‘ต้าร์ คมสัน ขันตยานุวงศ์’ หรือแอดมินต้าร์ แห่งเพจ โดนไล่มาเล่นในนี้ และในฐานะหนึ่งในทาเลนต์ของ #beartai ที่พกพามุกตลกจังหวะโบ๊ะบ๊ะจนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาไปแล้ว

แต่สิ่งที่น่าสนใจหลังมุกตลกคือ ชีวิตของเขาที่ดำเนินไปได้ด้วย 3 อย่าง คือมุกตลก ที่เขาขับเคลื่อนจนเพจโดนไล่ฯ กลายเป็นเพจขวัญใจชาวโซเชียลไปแบบไม่ต้องสงสัย การพูดตรง ๆ ของเขาที่อยากสื่อสารเรื่องราวออกไปแบบตรง ๆ ไม่เฟก และการลองทำอะไรบางอย่างให้รู้กันไปข้างหนึ่ง ที่ทำให้เขาได้ลองและได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่าง

ไม่ต้องแปลกใจว่า ในขณะที่กำลังอ่าน เราอาจจะได้ยินเสียงหัวเราะร่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา มุกตลกที่เขายิงเป็นระยะ ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาเล่าให้ฟังแบบตรง ๆ ไม่มีอ้อมค้อม และเรื่องราวของเขาที่เข้มข้นในดีกรีพอ ๆ กัน เพราะเขาขับเคลื่อนด้วยสิ่งเหล่านี้จริง ๆ


ก่อนอื่น แนะนำตัวคุณเองหน่อยว่ามาจากไหน โดยเฉพาะเรื่องที่คุณเคยเป็นสจ๊วตมาก่อน

ผมเป็นคนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาครับ อยู่ที่หาดใหญ่มาตลอดเลย จนกระทั่งอายุประมาณ 22-23 ก็เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ มาเป็นสจ๊วต เคยเป็นสจ๊วตมาสองสายการบิน ทั้งของไทยและต่างชาติ แล้วก็ได้ไปอยู่ภูเก็ตสักพักหนึ่ง แล้วก็บินไปออสเตรเลีย

ระหว่างนั้นก็เปิดเพจ โดนไล่มาเล่นในนี้ ไปด้วย พอทำไปทำมาค้นพบว่า เริ่มไม่ใช่ตัวเองแล้ว เริ่มไม่อินกับการเป็นสจ๊วต คือจริง ๆ มันก็ไม่อินแต่แรกแล้วล่ะ คิดแค่ว่าจะหาอาชีพเฉย ๆ แต่ว่าพอเราเริ่มทำเพจเรื่อย ๆ เริ่มมีรายได้เข้ามา เราก็เลยคิดว่า ออกเลยดีไหม ก็เลยตัดสินใจ…อยู่ 2-3 ปี (หัวเราะ) จนกระทั่งสุดท้ายก็ตัดสินใจออกมาทำเพจเต็มตัว

อยากเล่าตอนสมัครหน่อย ตอนที่สมัครเป็นสจ๊วต เขาถามผมว่า “ไม่ได้สมัครเป็นช่างใช่ไหม ? ” (หัวเราะ) เพราะว่าตอนนั้นเขารับ 2 ตำแหน่ง ก็คือลูกเรือ กับช่างเครื่องบิน ตอนที่ไปยื่นใบสมัครเขาถามว่า ไม่ได้มาผิดที่ใช่ไหม เพราะถ้าสมัครช่างต้องไปอีกห้องหนึ่ง

น่าสนใจว่าคุณไม่ได้อยากเป็นสจ๊วต แต่ทำไมถึงเลือกที่จะทำอาชีิพนี้

ตอนหลังเรียนจบ ผมไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ปีหนึ่ง แต่พอออกมาแล้วมันเคว้งไงครับ มันก็เลยต้องหาอะไรทำต่อ ก็เลยคิดว่า ถ้าจะสมัครงานต้องทำยังไง เริ่มต้นก็เลยไปสอบ TOEIC ก่อน พอสอบได้คะแนนมา ก็เลยเอาคะแนนไปเทียบว่าเราจะทำงานอะไรได้บ้าง ก็เลยไปเจออาชีพลูกเรือ แล้วตอนนั้นรู้ว่า พี่ตูน บอดี้สแลมก็เคยเป็นสจ๊วตเหมือนกันนี่หว่า ก็น่าจะเท่ดีเนอะ

คือไม่รู้อะไรเลยอ่ะ แบบว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเป็นสจ๊วตเลย ตอนที่ไปสมัครที่ผมเล่าเมื่อกี๊ เขาถามว่า ทำไมถึงอยากมาสมัครเป็นสจ๊วต ผมเป็นคนพูดตรง ๆ อยู่แล้ว ผมก็เลยพูดไปตรง ๆ ว่า เงินมันดี จะหาเงินไปเลี้ยงชีพ หาเงินเลี้ยงที่บ้าน นู่นนี่นั่น ปรากฏว่า ตกตั้งแต่รอบแรกเลย…(หัวเราะ)

คือจริง ๆ มันก็มีคอร์สที่ติวการตอบคำถามสัมภาษณ์พวกนี้ด้วยนะ แต่ไม่รู้สิ ผมตอบอะไรเฟก ๆ ไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ ตอนนี้ผมอาจจะกำลังตอบพี่ (ผู้สัมภาษณ์) แบบเฟก ๆ อยู่ (หัวเราะ)

โดนไล่มาเล่นในนี้

แล้วคุณก็มาทำเพจ โดนไล่มาเล่นในนี้ ซึ่งลุคดูขัดกับความเป็นสจ๊วตเหมือนกันนะ

ที่เปิดเพจขึ้นมา คิดแค่ว่ามันน่าจะเป็นพื้นที่ให้ผมกับเพื่อน ๆ ได้มีพื้นที่เอาไว้เล่นตลกกันแค่นั้นเองครับ ไม่ได้คิดว่ามันจะสร้างรายได้เหมือนอย่างที่เป็นตอนนี้

จริง ๆ ที่ผมทำเพจก็คือ ทำเอาขำ ๆ เลยครับ แต่ว่า ณ ตอนนั้น ไอ้ความเป็น Influencer มันไม่ได้กลายมาเป็นเรื่องปกติเหมือนตอนนี้ ผมทำเพจขึ้นมาแค่กะว่าเอาไว้เล่นมุกขำ ๆ เป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเวลาไปเล่นกับเพื่อนแล้วมันชอบรำคาญ แล้วมันก็จะชอบไล่ แบบว่า “ไปเล่นมุกตรงโน้นเลยไป…” เราก็เลย ได้! งั้นตั้งเป็นเพจเลยแล้วกัน ตอนแรกจะตั้งว่า “กูโดนไล่มาเล่นตรงนี้” ตอนแรกมีคำว่ากูด้วย แต่ว่าเดี๋ยวมันจะดูขัดแย้งกับหน้าตาอันน่ารักของเรา ก็เลยใช้ชื่อว่า โดนไล่มาเล่นในนี้ แทนก็แล้วกัน

การที่คุณทำเพจตลก คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนตลกไหม

(ตอบทันที) เป็นคนชอบตลกครับพี่ ชอบดูตลก ชอบเรื่องตลก อะไรแบบนี้ คือมั่นใจว่าคนที่ทำงานสายนี้ไม่มีใครตลกตลอดเวลาหรอก คนเราต้องมีเรื่องเครียดในชีวิตบ้าง …คือมันก็ไม่เชิงเป็นหน้าที่หรอกนะ แต่เรารู้สึกว่า การที่เรามีคนติดตามอยู่ตอนนี้ 1.5 ล้าน เราก็น่าจะสร้างเสียงหัวเราะ เสียงรอยยิ้มได้บ้าง …คำตอบล้อหล่อ (หัวเราะ) แต่ว่าเวลาเล่นมุกอะไรออกไปแล้วคนมีรอยยิ้ม มีคนกดไลก์ กดแชร์ แท็กเพื่อน ผมโคตรชื่นใจเลยนะ โดนด่าก็ชื่นใจนะ อย่างน้อยก็มีคนเห็น

เอาจริง ๆ ผมเป็นคนชอบสร้างบรรยากาศครับ ไม่ชอบบรรยากาศมาคุ ถ้าผมทำให้บรรยากาศดีขึ้นไม่ได้ ผมก็เดินออกเลย รำคาญ เหมือนเป็นคนเรื่องมากเนอะ (หัวเราะ) นั่นแหละครับ ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบเรื่องดราม่า ถ้าเป็นไปได้จะพยายามหลีกเลี่ยง คนเรามันก็เครียดเยอะแล้วล่ะ หาอะไรเบาสมองใส่หัวซะบ้าง

สำหรับผม ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนกวนตีนโดยธรรมชาติครับ อย่าเรียกว่าเป็นคนตลกเลย เหมือนผมเป็นคนที่กวนประสาทโดยธรรมชาติ แต่ว่าก็คงไม่เอาไปเล่นในจังหวะซีเรียส ในจังหวะที่ไม่ควรจะเล่นหรอก แต่ในหัวนี่ ถามว่ามีมุกไหม แน่นอน เต็มหัวเลย

คุณมีกระบวนการคิดมุกตลกบ้างไหม เคยคิดไหมว่าจะมาถึงจุดนี้

ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมาทางนี้ แต่ว่าพอเพจมันเริ่มมา ผมก็คิดนะว่า หรือเราถนัดทางด้านนี้วะ พอทำมา 5-6 ปี ถึงได้รู้สึกว่า…ก็ไม่ถนัดเลย (หัวเราะ) ล้อเล่น

จริง ๆ พอตื่นขึ้นมา เชื่อไหมว่า พอผมได้ยินมา ไม่รู้ว่าสมองมันสั่งงานยังไงนะ แต่ว่ามันจะเอามาชงเป็นมุกตลอดเลย มันจะเกิดการชงในหัว เหมือนผมนั่งคุยอยู่กับพี่เนี่ย ผมก็คิดมุกอยู่ตลอดนะ ถ้าอันไหนที่น่าจะเข้าเป้าผมก็จะเล่นออกไป แต่ถ้าอันไหนไม่เข้าเป้า ผมก็จะพูดออกไปเหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวมันก็เข้าเป้าไปเอง

กลัวมุกแป้กบ้างไหม

ถ้ากลัวแป้ก ผมคงไม่ทำเพจตลกที่เป็นสาธารณะหรอกครับ เพราะว่ายังไงมันก็ต้องมีแป้กแน่นอน สมมติผมลงมุกไปโพสต์หนึ่ง สมมติว่าคนเห็นมุกนี้ 1 ล้านคน มันก็เป็นไปไมไ่ด้แน่นอนว่าทั้งล้านคนจะชอบมุกของคุณ คนไม่ชอบอาจจะปาไป 7 แสนด้วยซ้ำ แต่ว่าก็ไม่เป็นไรหรอก เล่น ๆ ไปเถอะ เล่นอะไรก็ได้ที่ไม่หนักหัวใคร (หัวเราะ) หมายถึงว่าไม่เล่นมุกที่ไปละเมิดหรือก้าวร้าวใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ทำ ๆ ไปเหอะ ผมจะชอบพูดว่า ยิง ๆ ไปเหอะ เดี๋ยวก็เข้าเป้าเอง ถ้าผมมัวมานั่งคิดว่ามันจะแป้กหรือเปล่า ผมคงไม่ได้อยู่ตรงนี้นะ

มาร่วมงานกับ #beartai ในฐานะทาเลนต์ได้อย่างไร

มันประจวบเหมาะกับว่าตอนโควิดเริ่มใหม่ ๆ เมื่อปีที่แล้วครับ พอดีว่าผมทำเพจใหม่ คือ ‘โดนไล่มาเล่นเกมนี้‘ ด้วย แล้วตอนนั้นทาง #beartai ก็ติดต่อไปว่า อยากร่วมงานกับเพจ โดนไล่มาเล่นในนี้ ตอนแรกก็คิดว่า เนื้อหามันคนละทางเลยนะ #beartai เขาเน้นรีวิว เน้นสาระต่าง ๆ นานา มอบอะไรบางอย่างให้กับสังคมอย่างแท้จริง ส่วนเพจผมคือ…สิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พูดเมื่อกี๊…(หัวเราะทั้งวง) ตอนนั้นผมก็มานั่งคิดว่า จริงเหรอ เค้าต้องการอะไรจากเราวะ เราจะทำอะไรได้เหรอ แล้วจะร่วมงานอะไรได้บ้างในฐานะเพจ

ก็เลยคิดว่า เราอยากทำคอนเทนต์วิดีโอมานานแล้ว ติดอยู่อย่างเดียว ไม่มีตังค์ วิดีโอมันต้องใช้โปรดักชัน ต้องใช้คนตัดต่อ ยิ่งพอเข้ามาเป็นทาเลนต์ ยิ่งเห็นชัดเลยว่า มันทำกันเองไม่ได้นะ จริง ๆ ทำกันเองได้แหละ แต่มันเหนื่อยแน่ ๆ ก็เลยเตรียมมุก เตรียมข้อมูลมานำเสนอกับทาง #beartai ว่าเราอยากจะทำ พอคุยกันแล้วก็รู้สึกเหมือนถูกคอ เหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา ตอนหลังก็เลยถามว่า สนใจเรื่องไอทีบ้างไหม ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกนะว่าโดนทาบทามอยู่ ก็เลยตอบไปว่า ไม่ค่อยสนครับพี่ (หัวเราะ)

คือจริง ๆ ก็สนใจแหละ แต่เราไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เราสนใจ กับส่ิ่งที่ #beartai มีมันจะเท่ากันไหมเท่านั้นเอง ความสนใจของ #beartai อาจจะหมายความว่า ต้องรู้เรื่องเทคโนโลยีทั้งหมดนะ ผมก็เลยตอบไปว่าไม่ค่อยรู้นะครับ ทาง #beartai ก็เลยบอกว่า ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้ สนใจเข้ามารีวิวไหม ลองเข้ามาถ่ายดูก่อน จำได้ว่างานแรกเป็นรีวิวกล้อง ถ่ายนอกสถานที่กับน้อง ‘นาวลิ้ม CM Cafe’

งานแรกเป็นอย่างไรบ้าง ยากไหม

คือตอนนั้นทำการบ้านยับเลยครับ เพราะว่าความรู้เรื่องกล้อง เราก็เรียกได้ว่าอยู่ขั้นเริ่มต้นนั่นแหละ แต่ว่าพอทำแล้ว ก็เหมือนเป็นการเปิดทางใหม่เหมือนกันนะ เหมือนเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่า เฮ้ย เราก็พอทำได้นี่หว่า การเป็นพิธีกร การรีวิวของ อะไรแบบนี้ เขาก็ให้โอกาสเราด้วย ถ้ามีพัฒนาการ หรือดีที่สุดคือมีลูกค้าซื้อ แปลว่าคุณก็ได้ไปต่อ ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็มีลูกค้าซื้อผมเฉย ไม่รู้ว่าใครไปบนบานไว้ว่าอยากให้ผมได้งานหรือเปล่า (หัวเราะ)

โดนไล่มาเล่นในนี้

ระหว่างงาน Original กับงานลูกค้า คุณคิดว่างานแบบไหนยากกว่ากัน

เอาจริง ๆ นะ ผมว่ายากพอ ๆ กัน ถ้ามันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เป็นของที่ไม่เคยจับมาก่อน ปกติเวลาผมจะรีวิวของ ผมจะไปทำการบ้านก่อน คือรีวิวเองก่อน ให้รู้ตื้นลึกหนาบาง อย่างน้อยพอเรามีข้อมูลแล้ว มันจะฝังอยู่ในหัว ซึ่งผมว่ามันก็ต้องทำการบ้านพร้อมกัน ยกเว้นเรื่องที่เราพอรู้บ้าง มันก็จะเข้าใจมากขึ้น เล่าได้เข้าปากมากขึ้น

คุณเองเคยแสดงออกว่าอยากเป็นเชฟ อยากเข้าแข่งรายการทำอาหาร จนได้มีโอกาสทำรายการ ‘อาต้าเจี่ยะปึ่ง’ ใน beartai BUZZ ด้วย เล่าหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วตอนนี้ความฝันนั้นยังอยู่ไหม

เล่าได้ครับ ก็อย่างที่บอกแหละครับว่า มันเป็นการลองไปก่อน ถ้ามันไม่ใช่ มันฝืน เดี๋ยวเราก็จะรู้ตัวเราเอง ซึ่ง ณ ตอนนั้นถ้าพูดตรง ๆ ก็คือ พอลงมือทำแล้วมันก็ฝืนจริง ๆ นั่นแหละพี่

จริง ๆ ผมจะรับเงินมาทำ คิดคอนเทนต์สัปดาห์ละตัว 2 ตัว แล้วก็ถ่ายไปเรื่อย ๆ ก็ได้นะ ไม่เดือดร้อน แต่ว่าผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ เพราะถ้าผมรู้สึกว่ามันฝืนแล้ว งานออกมาไม่ดีแน่นอน มันจะไปดีได้ยังไง สำหรับผม คอนเทนต์ที่คิดออก กับคอนเทนต์ที่ต้องคิดมันเป็นคนละเรื่องกัน ถ้าให้ตอบก็คือ ความฝันนั้นไม่อยู่่แล้วครับ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่ได้ลงมือทำแล้วในจุดนั้น

ในฐานะทาเลนต์ของ #beartai คุณตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้อย่างไรบ้าง

จุดสูงสุดคือ อยากได้ล้านวิวครับ ไม่รู้ยากไปไหมนะ สำหรับคลิปรีวิว ปกติ Engagement ของคลิปบันเทิง ตลกโปกฮา กับคลิปที่ให้สาระความรู้ Engagement มันก็ต่างกันอยู่แล้ว พูดตรง ๆ นะพี่ ผมทำมุกตลก คนแชร์บางทีเป็นหมื่น แต่มันก็เกิดจากการกลั่นกรองแค่แป๊บเดียวเอง แต่ว่าคลิปอะไรที่ให้สาระความรู้มันต้องใช้เวลาไง มันต้องใช้เวลาดู แล้วก็ย่อยยาก ถ้าผมทำสิ่งที่ย่อยยากให้ไปสู่ความแมสได้ มันจะเจ๋งมาก

คำถามสุดท้าย ถ้าคุณได้มีโอกาสคิดเนื้อหาคลิป และเป็นทาเลนต์ของคลิปนั้นด้วยตัวเอง คุณอยากทำคลิปแบบไหนมากที่สุด

จริง ๆ ก็เคยมีที่ผมเขียนคอนเทนต์มาถ่ายเองนะ ก็คือรีวิวเกม ‘Resident Evil Village’ ปกติผมเป็นคนที่ชอบรีวิวอยู่แล้ว ดูหนัง ซื้อของนั่นนี่ กินร้านอาหารที่นั่นที่นี่ ก็จะเขียนรีวิว เหมือนติดเป็นนิสัย จริง ๆ ผมอยากใช้คำว่าป้ายยามากกว่า แบบแนะนำว่า เฮ้ย หนังเรื่องนี้ดี ไปดูเถอะ หรืออาหารร้านนี้อร่อย ไปกินเถอะ…เมื่อกี๊พี่ถามว่าไงนะ (หัวเราะทั้งวง)

จริง ๆ คอนเทนต์ไลฟ์เกมก็มีอยู่แล้ว เป็นการเลือกเกมที่น่าสนใจมารีวิว แต่ถ้าจะให้คิดคอนเทนต์เอง ผมว่าก็คงยังเกี่ยวกับเกมนี่แหละ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เราที่เราถนัดที่สุดใน #beartai แล้ว ซึ่งการที่ผมได้ทำคอนเทนต์เกมทุกตัวของ Thailand Game Show ก็ถือว่าผมได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้วนะ เป็นอะไรที่มีความสุขมาก ๆ ครับ หรือถ้าอยากได้จริง ๆ คงเป็นคอนเทนต์นอกสถานที่แหละครับ ผมว่าผมชอบทำคอนเทนต์นอกสถานที่นะ เพราะว่ามันทำให้มีคอนเทนต์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น

คำถามสุดท้ายจริง ๆ แล้ว ‘แอดมินต้าร์’ จัดมุกเด็ด ๆ ให้หน่อย

ไม่มีอะไรตลกเท่าชีวิตผมแล้วล่ะ (หัวเราะ) อันนี้มันก็ดูดราม่าไปว่ะ ดูเป็นโจ๊กเกอร์ไปหน่อย (หัวเราะ) เอาไปเลย

“ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ชิสุเป็นหมา ชี้ฟ้าเป็นพริก”

– แอดมินต้าร์ แห่งเพจ โดนไล่มาเล่นในนี้

มันคุ้น ๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน

ก็เอามาจากเพจโดนไล่ฯ นี่แหละพี่ (หัวเราะทั้งวง)


ติดตาม Thailand Game Show ได้ที่
Facebook : Thailand Game Show
YouTube : Thailand Game Show

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส