดีของสเปนเซอร์ที่สร้างบริษัทยาขึ้นมา
ถ้าจะให้นับข้อดีของสเปนเซอร์ที่แทบจะหาไม่เจอแล้ว เราก็พอจะคิดออกว่านอกจากที่เขาจะสร้างอาวุธชีวภาพแล้ว เขายังผลิตยาที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘Adravil’ ยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีนและไม่ทำให้ผู้ใช้เสพติด ‘Safsprin’ ยาแก้ปวดชนิด Aspirin ที่แก้อาการปวดได้ดีกว่า รวมถึง ‘Uspirim Aspirin’ ยาบรรเทาอาการปวดอีกชนิดที่แรงกว่าแบบแรก นอกจากนี้ก็ ‘Aqua Cure’ ครีมที่ใช้รักษาบาดแผล โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่สร้างชื่อให้กับ ‘Umbrella Corporation’ นอกจากนี้ก็มี ‘Valifin’ ยารักษาโรคหัวใจในเด็กที่มีผลข้างเคียงทำให้ภาวะไตวายจึงเป็นยาควบคุมพิเศษ เรียกว่าเป็นการต่อยอดที่น่าชื่นชมที่สามารถเอา ‘T-Virus’ มาพัฒนาได้ขนาดนี้ แต่ด้วยความทะเยอทะยานไม่รู้จักพอจึงทำให้สเปนเซอร์ไม่หยุดแค่นี้ แต่เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาเชื้อไวรัสอาวุธชีวภาพใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ
ความผิดพลาดครั้งที่สองของสเปนเซอร์
ขนาดเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งบริษัทที่เติบโตด้วยกันมายังฆ่าได้ แล้วภาษาอะไรกับคนที่แทบไม่รู้จักที่จ้างมาพัฒนาสานต่องานจากเพื่อนจะฆ่าไม่ลง ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในเรื่องความผิดพลาดครั้งที่ 2 ของสเปนเซอร์ เพราะหลังจากที่วิลเลียม เบอร์กินมาสานต่องานวิจัยของมาร์คัสเขาก็ได้ค้นพบไวรัสตัวใหม่ที่ชื่อว่า ‘G-Virus’ โดยการทดลองกับลิซา ทรีเวอร์ ซึ่งแน่นอนว่าวิลเลียมที่รู้ว่าตนเองจะต้องพบเจอชะตากรรมเดียวกับอาจารย์ของตน เขาจึงได้แอบติดต่อไปยังรัฐบาลสหรัฐเพื่อขอลี้ภัยโดยมี ‘G-Virus’ เป็นใบผ่านทาง แต่ก่อนที่เขาจะหนีทางสเปนเซอร์ก็ส่งหน่วยพิเศษที่นำโดย ‘HUNK’ มากำจัดวิลเลียมและขโมยเชื้อมา ซึ่งก่อนที่วิลเลียมจะตายเขาฉีด ‘G-Virus’ ใส่ตนจนกลายเป็น G สัตว์ประหลาดฆ่าทุกคนตายเหลือเพียง ‘HUNK’ ที่รอดชีวิตพร้อมเชื้อ Virus แต่เชื้อ ‘T-Virus’ ก็หลุดไปตามท่อระบายน้ำผ่านหนูและน้ำดื่มในเมืองจนสุดท้ายก็เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไปทั่วเมือง
จับมนุษย์มาทดลองโดยไร้ซึ่งไร้ศีลธรรม
คราวนี้มาดูโครงการของ ‘Umbrella’ ที่เป็นอาวุธชีวภาพมีอะไรบ้าง เริ่มจากโครงการ ‘T-Virus’ ที่สามารถเอามาต่อยอดในการพัฒนาเป็นโครงการอื่น ๆ อีกเช่น ‘Project Hunter’ แบบต่าง ๆ นอกจากนี้ก็ ‘Project Licker’, ‘Mr. X’, ‘Plant 43’, ‘Modified Zombie’, ‘Tyrant’ และ ‘Nemesis’ (นับเฉพาะที่เอามนุษย์มาทดลอง) ที่กว่าแต่ละอย่างจะสำเร็จจนเป็นอาวุธชีวภาพที่เราได้ต่อสู้ ต้องใช้ตัวทดลองที่เป็นเหยื่อกี่คน ซึ่งจากข้อมูลบอกว่าโรงงานกำจัดขยะที่คอยกำจัดศพที่ติดเชื้อ ‘T-Virus’ กำจัดศพไม่ทัน จนพนักงานติดเชื้อและตัวทดลองที่เป็นซอมบี้ก็กระจ่ายเข้าเมือง(เนื้อหาในเกม‘Resident Evil 3’ ฉบับเก่า) เรียกว่าเยอะพอ ๆ กับจำนวนคนในเมืองแร็กคูนที่กลายเป็นซอมบี้เลยทีเดียว ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมชาวเมืองถึงไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ก็เพราะหัวหน้าตำรวจของกรมตำรวจแรคคูนอย่างไบรอัน ไอรอน (Brian Irons) คอยปิดเรื่องคนหายและสิ่งต่าง ๆ ให้ ‘Umbrella’ นั่นเอง
สร้างกองกำลังพิเศษบังหน้าสร้างภาพและกำจัดคู่แข่ง
ถ้าใครที่เคยเล่นเกม ‘Resident Evil 3 Remake’ มาคงจะได้เห็นหน่วย ‘Umbrella Biohazard Countermeasure Service’ (U.B.C.S.) ที่ทาง ‘Umbrella’ ส่งมาเพื่อช่วยเหลือผู้คน โดยคนเหล่านี้คือกลุ่มคนต้องโทษหรือผู้ก่อการร้ายที่ถูกจับมาเพื่อแลกกับอิสระภาพและเงินตอบแทนที่สูง ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงการบังหน้าที่เอาจริง ๆ หน่วยนี้กลับช่วยใครไม่ได้เลย(ช่วยตัวเองให้รอดไปยังยาก) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ‘Umbrella’ รู้อยู่แล้วว่าส่งไปก็ตาย แต่เป้าหมายจริง ๆ ของการจัดตั้งหน่วยทหารเหล่านี้ขึ้นมาที่นอกจากใช้บังหน้าแล้ว ยังใช้เป็นดึงความสนใจของสื่อและผู้คนให้สนใจหน่วย U.B.C.S. ก่อนที่จะส่งอีกหน่วยที่ชื่อว่า ‘U.S.S. Alpha Team’ (Umbrella Security Service) ไปจัดการเก็บกวาดหลักฐานหรือเอาไวรัสที่เป็นตัวทดลองกลับมา แถมในบางครั้ง ‘Umbrella’ ก็ใช้ความชอบทำในการลงนามอนุสัญญาห้ามอาวุธชีวภาพในการกำจัดบริษัทคู่แข่ง โดยการส่งหน่วย U.B.C.S. ไปบังหน้าและส่งหน่วยลับ U.S.S. Alpha Team ไปเก็บกวาดหลักฐานลับหลัง เรียกว่าโหดแม้แต่คู่แข่งในตลาด
ขายอาวุธชีวภาพให้ทุกที่โดยไม่สนว่าผิดหรือถูก
ด้วยความที่การวิจัยพัฒนาไวรัสนั้นต้องใช้เงินทุนและบุคลากรเป็นจำนวนมาก รวมถึงการติดสินบนในเรื่องต่าง ๆ ไปจนถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการทดลองที่ราคาสูง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การขายยาต่าง ๆ ที่บังหน้าจะเพียงพอ ดังนั้น ‘Umbrella’ จึงทำการขายอาวุธชีวภาพให้กับทุกคนทุกที่ทุกฝ่ายโดยไม่สนใจเลยว่ากลุ่มนั้นจะเอาไวรัสไปทำอะไร ซึ่งในเกมนั้นเราอาจจะไม่ได้เห็นว่า ‘Umbrella’ ขายสินค้าเหล่านั้นไปที่ไหนบ้าง จะมีเพียงการขายไวรัสของเวสเกอร์เท่านั้น ที่เราจะได้เห็นกลุ่มลูกค้าของเขาในเกมภาคต่าง ๆ แต่ถึงจะไม่มีหลักฐานแต่เราก็พอจะเห็นได้ว่าการที่บริษัท ‘Umbrella’ ยิ่งใหญ่จนมีสาขาไปทั่วโลกได้ขนาดนี้ ย่อมต้องขายอาวุธชีวภาพออกไปอย่างมากมายเหมือนที่เวสเกอร์ช่วยบริษัท ‘TRICELL’ เจริญก้าวหน้าหลังจากที่ ‘Umbrella’ ล่มสลายไปแล้ว
มรดกตกทอดจากความเลวร้ายที่ทำ
ปิดท้ายกับเรื่องราวผลกระทบที่ตามมาหลังจากที่สเปนเซอร์เสียชีวิตไปแล้วใน ‘Resident Evil 5’ เริ่มจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้กับ ‘Umbrella’ ที่ได้ขโมยไวรัสมาในภาค ‘Resident Evil Outbreak’ หรือจะเป็นภาค ‘Resident Evil Dead Aim’ ที่มีการประมูลเชื้อไวรัสบนเรือสำราญจากอดีตพนักงาน ‘Umbrella’ ที่ขโมยเชื้อออกมาได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ไปจนถึงของเวสเกอร์ที่เป็นการหักหลังครั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่มาร์คัสกับกองทัพปลิงมาทำลายคฤหาสน์ในเทือกเขา Arklay เวสเกอร์ก็ล่อหน่วย S.T.A.R.S. มาเพื่อใช้เป็นหนูทดลองอาวุธชีวภาพ ที่เหมือนเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น ว่าถ้าได้เจอกับหน่วยทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีจะเป็นอย่างไร เพื่อขายข้อมูลนี้แก่บริษัท ‘TRICELL’ โดยเป้าหมายที่แท้จริงของเวสเกอร์คือการทำลายโลกเพื่อคัดสรรมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ที่เหมือนเป็นการต่อยอดแนวคิดอันบิดเบี้ยวของสเปนเซอร์ ที่สุดท้ายความฝันของชายแก่และเวสเกอร์ก็ไม่สำเร็จ แถมทุกอย่างที่ทำมาตลอดชีวิตก็พลังลงแบบไม่มีชิ้นดี
ก็จบกันไปแล้วกับการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจของการรวมความชั่วร้ายของออสเวลล์ อี. สเปนเซอร์ที่เรียกว่าชั่วร้ายชนิดหาที่ดีไม่เจอเลยทีเดียว เพราะสิ่งที่ชายคนนี้ทำมาทั้งหมดก็เพื่อตัวเอง โดยที่เขาสามารถฆ่าเพื่อนสนิทที่โตด้วยกันได้ลงคอ ไปจนถึงการจับมนุษย์มาเป็นเหยื่อทดลองมากมาย ที่สุดท้ายความฝันของชายแก่ก็ไม่มีวันเป็นจริง แต่ความชั่วร้ายต่าง ๆ อย่างเชื้อไวรัสไปจนถึงอาวุธชีวภาพต่าง ๆ ก็ยังมีคนเอามาสานต่อไปจนถึงบริษัทคู่แข่ง ที่ตอนนี้ไม่มี ‘Umbrella’ มาคอยกดหัว ก็สามารถสร้างอาวุธชีวภาพมาแข่งอย่างที่เราได้อย่างอิสระ ที่เราได้เห็นใน ‘Resident Evil 7’ คงต้องรอดูกันต่อไปเมื่อไม่มี ‘Umbrella’ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ที่เรารู้แน่ ๆ ก็คือมันไม่ใช่เรื่องดีและต้องมีคนเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้อีกมากมายนับจากนี้แน่นอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส