เมื่อพูดถึงเกมในซีรีส์ ‘Pokemon’ เราต้องคิดถึงการเดินทางของเด็ก ๆ ที่อยากจะเป็นที่หนึ่งของการแข่งขัน ‘Pokemon’ ที่จัดขึ้นในภาคนั้น ๆ พร้อมกับการช่วยเหลือโลกจากกลุ่มตัวร้ายที่จะใช้พลังของ ‘Pokemon‘ ในตำนานเพื่อทำเรื่องไม่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจที่แฟน ๆ เกมซีรีส์ ‘Pokemon’ ชื่นชอบ และด้วยความโดดเด่นที่น่าสนใจของเกมซีรีส์นี้ตั้งแต่ภาค ‘Pokemon Gold and Silver’ เป็นต้นมา เราก็จะได้เห็น ‘Pokemon’ ในตำนานแต่ละภาคมาขึ้นบนปกเกม เพื่อบอกผู้เล่นให้ทราบว่าภาคนี้เราจะได้เจอ ‘Pokemon’ ในตำนานตัวไหน ซึ่งเมื่อเราย้อนกลับไปดูเกี่ยวกับการออกแบบตัวละคร ‘Pokemon’ ในตำนานอย่าง ซุงิโมริ เคน (Sugimori Ken) เขาได้อ้างอิงตำนานไปจนถึงเทพเจ้าต่าง ๆ ของหลายที่มารวมกันเพื่อสร้างออกมาเป็น ‘Pokemon’ ในตำนานรวมถึง ‘Pokemon’ มายาที่มีลักษณะสวยงามโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน เรามาดูกันดีกว่าว่า ‘Pokemon’ ในตำนานที่เรารู้จักได้รับการออกแบบมาจากอะไร โดยเราจะขอคัดเฉพาะตัวแปลก ๆ หรือตัวที่น่าสนใจมานำเสนอ ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียม ‘Masterball’ ให้พร้อมแล้วแล้วมาล่า ‘Pokemon’ ในตำนานกัน
Zacian และ Zamazenta ตัวแทนดาบที่ตัดได้ทุกสิ่งและโล่ที่ป้องกันได้ทุกอย่าง
เริ่มต้นกับ ‘Pokeemon’ คู่แรกที่หลายคนน่าจะสงสัยแน่ ๆ ว่ารูปลักษณ์ของดาบและโล่ที่ ‘Pokemon’ ทั้งคู่ใช้นั้นคืออะไร และได้แนวความคิดเหล่านี้มาจากไหน โดนเราขอเริ่มจาก ‘Pokemon’ ดาบอย่าง ‘Zacian’ ที่ถ้าใครไม่เคยเล่นเกม ‘Pokemon Sword and Shield’ มาก่อนจะทราบดีว่า ‘Pokemon’ ทั้งคู่นั้นมี 2 ร่าง นั่นคือร่างปกติที่เราจะเห็นแผลเป็นตามร่างกายที่บ่งบอกถึงการต่อสู้ในอดีต ส่วนร่างสองนั้นจะเป็นการเรียกธาตุเหล็กในดินมาสร้างเป็นดาบและชุดเกราะเพื่อใช้ในการต่อสู้ เหมือนกับ ‘Zamazenta’ ที่ก็มีรูปร่างและพลังที่คล้ายกันแต่ต่างกันตรงที่ร่างเกราะของ ‘Zamazenta’ จะเปลี่ยนเป็นโล่ และถึงแม้ทั้งคู่จะเป็น ‘Poemon’ ที่ไม่มีเพศแต่ในเรื่องก็เรียก ‘Zacian’ และ ‘Zamazenta’ ว่าพี่สาวน้องสาว โดยบทบาทของทั้งคู่นั้นเปรียบเหมือนนักรบของกษัตริย์อาเธอร์ (King Arthur) เปรียบดั่งอัศวินโต๊ะกลมที่เป็นเหมือนดาบ ‘Excalibur’ ที่แข็งแกร่งในศึกต่าง ๆ กับโล่ที่เปรียบดั่งม้าศึกในการทำสงครามปกป้องผู้คน และลักษณะของทั้งคู่ที่เหมือนหมาป่าก็เป็นสัตว์ประจำชาติของสหราชอาณาจักร ที่เป็นต้นแบบของภูมิภาคกาลาร์ ในเกมภาคนี้ได้เอามาเป็นต้นแบบ หรืออีกตำนานที่ถูกเอามาอ้างอิงนั่นคือตำนานชายขายหอกและโล่ ที่อ้างว่าหอกตนนั้นสามารถแทงเข้าทุกอย่างกับโล่ที่สามารถกันได้ทุกสิ่ง จนคนสงสัยว่าถ้าทั้งคู่มาสู้กันจะเกิดอะไรขึ้น เรียกว่าที่มาที่ไปค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับทั้งคู่
Jirachi ดวงดาวที่หลับใหลพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่
มาดู ‘Pokemon’ มายากันบ้าง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ทราบ ‘Pokemon’ มายานั้นจะถูกจัดเป็น ‘Pokemon’ หายากที่ไม่สามารถหาได้จากเกมทั่วไป แต่จะต้องไปรับในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ที่ทาง ‘Nintendo’ จัดขึ้นมาเท่านั้น และหนึ่งใน ‘Pokemon’ มายาที่หลายคนน่าจะชื่นชอบและหลงรักก็คือ ‘Jirachi’ ที่เป็น ‘Pokemon’ ดาวตกซึ่งจะตื่นขึ้นมา7 วันทุก ๆ 1,000 ปี และว่ากันว่า ‘Jirachi’ สามารถให้พรกับคนที่ต้องการได้ 3 ข้อ แต่ก็มีข้อจำกัดในการขอ และ ‘Jirachi’ ไม่สามารถสร้างวัตถุที่ต้องการจากความปรารถนาได้ แต่จะเคลื่อนย้ายวัตถุที่ต้องการไปยังบุคคลที่ขอพรแทน ยกตัวอย่างถ้าอยากได้เงินจำนวนมาก ‘Jirachi’ ก็จะไปดึงเงินจากธนาคารก็จะมาหาเราพร้อมกับตำรวจที่ตามมาจับ ในส่วนของการออกแบบนั้น ‘Jirachi’ มีพื้นฐานมาจากแนวคิดของ “ขอพรจากดวงดาว” ซึ่งเป็นการอธิษฐานขอพรตอนเห็นดาวตกตอนกลางคืน ส่วนป้ายกระดาษบนหัวก็อ้างอิงจาก ‘Tanzaku’ แถบกระดาษที่เขียนคำอธิษฐานในเทศกาลทานาบาตะของญี่ปุ่น ส่วนการตื่นเพียงเจ็ดวันของ ‘Jirachi’ อาจหมายถึงการที่เทศกาลนี้จัดขึ้นในวันที่ 7 ของเดือน 7 ทางจันทรคติเสมอ นับเป็น ‘Pokemon’ มายาที่สาว ๆ ชื่นชอบ
Deoxys สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวอันแข็งแกร่ง
มาดู ‘Pokemon’ ที่แปลกที่สุดในซีรีส์กันบ้างกับ ‘Deoxys’ ที่เป็น ‘Pokemon’ เอเลี่ยนจากต่างดาวที่ตกลงมาบนโลก จึงทำให้มันมีความพิเศษแตกต่างกับ ‘Pokemon’ ตัวอื่น ๆ เพราะมันสามารถเปลี่ยนร่างตนเองได้ถึง 4 แบบตามการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นร่างปกติที่เรียกว่า Normal Forme ที่เราจะเห็นเป็นร่างแรกในการต่อสู้หรือในรูปแบบปกติ แต่เมื่อต่อสู้ตัวของ ‘Deoxys’ จะเปลี่ยนร่างเป็น Attack Forme, Defense Forme และ Speed Forme ที่แต่ละร่างก็จะมีความสามารถที่ต่างกันตามการใช้งานตามชื่อของมัน แถมแต่ละร่างนั้นก็เป็นจุดสูงสุดของแต่ละสายอีกด้วย โดยการออกแบบ ‘Deoxys’ นั้นจะยึดรูปร่างจากมนุษย์ต่างดาวผสมกับนิวคลีอิกกรดเกลียวคู่ (Nucleic acid double helix) บวกกับรูปร่างของ ‘Chromosome’ ที่เป็นเกลียวพันกันไปมา(รูปประกอบด้านล่าง) ที่สื่อถึงการพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งของสิ่งมีชีวิต ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้เหมือนสัตว์หลาย ๆ ชนิดที่วิวัฒนาการจากอดีตมาจนถึงตอนนี้ นับเป็นการออกแบบที่ลงตัวมาก ๆ ตัวหนึ่งในซีรีส์
Cresselia และ Darkrai ผู้สร้างฝันร้ายและผู้ปัดเป่าความมืดในห้วงความฝัน
อีกหนึ่งเรื่องราวของ ‘Pokemon’ ที่การออกแบบนั้นจะมาเป็นคู่กันดั่งความดีและความชั่ว ที่เมื่อมีฝ่ายที่ทำร้ายผู้คนให้ตกอยู่ในฝันร้าย ก็จะมี ‘Pokemon’ ที่มาปัดเป่าฝันร้ายนั้นออกไป นั่นคือ ‘Cresselia’ และ ‘Darkrai’ คู่ ‘Pokemon’ ที่มีขั่วตรงข้ามกันอย่างชุดเจน โดยเริ่มจาก ‘Cresselia’ ซึ่งเป็น ‘Pokemon’ ที่สวยงามเหมือนพระจันทร์เสี้ยวตัวแทนแห่งความฝันดีที่สามารถปัดเป่าฝันร้ายให้กับเหล่ามนุษย์ โดยทุกอย่างที่เกี่ยวกับ ‘Pokemon’ ตัวนี้นั้นเป็นปริศนาไม่มีใครรู้ว่า ‘Cresselia’ เลยว่ามันมาจากไหน รู้แต่เพียงว่าตัวของ ‘Pokemon’ ตัวนี้จะเป็นขั้วตรงข้ามกับ ‘Pokemon’ ที่สร้างฝันร้ายอย่าง ‘Darkrai’ ซึ่งการออกแบบของ ‘Cresselia’ นั้นจะอ้างอิงมาจากหงส์บวกกับรูปพระจันทร์เสี้ยวส่วนวงแหวนรอบตัวเปรียบเหมือนดาวเคราะห์ออโรร่าที่อ้างจากกลุ่มดาว ‘Cygnus’ ที่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ส่วน ‘Darkrai’ นั้นได้ต้นแบบมาจากฝันร้าย ซึ่งมันจะคอยพูดเพื่อหลอกล่อคนที่กำลังฝันให้ตกอยู่ในความทุกข์ เพื่อที่จะกลืนกินความหวาดกลัวให้คน ๆ นั้นตกอยู่ในฝันร้ายจนไม่มีวันตื่นจนตาย โดยการออกแบบนั้นจะอ้างอิงมาจากวิญญาณที่มืดมิดบวกกับตำนานต่าง ๆ เช่น ‘Bogeyman’ ไปจนถึงเทพเจ้าแห่งฝันอย่าง ‘Morpheus’ และปีศาจกินความฝันมนุษย์อย่าง ‘Jinn’ ที่ทั้งคู่ถูกสร้างมาเพื่อคู่กันแต่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจนนั่นเอง
Zekrom และ Reshiram ไม่มากไปไม่น้อยไปและขาดสิ่งใดไปไม่ได้
เชื่อว่าหลายคนที่ได้เห็นคู่ ‘Pokemon’ ขาวดำอย่าง ‘Zekrom’ (ตัวสีดำ) และ ‘Reshiram’ (ตัวสีขาว) คงคิดถึงความมืดแสงสว่างที่เป็นขั้วตรงข้ามระหว่างความดีและความชั่ว เหมือนชื่อภาค ‘Pokemon Black and White’ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้น แต่ทั้งคู่นั้นคือตัวแทนแห่งความสมดุลเช่นความมืดสว่าง ชายหญิง ที่เปรียบได้ดั่งหยินและหยางในลัทธิเต๋าที่ถ้าขาดฝ่ายหนึ่งไปจะเสียสมดุลไปในทันที ต่างกับความมืดสว่าง ความดีความชั่ว ที่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาชนะหรือมีมากกว่า แต่สำหรับสองตนนี้คือการอยู่คู่กันไม่มีมากไม่น้อยและขาดกันไม่ได้ โดยตัวของ ‘Zekrom’ จะถูกออกแบบให้เป็นเหมือนดั่งเพศชายที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีต้นแบบมาจากไดโนเสาร์ ‘Allosaurus’ ผสมกับ ‘Tyrannosaurus’ บวกกับมังกรโบราณอย่าง ‘European Dragon’ ส่วนการออกแบบ ‘Reshiram’ นั้นจะเป็นลักษณะตรงข้ามที่ดูบอบบาง และเส้นขนเหมือนผมของเพศหญิง ที่การออกแบบนั้นไม่ได้อ้างอิงมาจากไดโนเสาร์แต่จะอ้างอิงมาจากตำนานมังกรขาวแห่งอังกฤษ ที่ใช้ไฟในการต่อสู้ปกป้องผู้คน รวมถึงเทพเจ้า ‘Ahura Mazda’ เทพผู้สร้างและสูงที่สุดเทพของโซโรอัสเตอร์ ที่เปรียบเหมือนไฟสีขาวที่ปกป้องผู้คนต่างกับ ‘Zekrom’ ที่เป็นสายฟ้าสีดำในการทำลายล้าง ส่วนชื่อ ‘Reshiram’ มาจากคำว่า Shiro ที่แปลว่าสีขาว ที่เรียกว่าแตกต่างแต่ลงตัวมาก ๆ สำหรับ ‘Pokemon’ คู่นี้
Zeraora ฉันคือแมวสายฟ้าใครไม่อยากเจ็บตัวก็หลีกทางไป
เอาใจสายทาสแมวกันบ้างกับ ‘Pokemon’ สายฟ้าอย่าง ‘Zeraora’ หนึ่งใน ‘Pokemon’ ในตำนานที่ปรากฏตัวครั้งแรกในเกม ‘Pokémon Ultra Sun’ และ ‘Ultra Moon’ โดยลักษณะภายนอกที่เราเห็นนั้นเขาคือแมวผสมกับเสือ ที่มีเค้าโครงร่างของมนุษย์ที่อ้างอิงมาจาก ‘CatGirls’ การ์ตูนเด็กสาวหูแมว รวมถึง ‘Kanehekili’ เทพเจ้าที่สร้างฟ้าร้องของชาวฮาวาย ส่วนชื่อ ‘Zeraora’ ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘Zeus’ เทพเจ้าสายฟ้าของกรีก และเห็นว่าเป็น ‘Pokemon’ สายฟ้าแต่ ‘Zeraora’ ไม่มีอวัยวะที่ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เหมือน ‘Pokemon’ ตัวอื่น มันจึงต้องดูดไฟฟ้าจากที่อื่นมาเป็นพลัง ซึ่งมันสามารถสร้างสนามแม่เหล็กที่ทรงพลังมากผ่านกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ปล่อยออกมาจากอุ้งเท้าของมัน แถมยังการใช้สร้างสนามแม่เหล็กทำให้ลอยตัวและเคลื่อนที่ได้รวดเร็วขณะอยู่ในอากาศได้ด้วย นับเป็น ‘Pokemon’ สายฟ้าที่เหมาะสำหรับสายคนรักแมวจริง ๆ
Uxie, Mesprit และ Azelf ตัวแทนแห่งความกล้าปัญญาและความเมตตากรุณา
คราวนี้มาดู ‘Pokemon’ ที่เป็นตัวแทนของอารมณ์ความรู้และจิตใจให้กับมนุษย์กันบ้าง กับ 3 ‘Pokemon’ มายาอย่าง ‘Uxie’ ตัวสีเหลือง ‘Mesprit’ ตัวลีชมพูและ ‘Azelf’ ตัวสีฟ้า ที่ทั้งสามตนนี้นั้นกำเนิดมาจากเทพเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งอย่าง ‘Arceus’ ที่ทั้ง 3 ตนนั้นจะเป็นตัวแทนของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตบนโลก ที่อ้างอิงมาจากเครื่องราชกกุธภัณฑ์ญี่ปุ่น(ของวิเศษในตำนานทั้งสามชิ้น) ประกอบ Sword Kusanagi no Tsurugi ตัวแทนแห่งความกล้าหาญ Mirror Yata no Kagami ตัวแทนแห่งปัญญา และ Yasakani no Magatama ตัวแทนแห่งความเมตตากรุณา ที่เป็นต้นแบบให้ ‘Pokemon’ ทั้งสามตน แถมชื่อของทั้ง 3 ตนยังสามารถอ่านออกเสียงเป็นคำว่า you (Uxie), me (Mesprit) และ us (Azelf) ได้อีกด้วย เรียกว่าลึกซึ้งถึงแก่นจริง ๆ สำหรับการตั้งชื่อของ ‘Pokemon’ เหล่านี้
Dialga และ Palkia เกิดมาคู่กันขาดสิ่งใดไปไปไม่ได้แต่ก็ไม่ถูกกัน
เชื่อว่าหลายคนที่ไม่ได้เล่นเกมซีรีส์ ‘Pokemon’ คงจะต้องสงสัยแน่ ๆ ว่า ‘Pokemon’ ตัวแทนเพชรและไข่มุกในเกม ‘Pokemon Diamond and Pearl’ อย่าง ‘Dialga’ ตัวสีฟ้าและ ‘Palkia’ ตัวสีชมพูว่าคือตัวแทนของอะไร โดยเริ่มจาก ‘Dialga’ ตัวแทนของ ‘Pokemon’ ฝั่งเพชรตัวแทนของเวลาที่สามารถเร่งหยุดไปจนถึงความสามารถในการเดินทางข้ามเวลาไปได้ตามที่ต้องการ โดยการออกแบบ ‘Dialga’ นั้นมีที่มาจากไดโนเสาร์คอยาวอย่าง ‘Camarasaurus’ กับ ‘Brachytrachelopan’ ในส่วนของความหมายของเพชรและเวลานั้น หมายถึงเพชรก็คือคาร์บอนที่ถูกบีบอัดจนเปลี่ยนสภาพ ซึ่งมีองค์ประกอบมาจากเหล็กกล้าที่เป็นโลหะผสมจากเหล็กและคาร์บอน ที่เอามาใช้ทำฟันเฟืองของนาฬิกา ส่วนคำว่า dia บนชื่อ ‘Dialga’ ในภาษาสเปนหมายถึงหน่วยของเวลา ส่วน ‘Palkia’ เป็นตัวแทนของมิติที่สามารถเดินทางข้ามไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการไปจนถึงการสร้างมิติของตนเองเพื่ออาศัยอยู่ได้ ซึ่งสิ่งที่ ‘Palkia’ ทำก็ไปขัดแย้งกับ ‘Dialga’ ที่เป็นตัวแทนของเวลาทั้งคู่จึงไม่ถูกกัน โดยตัวของ ‘Palkia’ นั้นอ้างอิงมาจากไดโนเสาร์ ‘Plateosaurus’ ผสมกับ ‘Oviraptor’ ที่ยืนสองขาเพื่อให้ดูแตกต่าง ในส่วนของไข่มุกและมิติเวลานั้นก็เปรียบเหมือนพื้นที่ขนาดใหญ่ในมหาสมุทร ที่มีไขมุกที่เป็นการเปรียบเทียบถึงพลังงานและสสารที่ไหลเวียนและเปลี่ยนแปลงเป็นทรงกลมเหมือนไขมุก นอกจากนี้ทางดาราศาสตร์กรีกโบราณก็ตีความหมายของโลกที่เปรียบเหมือนไข่มุกที่จมอยู่ในน้ำ ที่เป็นเหมือนมิติอันไร้ที่สิ้นสุด นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีต้นแบบมาจากตำนานสร้างเกาะญี่ปุ่นของเทพเจ้าพี่น้อง ‘Izanami’ และ ‘Izanagi’ อีกด้วยเรียกตีความลึกซึ้งจริง ๆ สำหรับคู่นี้
Giratina ผู้ล่าตามธรรมชาติ
ต่อเนื่องจากคู่ของ ‘Dialga’ และ ‘Palkia’ ที่คราวนี้จะเป็น ‘Pokemon’ ผู้ล่าตามธรรมชาติที่อยู่เหนือ ‘Pokemon’ ทั้งสองกับ ‘Giratina’ เทพเจ้าที่ปกครองมิติเบื้องหลังที่สามารถเดินทางไปยังมิต่าง ๆ รวมถึงข้ามกาลเวลาได้ดั่งใจ ที่เกิดมาจากผู้สร้าง ‘Arceus’ แต่ด้วยนิสัยอันดุร้ายและเป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด จึงทำให้ ‘Giratina’ ถูกขับออกไปอยู่ในมิติอันห่างไกล โดยเจ้า ‘Giratina’ ก็เป็นหนึ่งใน ‘Pokemon’ ไม่กี่ตัวที่สามารถเปลี่ยนร่างตามสถานที่อยู่ได้ด้วย เช่นถ้าอยู่บนพื้นโลกมันก็จะมีขาแต่ถ้าอยู่ในโลกต่างมิติขาก็ไม่จำเป็น แถมทั้งสองร่างยังมีค่าพลังและการใช้งานที่ต่างกันอีกด้วย โดยการออกแบบของ ‘Giratina’ มาจากพระคัมภีร์ที่เล่าถึงทูตสวรรค์ซึ่งก่อกบฏต่อพระเจ้าจนถูกขับลงไปอยู่ในนรก ในส่วนของร่างไร้ขานั้นจะอ้างอิงมาจาก ‘Seta’ ตะขาบยักษ์จากเทพนิยายญี่ปุ่นเรื่อง My Lord Bag of Rice ส่วนปีข้างหลังจะอ้างอิงมาจากขาของแมงป่อง ในส่วนของร่างมีขาทั้งหกนั้นอ้างอิงมาจากแมงมุมและแมงป่อง(ดูจากรูปร่างขาเหมือนช้างไม่ก็ไดโนเสาร์มากกว่า) ขณะที่ปีกนั้นอ้างอิงมาจากค้างคาว และถ้าเราตีความของ ‘Dialga’ และ ‘Palkia’ คือเหล็กและไขมุกตัวของ ‘Giratina’ ก็คือตัวแทนของ ‘Platinum’ หรือทองคำขาวซึ่งเป็นธาตุที่เป็นส่วนผสมของโลหะทรานซิชันที่เปรียบเหมือนสิ่งที่อยู่ตรงกลางของทั้งสองสิ่ง ที่เรียกรวม ๆ ว่าสถานะของสสารที่ ‘Dialga’ ตัวแทนของของเหลวห้วงมิติ ‘Palkia’ ตัวแทนของของแข็งและเวลา ส่วน ‘Giratina’ คือตัวแทนของก๊าซและแร่ที่เป็นส่วนผสมสำคัญของทั้งสองสิ่ง เปรียบดั่งห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติที่มีผู้ล่าและผู้ถูกล่า
Celebi เทพเจ้าผู้ดูแลป่าที่อยู่เหนือห้วงเวลา
ในอดีตสมัยที่การสื่อสารยังไม่รวดเร็วเท่ายุคนี้ การจะติดตามข่าวสารวงการเกมนั้นก็ทำได้แค่เพียงอ่านจากหนังสือเกมเท่านั้น ส่วนเครื่องเกมที่ใช้เล่นเกม ‘Pokemon’ นั้นก็เป็นเพียงแค่เครื่อง ‘Game Boy Color’ เท่านั้น และนั่นก็คือที่มาของข่าวลือการตามล่า ‘Pokemon’ มายาอย่าง ‘Celebi’ ที่มีวิธีตามล่าออกมาอย่างมากมาย ที่บ้านเราในตอนนั้นเป็นกระแสไปทั่วประเทศในกลุ่มคนเล่นเกม ‘Pokemon’ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือเรื่องแหกตาที่ไม่เป็นความจริง เพราะการจะได้ ‘Celebi’ นั้นต้องรับจากงานที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในญี่ปุ่นยุคนั้นเพียงอย่างเดียว ในส่วนของการออกแบบนั้น ‘Celebi’ อ้างอิงการบูชาตามธรรมชาติของศาสนาชินโตที่เรียกว่าเสียงแห่งป่า และยังสื่อถึงนางฟ้านางไม้ตามป่าที่พบเห็นได้ยาก ตัวของ ‘Celebi’ จะเดินทางข้ามเวลาไปตามที่ต้องการ และผู้ที่จับมันได้ก็จะกลายเป็นคนที่สามารถควบคุมกาลเวลาได้ และจากข้อมูลบอกว่า ‘Celebi’ จะอาศัยอยู่เป็นฝูงแต่ยากที่จะพบเห็นหรือจับมัน และด้วยความที่ตัวเกมยังเป็นเพียงแค่ภาคสองของซีรีส์ ‘Pokemon Gold and Silver’ เราจึงยังไม่เห็นการออกแบบตีความที่ซับซ้อนเมื่อเทียบกับภาคหลัง ๆ
Arceus เทพเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล Pokemon
ปิดท้ายกับเทพเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งบนโลกของเกม ‘Pokemon’ ที่ถ้าไม่มี ‘Arceus’ ก็คงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์สัตว์ต่าง ๆ ไปจนถึงเหล่า ‘Pokemon’ บนโลกนี้ โดยตัวของ ‘Arceus’ นั้นได้สร้าง ‘Dialga’, ‘Palkia’ และ ‘Giratina’ ขึ้นมาเพื่อรักษาสมดุลของมิติเวลาเอาไว้ให้คงอยู่ และยังสร้าง ‘Uxie’, ‘Mesprit’ และ ‘Azelf’ ที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณให้ทุกสิ่งมีชีวิตที่เราได้อธิบายไปแล้ว ในส่วนของการออกแบบนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในพระพุทธศาสนา ที่เปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิดโลกและทุกสรรพสิ่ง รูปร่างของ ‘Arceus’ อ้างอิงมาจาก ‘Apis’ เทพเจ้าวัวของอียิปต์ที่เป็นตัวแทนของการให้กำเนิดโลก ส่วนวงแหวนด้านหลังก็อ้างอิงมาจากวงแหวนธรรมจักรตัวแทนการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนชื่อของ ‘Arceus’ จะเป็นการรวมกันของคำว่า arch ที่แปลว่าสูงสุด นอกจากนี้ยังเอามาจากคำว่า archon ในภาษากรีกที่แปลว่าผู้ปกครอง ส่วนคำว่า deus ในภาษาละตินหมายถึงพระเจ้า นอกจากนี้ยังอ้างอิงถึง ‘Arcesius’ กษัตริย์กรีกในตำนานแห่ง Ithaca ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย เรียกว่าทั้งชื่อรูปร่างนั่นสื่อถึงความยิ่งใหญ่สมกับเป็นเทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลจริง ๆ
ก็จบกันไปแล้วกับเรื่องราวของ ‘Pokemon’ ในตำนานและ ‘Pokemon’ มายาที่เอามานำเสนอหวังว่าจะถูกใจกัน โดยเราพยายามคัด ‘Pokemon’ ที่มีการออกแบบได้แปลกและน่าสนใจมานำเสนอ โดยจะไม่ได้บอกถึงข้อมูลในเกมเพราะ ‘Pokemon’ บางตัวนั้นค่อนข้างหายากและไม่ค่อยเหมาะแก่การใช้งาน เราจึงขอข้ามในส่วนนี้ไป และเป้าหมายของบทความนี้เพื่อเป็นการแนะนำให้ผู้เล่นหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่กำลังเล่นเกม ‘Pokemon’ จะได้อินและรู้จักเทพเจ้าเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งถ้าขาดตกข้อมูลตรงไหนไปก็ขออภัยมาด้วย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรในวงการเกมก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส