นับตั้งแต่ช่วงปี 2019 เป็นต้นมาเราจะได้เห็นเกมต่าง ๆ ถูกเอามา Remake มากขึ้น ทั้งเกมเก่าระดับตำนานไปจนถึงเกมที่ไม่เก่ามากแต่ก็เอามา Remake ให้เราได้เล่น ซึ่งเมื่อกระแสการ Remake เกมที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีนักเล่นเกมทั่วโลกเริ่มพูดถึงเกมดังในอดีตหลาย ๆ เกม ว่าทำไมไม่เอาเกมนี้เกมนั้นมา Remake เมื่อคิดได้แบบนั้นเราเลยไปหาเกมเก่าระดับตำนานที่นักเล่นเกมในบ้านเราอยากให้ค่ายเกมหยิบมา Remake มานำเสนอ โดยเราจะมาคิดกันเล่น ๆ ว่าถ้าเกมเหล่านี้เอามา Remake ตัวเกมควรปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมอะไรลงไปอีกบ้าง โดยยึดหลักเกมยุคใหม่ที่ถูกเอามา Remake เป็นหลักเพื่อให้ง่ายต่อการเห็นภาพ จะมีเกมอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นมาดูกันเลย
Metal Gear ภาคแรก
เริ่มต้นเกมแรกที่แฟน ๆ เกมทั่วโลกอยากให้ทางผู้บริหาร ‘Konami’ กลับตัวกลับใจหันมาสนใจแฟน ๆ ที่รอคอยเกมต่าง ๆ ในค่ายตัวเองให้มีภาคต่อออกมาเสียที และเอาเกม ‘Metal Gear’ ภาคแรกมา Remake ซึ่งคำว่าภาคแรกในที่นี้หมายถึงภาคแรกสุดของเกมนี้ไม่ใช่เกม ‘Metal Gear Solid 1’ ที่ลงบน ‘PlayStation 1’ ที่อันนี้ถูก Remake ไปแล้ว ซึ่งเกม ‘Metal Gear’ ภาคแรกที่เราจะพูดถึงนั้นวางจำหน่ายบนเครื่อง ‘MSX 2’ ในปี 1987 ที่นับเป็นภาคแรกสุดของซีรีส์ ‘Metal Gear’ ที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยตัวเกมจะเล่าเรื่องราวของ ‘Solid Snake’ กับภารกิจแรกของเขาในชื่อรหัส Operation Intrude N313 ที่ใครซึ่งเคยเล่น ‘Metal Gear Solid 5 The Phantom Pain’ จนจบจะทราบดีว่าเรื่องราวของเกมในตอนจบนั้นจะวนมาสู่เรื่องราวใน ‘Metal Gear’ ภาคแรกนี้พอดี ตัวเกมจึงเหมาะแก่การเอามา Remake ที่สุด สำหรับคนที่ไม่รู้จักเกม ‘Metal Gear’ ภาคแรกจะเล่าเรื่องราวต่อเนื่องจาก ‘Metal Gear Solid 5 The Phantom Pain’ มาอีกหลายสิบปีต่อมา เพราะ อีไล (Eli) หรือก็คือ ‘Liquid Snake’ ในอนาคตได้เข้ามาฝึกพร้อมกับ ‘Solid Snake’ แต่ครั้งนี้มีเพียง ‘Solid Snake’ ที่มาทำภารกิจ หลังจากที่รุ่นพี่อย่าง ‘Gray Fox’ ขาดการติดต่อไปเมื่อเข้าไปสืบใน ‘Outer Heaven’ ประเทศเล็ก ๆ ที่มีกองกำลังทหารและอาวุธเป็นของตนเอง ที่อาจจะทำการครองโลก ตัวเกมในยุคนั้นแม้จะเป็น 2D แต่ก็ยังให้อารมณ์สายลับแอบซ่อนเหมือนที่เราเล่นในภาคล่าสุด และลองคิดดูว่าเกมภาคแรกที่สานต่อจากภาคห้าที่จบไปมันจะดีขนาดไหน และเมื่อเอามา Remake ก็ควรเพิ่มเนื้อเรื่องเพิ่มตัวละครต่าง ๆ ลงไปเพื่อเชื่อมกับภาคต่อ ๆ เข้าไปอีก รับรองว่าแฟน ๆ ต้องชอบแต่งานนี้บอกเลยว่าเป็นไปได้ยาก
Final Fantasy Vlll
อีกหนึ่งเกมที่แฟน ๆ หวังในใจเล็ก ๆ ว่าจะมีการ Remake เหมือนเกมรุ่นพี่อย่าง ‘Final Fantasy Vll’ ที่ได้ไฟเขียว Remake ไปแล้ว ก็น่าจะถึงคิวของ ‘Final Fantasy Vlll’ เป็นเกมต่อไปที่ควรถูก Remake ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่า ทำภาค 7 ให้จบก่อนแล้วค่อยคิดถึงภาค 8 ถ้าคิดแบบนั้นก็ใช่แต่ถ้าเราสามารถเล่นสลับไปมาแบบปีต่อปี ดีกว่าจะต้องมารอ ‘Final Fantasy Vll Remake’ ภาค 2 ที่ไม่รู้จะมาเมื่อใด สู้ระหว่างนั้นมี ‘Final Fantasy Vlll Remake’ ภาค 1 มาให้เล่นขั้นเวลาไปด้วยไม่ดีกว่าหรอ บวกกับกราฟิกที่เอาแบบ ‘Final Fantasy Vll Remake’ มาเลย พร้อมกับระบบการเล่นที่เป็นแอ็กชันเหมือนภาค 7 แต่เปลี่ยนมาเป็นการดูดเวทมนตร์ศัตรู ที่เป็นระบบหลักของภาค 8 มาดัดแปลงที่แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว นี่ยังไม่นับความสวยงามของฉากงานเต้นรำในตอนต้นเกมที่ในยุคนั้นถือว่าสวยงามแล้ว ถ้าเป็นกราฟิกยุคนี้ฉากที่ว่ามานั้นจะสวยยิ่งขึ้นขนาดไหน และเมื่อทำทั้งทีก็ควรแบ่งเป็นตอนเหมือนภาค 7 โดยในภาคแรกให้จบตรงที่ สควอลล์ (Squall) โดนน้ำแข็งเสียบจนถูกจับขังคุกในเกมแผ่นแรก รับรองว่าแฟน ๆ ต้องชอบมากแน่ ๆ
Onimusha 3
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2001 บนเครื่อง ‘PlayStation 2’ ได้มีเกมแอ็กชันซามูไรที่อ้างอิงรูปแบบการควบคุมมุมกล้องและบรรยากาศคล้ายเกม ‘Resident Evil’ ได้ปล่อยออกมาในชื่อ ‘Onimusha’ ที่บอกเล่าเกี่ยวกับการเดินทางของซามูไรหนุ่มนาม ซามาโนสุเกะ (Samanosuke) ที่ต้องยับยั้งการเกิดใหม่ของจอมพลอันชั่วร้าย โนบุนางะ โอดะ (Nobunaga Oda) ที่จะฟื้นคืนชีพมาทำลายญี่ปุ่น ตัวเกมจะเป็นแอ็กชันเดินหน้าสู้กับศัตรูที่เป็นซามูไรซอมบี้ไปจนถึงสัตว์ประหลาดที่ถูกเอามา Remaster ไปแล้ว แต่กับ ‘Onimusha 3’ นั้นควรเอามา Remake ไปเลย เพราะตัวเกมภาคนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจกว่าภาคแรกเยอะมาก(ส่วนภาคที่ 2 นั้นจะเป็นเรื่องราวอื่นที่ไม่เกี่ยวกัน) ซึ่งใครที่เคยเล่นหรือรู้จักเกมภาคนี้จะรู้ว่าเราจะไม่ได้เล่นเป็นแค่ซามาโนสุเกะเพียงอย่างเดียว แต่เราจะได้เล่นเป็นนายตำรวจหนุ่มชาวฝรั่งเศสชื่อ ฌาคส์ บล็องก์ (Jacques Blanc) ที่เนื้อเรื่องจะตัดสลับไปมาระหว่างสองคน ซึ่งความสนุกมันอยู่ตรงที่ซามาโนสึเกะของเราจะถูกส่งมาอนาคตปี 2001 ที่ประเทศฝรั่งเศส ขณะที่บล็องก์จะถูกส่งไปในญี่ปุ่นโบราณ ที่ทั้งคู่ต้องหาทางแก้ไขปริศนาเพื่อช่วยโลกทั้งสองมิติเวลาให้กลับมา ซึ่งการกระทำของทั้งคู่ในเกมนั้นจะเชื่อมต่อกันคล้ายระบบเกม ‘Resident Evil 2’ ฉบับเก่า และเมื่อเกมถูกเอามา Remake ในกราฟิกยุคนี้จะดีขนาดไหนที่เราจะได้เห็นซอมบี้ซามูไรญี่ปุ่นสู้กับทหารฝรั่งเศส โดยมีซามาโนสึเกะมาไล่สู้กับสัตว์ประหลาดที่หอไอเฟลในกรุงปารีส ขณะที่นายตำรวจฝรั่งเศสไปยืนคุยกับชาวบ้านในยุคญี่ปุ่นโบราณ และที่ขาดไปไม่ได้เลยคือนักแสดงที่เคยรับบทซามาโนสึเกะอย่าง ทาเกชิ คาเนชิโระ (Takeshi Kaneshiro) และ ฌ็อง เรโน (Jean Reno) ให้กลับมารับบทเดิมพร้อมกับให้เสียงพากย์เหมือนในต้นฉบับด้วย แถมพอทำเสร็จก็เอาภาคแรกที่ Remaster ไปแล้วมาขายซ้ำอีกรอบก็ได้เรียกว่าได้สองต่อเลยทีเดียว
Dragon Quest lX
เมื่อพูดถึงการเอาเกมเก่ามา Remake นั้น เกม ‘Dragon Quest’ คือหนึ่งซีรีส์ที่มีการเอามา Remake บ่อยที่สุดซีรีส์หนึ่งในวงการเกม โดยเฉพาะไตรภาคหนึ่งถึงสามที่ถูกเอามา Remake อยู่บ่อยครั้ง และภาคล่าสุดที่ ‘Square Enix’ หยิบ ‘Dragon Quest’ มา Remake ก็คือภาคที่ 8 ของซีรีส์ ก่อนจะกระโดดกลับมา Remake เกม ‘Dragon Quest lll’ ที่เราได้ทราบข่าวไป ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วมันต้องถึงคิวของ ‘Dragon Quest lX’ ที่ต้องถูก Remake ซึ่งถ้าเกมภาคนี้ถูก Remake ขึ้นมาจริง ๆ คงจะน่าสนใจไม่น้อย เพราะทั้งระบบการเล่นของเกมภาคนี้ ที่จะเป็นการสร้างตัวละครขึ้นมาเองตั้งแต่ตัวผู้กล้าไปจนถึงเพื่อนร่วมทีมของเรา ที่จะสร้างแบบเพศหญิงชายหน้าตาทรงผมอาชีพตามที่เราต้องการ รวมถึงระบบการต่อสู้ที่จะเป็นแบบใหม่ ที่เราจะได้เห็นตัวละครวิ่งไปมาในฉากต่อสู้ที่ดูมีมิติกว่าภาคก่อน ที่เป็นการยืนหน้ากระดานผลัดกันโจมตี และเมื่อเราซื้ออาวุธชุดเกราะให้ตัวละครใส่เราก็จะได้เห็นว่าตัวละครเหล่านั้นใส่แล้วสวยหล่อขนาดไหน เพราะในภาคก่อน ๆ เราจะเห็นแค่อาวุธที่เปลี่ยนแต่ตัวละครยังสวมชุดเดิม และเมื่อเอามา Remake ทั้งทีก็ควรจะทำกราฟิกแบบ ‘Dragon Quest Xl’ ที่สวยงามยิ่งใหญ่ไปเลย เพราะก่อนหน้านี้ตัวเกม ‘Dragon Quest lX’ จะลงบนเครื่อง ‘Nintendo DS’ ที่ให้กราฟิกไม่สวยแถมตัวเกมก็ยังสั้นเกินไป เพราะตัวเกมต้องการให้ผู้เล่นมาโหลดเนื้อเรื่องเสริมผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่ในยุคนั้นน้อยคนในบ้านเราจะได้เล่น และถ้าเอามา Remake ก็ควรเพิ่มเนื้อเรื่องหลักลงไปรวมถึงการใส่อาชีพใหม่ ๆ เพิ่งไปด้วย รับรองว่าแฟน ๆ ‘Draagon Quest’ มาเห็นต้องชอบอย่างแน่นอน หรือจะให้ดีกว่านี้ก็เพิ่มโหมดออนไลน์ให้ตัวละครมาร่วมต่อสู้ในภารกิจต่าง ๆ ด้วย จะยิ่งขยายฐานแฟนเกมนี้ให้คนที่ไม่เคยเล่นได้สนใจมากขึ้นด้วย แต่ตอนนี้ก็รอ ‘Dragon Quest III HD-2D Remake’ ไปก่อนก็แล้วกัน
Dino crisis 1-2
ด้วยความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของ ‘Resident Evil Remake’ จึงทำให้แฟน ๆ ทั่วโลกอยากให้ทาง ‘Capcom’ เอาเกม ‘Dino C risis’ มา Remake มากที่สุด ซึ่งไหน ๆ ถ้าจะเอามา Remake แล้วก็ควรทำออกมา 2 ภาคไปเลย เพราะทั้งสองภาคนั้นแม้จะเป็นเกมเดียวกันแต่อารมณ์การเล่นนั้นต่างกันคนละขั้ว ถ้าจะให้เห็นภาพก็คงจะเป็นอารมณ์ ‘Resident Evil’ ภาคสามไปภาคสี่อะไรแบบนั้นได้เลย ซึ่งสำหรับคนที่ไม่รู้จักเกม ‘Dino Crisis’ จะเป็นเกมแนวเอาชีวิตรอดคล้าย ๆ ‘Resident Evil’ แต่เปลี่ยนจากซอมบี้มาเป็นไดโนเสาร์ที่เรามีแค่ปืนยาสลบในช่วงแรก ซึ่งพวกมันสามารถฟื้นได้เมื่อเรากลับมาทางเดิม ตัวเกมจะเน้นความกดดันการกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดในฝูงไดโนเสาร์ ที่ต่างกับการหนีซอมบี้เพราะพวกไดโนเสาร์นั้นเร็วกว่าฉลาดกว่าและมีหลายแบบ ส่วนภาค 2 นั้นจะเปลี่ยนมาเป็นแนวแอ็กชันเดินหน้ายิงแหลกไม่ต้องกลัวกระสุนหมด ซึ่งทั้งสองภาคนั้นจะเกี่ยวเนื่องกันจึงควรเอามา Remake ทั้งคู่ ในส่วนของการ Remake นั้นแทบไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเกมแบบ ‘Resident Evil Remake’ แค่เปลี่ยนกราฟิกให้สวยสมจริง รวมถึงระบบการเล่นที่อาจจะมีการเพิ่มระบบการหลบเข้ามาแบบใน ‘Resident Evil Remake 3’ เพราะไดโนเสาร์เกมนี้ค่อนข้างเร็วตัวละครก็ควรมีความคล่องตัวตาม นอกนั้นก็แค่เปลี่ยนมุมกล้องตามการเคลื่อนไหวตัวละครที่เหมือน ‘Resident Evil Remake’ ในส่วนของภาค 2 ก็ใช้ระบบเตะต่อยหลบได้แบบ ‘Resident Evi 6’ มาใช้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้ตัวละคร พร้อมกับเพิ่มฉากป่าและเมืองในป่าให้มากขึ้นเหมือนอย่างในเกม ‘The Last of Us 2’ เพียงเท่านี้แฟน ๆ ต้องชื่นชอบจนอาจจะทำให้มี ‘Dino crisis 4’ ต่อก็ได้ และถ้าถามว่าทำไมไม่เอา ‘Dino Crisis 3’ มา Remake นั่นก็เพราะคนที่ได้เล่นหรือรู้จักเกมนี้มีไม่มาก เพราะเกมนี้ลงแค่เครื่อง ‘X-Box’ เท่านั้นรวมถึงคำวิจารณ์ที่ติดลบจึงทำให้หลายคนไม่ค่อยพูดถึงภาคนี้
Clock Tower 1
มาต่อกันที่เกมแนวสยองขวัญในตำนานกันบ้าง กับต้นแบบเกมแนวเอาชีวิตรอดที่เราจะไม่สามารถตอบโต้ศัตรูได้เลยนอกจากวิ่งหนีแอบซ่อนเท่านั้น กับเกม ‘Clock Tower’ ภาคแรกที่วางจำหน่ายในปี 1995 บนเครื่อง ‘Super Famicom’ กับระบบที่เรียกว่า ‘Point and Click’ ที่เราต้องใช้ตัวลูกศรเหมือนในคอมพิวเตอร์เพื่อสั่งให้ตัวละครเดินไปตามจุดที่เราต้องการ รวมถึงกดตรงจุดต่าง ๆ เพื่อให้ตัวละครแอบซ่อนเพื่อหนีเจ้ากรรไกรยักษ์ที่ตามล่าเรา ตัวเกมแม้จะเป็นเพียงกราฟิก 2D แต่กลับสร้างความหลอนสยองขวัญให้คนเล่นเกมในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และถ้าเราจะเอาเกม ‘Clock Tower’ ภาคแรกมา Remake ตัวเกมก็ควรเปลี่ยนมาเป็นแบบมุมมองบุคคลที่ 1 และตัดระบบ ‘Point and Click’ ออกไป แต่ยังคงเนื้อเรื่องฉากตัวละครและบรรยากาศเดิม ๆ เอาไว้ แล้วเพิ่มเติมฉากใหม่ ๆ ใส่ความสยองขวัญเติมฉาก Jump Scare ลงไปที่แค่คิดก็หลอนแล้ว หรือถ้าใครคิดภาพตามไม่ออกก็ให้นึกถึงบ้านบ้านตุ๊กตา ‘Benevento’ ใน ‘Resident Evil Village’ เกมนี้จะให้อารมณ์แบบนั้นเลย แถมพอสร้างภาคแรกจบก็สร้างภาค 2 ที่เนื้อเรื่องต่อกันได้อีกด้วย
Chocobo Racing
มาต่อกันที่อีกหนึ่งเกมที่แฟน ๆ หลายคนอยากให้ทาง ‘Square Enix’ เอามา Remake หรือทำภาคต่อในกราฟิกในสมัยนี้เสียที กับเกม ‘Chocobo Racing’ เกมแนวแข่งรถของเหล่าตัวละครในซีรีส์ ‘Chocobo’s Dungeon’ มาประชันความเร็วกัน ซึ่งถ้าใครนึกภาพไม่ออกมันก็คือเกม ‘Mario Kart’ ฉบับเปลี่ยนตัวละครเท่านั้น เพราะรูปแบบการเล่นการแกล้งกันจะคล้ายกันมาก แต่เกมนี้จะต่างตรงที่ถ้าเราเก็บลูกแก้วเวทมนตร์ได้ 3 ชิ้นเราจะสามารถสร้างความเสียหายทั้งฉากได้ แต่การสะสมไว้ก็สามารถถูกคนอื่นแย่งไปได้ด้วยการชน ดังนั้นการเล่นเกมนี้จึงใช้เทคนิคในการควบคุมที่ให้อารมณ์ต่างกับ ‘Mario Kart’ ซึ่งถ้าตัวเกมเอามา Remake ก็ควรเพิ่มตัวละครฉากไปอีกรับรองว่าแฟน ๆ ทั่วโลกต่างรอคอยอย่างแน่นอน
Chrono Trigger
ถ้าพูดถึงเกมที่ควรเอามา Remake ต้องมีเกม ‘Chrono Trigger’ รวมอยู่ด้วย ซึ่งนักเล่นเกมยุคใหม่อาจจะสงสัยว่าทำไมเกมนี้ถึงถูกนักเล่นเกมยุคเก่าพูดถึงบ่อย ๆ นั่นก็เพราะความสนุกของตัวเกม รวมถึงเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้น่าประทับใจกับการเดินทางข้ามเวลาไปยังช่วงเวลาต่าง ๆ ของตัวละคร ที่ยิ่งแก้ไขให้ทุกอย่างกลับมาก็ยิ่งทำให้มิติเวลาปั่นป่วน ซึ่งใครที่เคยดูภาพยนตร์แนวย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตจนอนาคตปั่นป่วนเกมนี้ก็มีเนื้อเรื่องแบบนั้น แถมตัวเกมยังมีเส้นทางให้เราเลือกเปลี่ยนได้อย่างมากมายตามการกระทำและเลือกของเรา ที่จะนำพาไปสู่ฉากจบหลายแบบ ที่แม้แต่เกมในยุคนี้น้อยเกมที่จะทำได้ และถ้าเกมนี้ถูกเอามา Remake ด้วยกราฟิกแบบ ‘Dragon Quest Xl’ ที่ทุกอย่างดูสมจริงสวยงามยิ่งใหญ่อลังการจะน่าสนใจขนาดไหน นี่ยังไม่นับระบบการเล่นที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรเลย เพราะระบบต่อสู้เกมนี้ก็เหมาะแก่การเอามาทำในแบบแอ็กชันอยู่แล้ว ใครที่คิดภาพระบบการต่อสู้ของ ‘Chrono Trigger’ ไม่ออกก็ให้คิดถึง ‘Final Fantasy Vll Remake’ แต่ของ ‘Chrono Trigger’ จะเน้นไปที่การผสมร่วมท่าต่อสู้ของตัวละครที่ยิ่งสู้ร่วมกันมากก็จะได้ได้ท่าใหม่ ๆ เกิดขึ้น ใครไม่เคยเล่นคุณได้พลาดของดีไปแล้วบอกเลย
Street Fighter 1
เมื่อพูดถึงเกมแนวต่อสู้ ด้วยความที่ตัวเกมแนวนี้ไม่ค่อยมีการพัฒนาที่เห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเกมแนวอื่นในตลาด ที่เมื่อมีการทำเกมภาคใหม่ออกมา ส่วนมากก็ใช้ตัวละครชุดเดิมแต่เพิ่มตัวละครลงไปเท่านี้ก็ได้ภาคใหม่แล้ว(บางเกมอาจจะมีการเพิ่มระบบการเล่นใหม่ ๆ ลงไป) ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเห็นแฟน ๆ เรียกร้องเกมแนวนี้ให้กลับมา Remake แต่ก็มีอยู่หนึ่งเกมที่เหมาะแก่การเอามา Remake นั่นคือเกม ‘Street Fighter’ ภาคแรกสุดของซีรีส์ ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเกม ‘Street Fighter’ ภาคแรกสุดนั้นเราจะได้เล่นเป็น ริว (Ryu) นักสู้ที่ออกเดินทางต่อสู้กับนักสู้ทั่วโลกเพื่อค้นหาความเป็นหนึ่ง โดยไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ตัวละครอื่นได้ แต่ถ้ามองในมุมกลับเมื่อเอา ‘Street Fighter’ ภาคแรกมา Remake ในกราฟิกแบบ ‘Street Fighter V’ และให้ตัวละครทั้งหมดในภาคแรกนี้สามารถเอามาต่อสู้ได้จะดีขนาดไหน ซึ่งเกินกว่าครึ่งของตัวละครในภาคนี้ไม่ได้ไปต่อในภาคอื่น นั่นจึงหมายถึงความสดใหม่ในเนื้อหาของผู้เล่น และถ้าจะให้ดีก็ควรมีฉากโบนัสการทุบแผ่นกระเบื้องมาด้วย(รูปประกอบด้านล่าง) แค่คิดก็น่าเล่นแล้ว
Parasite Eve 1-2
คราวนี้มาพูดถึงเกมที่ถ้าจะเอามา Remake ก็ควรจะเปลี่ยนแนวเกมให้ต่างจากเดิมไปเลย ซึ่งเกมที่เราพูดถึงนั้นก็คือเกม ‘Parasite Eve’ ที่ในภาคแรกนั้นตัวเกมจะมาในรูปแบบของเกมแนว RPG ที่เราต้องเลือกคำสั่งในการโจมตีศัตรู รวมถึงการสวมอาวุธชุดเกราะในการสู้กับสัตว์ประหลาด ที่เราจะได้รับบทเป็น อายะ แบร์ (Aya Brea) เจ้าหน้าที่ NYPD ที่มาชมโอเปร่าใน Carnegie Hall ก่อนที่จะเกิดเหตุประหลาดเมื่อคนดูเริ่มติดไฟอย่างเป็นปริศนา แต่ตัวของอายะไม่เป็นอะไร เธอจึงตามสาวปริศนาที่ก่อเหตุไปจนพบสัตว์ประหลาดมาขัดขวาง โดยระบบการต่อสู้เราจะได้ควบคุมอายะให้วิ่งไปมาในฉาก และเลือกคำสั่งว่าจะทำอะไรแบบเกม RPG ที่ถ้าเอามา Remake ตอนนี้ควรเปลี่ยนระบบมาให้เป็นแบบเกม ‘Final Fantasy Vll Remake’ ก็อาจจะเข้าท่าดีไม่น้อย ในส่วนของเกม ‘Parasite Eve 2’ ที่ตัวเกมนั้นก็เปลี่ยนตัวเองจากเกม RPG มาเป็นเกมแอ็กชันแบบ ‘Resident Evil’ ตัวเกมก็เปลี่ยนให้ตัวเกมสมจริงแบบใน ‘Resident Evil 2 Remake’ ไปเลย และแน่นอนว่าจุดเด่นของเกม ‘Parasite Eve’ คือการผสมระหว่างเวทมนตร์และอาวุธยุคใหม่ ตัวเกมก็ควรมีระบบการใช้พลังเวทมนตร์ผสมการต่อสู้ด้วยปืนแบบต่าง ๆ เหมือนเดิม และควรหานักแสดงให้คล้ายอายะมาด้วยจะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก และสิ่งที่จะขาดไปในซีรีส์นี้ไม่ได้เลยก็คือฉากอาบน้ำในตำนานที่ถ้าไม่มีแฟน ๆ จะเคืองมาก ๆ
Resident Evil Code Veronica
ปิดท้ายกับการรอคอยที่คงจะอีกยาวนานกว่าที่เราจะได้เล่น ‘Resident Evil Code Veronica’ ที่ตอนนี้ทาง ‘Capcom’ ได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะทำ ‘Resident Evil 4 Remake’ ซึ่งแฟน ๆ ต่างก็รอคอยและคาดหวังว่าเราอาจจะได้เห็นเกมภาคนี้ เพราะตัวเกมภาค ‘Code Veronica’ ก็มีเนื้อหาเรื่องราวที่ต่อจาก ‘Resident Evil 2-3 Remake’ เมื่อเทียบกับภาคที่ 4 ที่เป็นเนื้อเรื่องใหม่ แถมตัวเกมยังเล่าแบบสองตัวละครพี่น้องที่เราจะได้เล่นเป็น แคลร์ เรดฟิลด์ (Claire Redfield) ที่ถูกจับไปบนเกาะก่อนจะหนีออกมาและไปยังสถานีวิจัยที่ขั้วโลกต่อ ก่อนที่เกมจะตัดมาที่ คริส เรดฟิลด์ (Chris Redfield) ที่ตามมาทีหลังซึ่งจะเป็นฉากเดียวกันแต่เกาะก็ถูกทำลายเสียหายไปหลายส่วนจากเนื้อเรื่องของแคลร์ ซึ่งตรงนี้ถ้าตัวเกมถูกเอามาดัดแปลงให้เป็นกราฟิกที่สวยสมจริงอย่างที่ภาคก่อนทำมาตัวเกมคงจะต้องถูกใจแฟน ๆ อย่างแน่นอน ใครที่เคยเล่นเกมภาคนี้มาแล้วจะทราบดีว่า ‘Resident Evil Code Veronica’ เหมาะสำหรับชื่อเลข 3 มากกว่า ‘Resident Evil 3 Nemesis’ เสียอีก
ก็จบกันไปแล้วกับเกมที่ควรเอามา Remake พร้อมกับการคิดกันเล่น ๆ ว่าถ้าเกมนี้เอามา Remake แล้วจะเป็นแบบไหนอย่างไรหวังว่าจะถูกใจกัน และถ้าในอนาคตเกมในบทความนี้ถูกเอามา Remake จริง ๆ เราค่อยเอามาดูกันว่าสิ่งที่บทความนี้บอกไว้กับตัวเกมจะเหมือนกันขนาดไหน และถ้าใครมีเกมที่อยากให้เอามา Remake อีกก็มาคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรในวงการเกมก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส