ย้อนกลับไปในอดีตช่วงที่วงการเกมเริ่มที่จะตั้งไข่ ก็มีเกมถูกสร้างออกมามากมายหลายแนว หนึ่งในนั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาก็คือเกมแนวสยองขวัญ ที่ในสมัยนั้นการทำเกมที่เป็นแนวสยองขวัญมันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ เพราะด้วยตัวกราฟิกไปจนถึงตัวระบบการเล่น ที่ยากต่อการทำผู้เล่นรู้สึกกลัวภาพที่เห็นในเกม ซึ่งเป็นและที่ท้าท้ายแบบสุด ๆ แต่ก็ยังมีนักพัฒนาที่สนใจมาทำเกมแนวนี้ออกมา จนทำให้เกิดเกมแนวสยองขวัญมากมายเกิดขึ้น เมื่อวันเวลาผ่านไปเกมแนวสยองขวัญก็เริ่มพัฒนาขึ้นทั้งการเล่าเรื่องกราฟิกและวิธีการเล่น จนทำให้เกมแนวนี้เคยขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดในวงการเกมช่วง ‘PlayStation 1-2’ จนทำให้เกิดเกมแนวสยองขวัญออกมามากมาย รวมถึงเกมภาคต่อจากเกมสยองขวัญยุคเก่าที่สานต่อความนิยม แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกมแนวนี้ก็ค่อย ๆ จางหายไปจากตลาด วันนี้เรามาทบทวนความทรงจำกันดีกว่าว่ามีเกมสยองขวัญเกมไหนบ้างที่หายไปจากตลาดและแฟน ๆ ยังคิดถึงและรอภาคต่อบ้างกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมความกล้าพกความมั่นใจ และมาลุยเกมสยองขวัญเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กัน
Rule of Rose
เริ่มต้นเกมแรกกับเกมสยองขวัญกึ่งแฟนตาซีเอาชีวิตรอด ที่เนื้อหาค่อนข้างจริงสะท้อนสังคมกับเกม ‘Rule of Rose’ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ เจนนิเฟอร์ (Jennifer) เด็กหญิงที่เคยมีอดีตที่ไม่น่าจดจำเกี่ยวกับสถานรับเลี้ยง ‘Bedfordshire’ ในช่วงปี 1930 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เจนนิเฟอร์ในวัย 19 ปีได้หวนคิดถึงเรื่องราวสมัยเด็กที่เธอเคยลืมไปแล้ว และระหว่างนั่งรถเมล์กลับบ้านรถนั้นกลับพาเธอมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นได้นำพาเธอกลับไปในความทรงจำอันเลวร้ายที่เธอลืมไปแล้ว ตัวเกมจะเป็นแนวแอ็กชันมุมมองบุคคลที่ 3 ที่เราจะได้เล่นเป็นเจนนิเฟอร์ในการทำตามที่ชมรม ‘Red Crayon Aristocrat’ ต้องการเพื่อไปยังส่วนต่อไปของเกม ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวของเกมนี้ไม่ใช่ตัวของผีหรือบรรยากาศในเกม แต่สิ่งที่กดดันและสร้างความหลอนให้ผู้เล่นคือเนื้อเรื่อง ที่คุณต้องไปเล่นเองถึงจะรู้ และด้วยความโหดของเกมนี้จึงทำให้ให้รัฐมนตรียุติธรรมของสหภาพยุโรปอย่าง แฟรนโก แฟรตตินี่ (Franco Frattini) โจมตีเกมนี้ว่ามี “ความโหดร้ายทารุณลามกอนาจาร” แถมก่อนหน้านี้ที่ตัวอย่างเกมได้เปิดตัวในงาน ‘E3 2006’ ทางค่าย ‘Atlus’ ที่ประกาศว่าจะวางจำหน่าย ‘Rule of Rose’ ในสหรัฐอเมริกาก็ขอเลื่อนการวางจำหน่ายเพื่อเอาเกมไปปรับปรุง ไม่อย่างนั้น ‘Sony’ จะไม่อนุญาตให้เกมวางจำหน่ายเพราะตัวเกม “ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของบริษัท” เราจึงได้เห็นตัวเกมฉบับที่ปรับปรุงแล้ววางจำหน่าย(แต่ก็ยังโหดอยู่ดี) และด้วยปัญหามากมายขนาดนี้จึงทำให้ทาง ‘Atlus’ ไม่สร้างภาคต่อออกมา ซึ่งน่าเสียดายมาก ๆ กับเกมหลอนหลอกที่ใครได้เล่นคุณอาจจะเกลียดเด็กผู้หญิงไปเลยทีเดียว เพราะทุกอย่างที่คุณคิดออกว่าเด็กผู้หญิงจะโดนอะไรเกมนี้มาครบ แถมด้วยความโหดคูณสอง จึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะไม่มีภาคต่อ
ARAYA
มาต่อกันที่เกมผีฝีมือคนไทยอีกหนึ่งเกมที่วางจำหน่ายในช่วงปี 2016 กับเกม ‘ARAYA’ เกมผีที่เปิดตัวมาพร้อม ๆ กับเกม ‘Home Sweet Home’ ที่ทำเอานักเล่นเกมในบ้านเราต่างชื่นใจ เมื่อได้เห็นเกมผีฝีมือคนไทยที่แค่ได้เล่นตัวอย่างของ ‘ARAYA’ ก็ทำเอาหลายคนรู้สึกขนหัวลุก จนรอเกมตัวเต็มออกมาไม่ไหว ซึ่งเมื่อตัวเกมออกมาก็ไม่สร้างความผิดหวัง เพราะตัวเกมก็จัดเต็มความหลอนชนิดที่ชวนขนหัวลุก กับสามตัวละครที่มายังโรงพยาบาลที่ปิดตัวลงเพราะความเฮี้ยนของผีที่นี่ ซึ่งถ้าเราตัดความสมเหตุผลที่ไม่เข้าท่ากับบทพูดเนื้อเรื่องที่แข็งกระด้างออกไป และเล่นเพื่อเอาความความหลอนเกมนี้ก็ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวเกมมีวางจำหน่ายบน ‘Steam’ และรองรับระบบ ‘VR’ ซึ่งจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เห็นภาคต่อออกมา ส่วนหนึ่งก็คงเพราะปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่สวนทางกับยอดขาย เพราะเหตุนี้จึงทำให้เกม ‘ARAYA’ ไม่มีภาคต่อ
Siren
ถ้าพูดถึงความน่ากลัวหลอนสยองขวัญในวงการเกม ผีในเกมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผีปีศาจที่ถูกทำออกมาเมื่อใดก็ชวนคนเล่นขนหัวลุก บวกกับบรรยากาศระบบการเล่นและเนื้อเรื่องที่ทำออกมาได้ดีแล้ว ยิ่งทำให้เกมแนวนี้เป็นที่ต้องการของตลอด เหมือนอย่างที่เกมในซีรีส์ ‘Siren’ ทำได้ กับการเปิดตัวเกมหลอนในแบบหมู่บ้านชนบทในญี่ปุ่น ที่ชาวบ้านจู่ ๆ ก็ติดเชื้อจนกลายเป็นบ้า กับสัตว์ประหลาดที่เหมือนหลุดมาจากนรก ซึ่งความน่ากลัวของเกมนี้คือศัตรูมันมีความคิดแบบคนอยู่ มันจึงสามารถสื่อสารเรียกพวกและใช้อาวุธได้ ขณะที่เราเป็นแค่คนที่ไร้ทางสู้ แต่เกมก็ได้ใส่ระบบพิเศษที่ทำให้เราสามารถเห็นในสิ่งที่ปีศาจเห็นลงไป เพื่อเพิ่มความได้เปรียบและหลอนมากขึ้น จนเมื่อมาถึงยุคใหม่อย่าง ‘PlayStation 3’ เกม ‘Siren’ ก็กลับมาอีกครั้งกับความหลอนที่มากขึ้น ที่คราวนี้จะเปลี่ยนตัวละครมาเป็นชาวต่างชาติที่มาในหมู่บ้านญี่ปุ่น กับความหลอนที่มากกว่าเดิม(แม้ตอนจบจะออกทะเลและมีกลิ่นกาวบ้างก็ตาม) ในชื่อ ‘Siren Blood Curse’ ซึ่งความสนุกและดีงามจึงทำให้ตัวเกมถูกบันทึกให้เป็นหนึ่งใน 1001 วิดีโอเกมที่คุณต้องเล่นก่อนตาย ที่จนถึงตอนนี้แฟน ๆ หลายคนก็ยังรอคอยภาคใหม่ของซีรีส์นี้ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้เสียงตอบรับจาก ‘Sony’ ที่จะเอาเกมนี้มาปัดฝุ่น ซึ่งถ้ามาจริง ๆ คงจะหลอนและน่าสนใจมาก ๆ แน่นอนเพราะขุมพลังของ ‘PlayStation 4-5’ ก็มากพอที่จะทำผีที่น่ากลัวอยู่แล้วให้น่ากลัวคูณสิบได้อย่างแน่นอน ถ้าใครอยากรู้ว่าเกมนี้น่ากลัวขนาดไหนดูรูปประกอบก็น่าจะเข้าใจ
Clock Tower
เริ่มต้นบทความด้วยเกมที่มีเนื้อหาโหดเกินไปจนทำให้ไม่มีภาคต่อ ตามมาด้วยปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ทำให้ค่ายเกมไม่กล้าลงทุนในภาคต่อ ไปจนถึงเกมดีที่ถูกทิ้งร้างไม่ยอมเอามาสร้างภาคต่อ มาคราวนี้เหตุผลที่เกมสยองขวัญระดับตำนาน ที่นักเล่นเกมเคยหลอนจนขนหัวลุก และยังเป็นผู้ริเริ่มตัวเกมระบบหนีซ่อนตัวที่ตัวเอกไร้ทางต่อกรกับศัตรูในเกมซีรีส์ ‘Clock Tower’ กลับไม่ได้ไปต่อในภาคใหม่ เพราะตัวเกมได้ทิ้งเอกลักษณ์ที่เคยมีออกไป จนกลายเป็นเกมแนวอื่นที่ทำให้ตัวเกมขาดความน่าสนใจ ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักซีรีส์ ‘Clock Tower’ ต้องย้อนกลับไปในปี 1995 ได้มีเกมสยองขวัญเกมใหม่วางจำหน่าย โดยเกมนี้จะมาในรูปแบบที่ต่างกับเกมอื่น ๆ ตรงที่เราจะต้องใช้การกดคำสั่งแบบเคอร์เซอร์เมาส์แทนการควบคุมแบบเกมอื่น ๆ แถมเรายังไม่สามารถต่อสู้กับฆาตกรโรคจิตที่ไล่ล่าได้ ทำได้เพียงแค่หนีและแอบซ่อน ซึ่งความลุ้นของเกมนี้คือระบบ ‘Panic Mode’ ที่ถ้าตัวละครกลัวถึงขีดสุดตัวละครจะกลัวลนลานจนไม่ฟังคำสั่งของเรา แถมยังวิ่งหกล้มบ่อยกว่าปกติ เราจึงต้องคอยควบคุมตัวละครอย่างระวัง โดยสิ่งเหล่านี้ได้ถูกโยนทิ้งไปหมดเมื่อทาง ‘Capcom’ ซื้อเกมซีรีส์นี้มาเป็นของตน ซึ่งใครที่เป็นแฟนค่ายนี้คงจะรู้ว่าเกมสยองขวัญของ ‘Capcom’ จะเป็นแนวสู้มาสู้กลับไม่โกง เกม ‘Clock Tower’ ที่เรารู้จักเมื่อมาอยู่ที่ค่าย ‘Capcom’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘Clock Resident Evil Tower’ ไปในที่สุด(จากที่เคยหนีคราวนี้เราสู้ได้จนมันต้องหนีเรา) ซึ่งเมื่อตัวเกมถูกเปลี่ยนขนาดนี้แฟน ๆ จึงพากันสาปส่ง ทำให้ยอดขายไม่เข้าเป้าจนทาง ‘Capcom’ ดอง ‘Clock Resident Evil Tower’ ยาวมาจนถึงตอนนี้
Haunting Ground
ต่อเนื่องจากเกมที่แล้วที่หลังจากทาง ‘Capcom’ ได้ระเบิดเกมซีรีส์สยองขวัญอย่าง ‘Clock Tower’ ให้กลายเป็น ‘Clock Resident Evil Tower’ ไปในปี 2002 ทาง ‘Capcom’ ก็เริ่มริเริ่มซีรีส์เกมใหม่ขึ้นมาในชื่อ ‘Haunting Ground’ โดยตัวเกมได้อ้างอิงรากฐานมาจาก ‘Clock Tower’ ฉบับดั้งเดิมมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกที่ไม่สามารถต่อกรกับฆาตกรที่ตามล่าได้ แถมยังเอาระบบ ‘Panic Mode’ กลับมาใช้แถมเพิ่มความน่าสนใจลงไปที่เมื่อตัวละครกลัวถึงขีดสุด เราจะควบคุม ฟิโอน่า เบลลี (Fiona Belli) ไม่ได้แถมเธอจะวิ่งหนีรนรานสติแตกไม่ก็นั่งขดตัวด้วยความกลัวรอให้คนร้ายมาฆ่า ซึ่งทำให้ตัวเกมค่อนข้างน่าสนใจ แถมยังมีน้องหมามาเพิ่มความน่าสนใจ แถมตัวเกมยังมีการแอบซ่อนคลานไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เรียกว่าแก้ไขความผิดพลาดของ ‘Clock Tower 3’ ที่ทำเอาไว้ทุกอย่าง แต่ ‘Capom’ ยังไงก็คือ ‘Capcom’ เพราะถึงเราจะไม่สามารถสู้ได้แต่เราก็สามารถสั่งน้องหมาไปกัดหรือดึงความสนใจศัตรูได้ และเรายังสามารถผสมแร่ธาตุเพื่อใช้เป็นกับดักแบบต่าง ๆ เพื่อถ่วงเวลาศัตรูได้ด้วย โดยรวมแล้วตัวเกมค่อนข้างสนุกแต่ด้วยยอดขายที่ไม่ปังตามที่ ‘Capcom’ หวังเกมนี้จึงถูกดองยาวที่ก้นทะเลคู่กับ ‘Clock Tower’
Parasite Eve
มาต่อกันที่อีกหนึ่งเกมที่เป็นการผสมระหว่างความสยองขวัญและเกม RPG ได้อย่างลงตัวในเกม ‘Parasite Eve’ ที่ตัวเกมเปิดเรื่องราวมาด้วยปริศนาที่จู่ ๆ คนที่อยู่ในงานคอนเสิร์ตก็ติดไฟหลังจากที่หญิงสาวคนหนึ่งออกมาร้องเพลง จนบานปลายเป็นการกลายพันธุ์ของปีศาจที่เกี่ยวกับชาติกำเนิดในวัยเด็กของ อายะ (aya) ตัวเกมถูกสร้างออกมาสามภาคโดยภาคแรกนั้นจะเป็นเกมภาษาที่ต้องเลือกคำสั่งสวมใส่อาวุธชุดเกราะที่หลายคนในยุคนั้นคุ้นเคย แต่พอมาภาคสองตัวเกมก็เปลี่ยนมาเป็นเกมแอ็กชันสยองขวัญคล้าย ๆ ‘Resident Evil’ ที่เปลี่ยนตัวระบบแนวทางของเกมไปอย่างสิ้นเชิงแต่ยังคงใช้เนื้อเรื่องต่อจากภาคก่อน จนมาภาคที่สามตัวเกมก็เปลี่ยนอีกครั้งมาเป็นแนวแอ็กชันที่ยังแอบมีความสยองขวัญเล็ก ๆ อยู่ แต่สิ่งที่แฟฟน ๆ จดจำซีรีส์นี้ไม่รู้ลืมคือฉากอาบน้ำในตำนานที่ขาดไปไม่ได้ และเราก็หวังว่าถ้่ามีภาคที่สี่หรือมีการรีบูตเกมขึ้นมาใหม่ก็อย่าลืมใส่ฉากอาบน้ำลงไปด้วย ไม่อย่างนั้นแฟนคงเคืองมาก ๆ แน่นอน
Fatal Frame
จะเรียกว่าไร้ภาคต่อไปเลยก็พูดได้ไม่เต็มปาก กับเกมซีรีส์ ‘Fatal Frame’ เกมผีสยองขวัญแบบญี่ปุ่น ที่จุดเด่นของเกมนี้ก็คือระบบการต่อสู้ที่เราต้องใช้กล้องถ่ายวิญญาณในการปราบผี กับสาวน้อยน่ารักในบ้านผีที่ช่างดูขัดกับตัวเกมอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อเกมนี้วางจำหน่ายทั้งสามสิ่งกลับเข้ากันได้อย่างลงตัว เพราะแค่วินาทีแรกที่คุณเดินเข้าไปในบ้านร้างของเกมภาคแรก ก็สามารถทำคุณสะดุ้งเล็ก ๆ กับจอยคอบคุมที่สั่นเพราะเชือกตรงหน้าขยับเอง(รูปด้านล่าง) จนมาถึงภาค 2 ตัวเกมก็ขยายขนาดมาเป็นระดับหมู่บ้าน จนมาถึงภาค 3 ที่เกมจะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ ตามเนื้อเรื่อง และภาค 4 ที่ใช้สถานที่เดิมแต่เปลี่ยนการเล่าเรื่องผ่านหลายตัวละครที่ต่างเวลา กับภาคที่ 5 ที่เอาทุกอย่างที่เคยมีในภาคก่อนมายำรวมกันจนได้ความหลอนที่ลงตัว แถมเนื้อเรื่องทุกภาคจะเกี่ยวโยงกันไปมายิ่งทำให้แฟน ๆ ต่างติดตามเล่น แต่แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้แฟน ๆ หลายคนเลิกติดตามนั่นคือการย้ายเกมซีรีส์ตัวเองมาลงแค่เครื่อง ‘Nintendo’ อย่างเกมภาค 4 และ 5 ที่ลงบนเครื่อง ‘Nintendo Wii’ กับ ‘WiiU’ จนทำให้หลายคนที่ไม่มีเครื่องเลิกติดตาม จนล่าสุดทางค่าย ‘Koei Tecmo’ ประกาศลงเกม ‘Fatal Frame Maiden of Black Water’ หรือภาค 5 มาลงบน ‘PC’ และ ‘PlayStation 4-5’ พร้อมกับบอกแฟน ๆ ว่าถ้าเกมภาคนี้มียอดขายเข้าเป้าก็จะมีภาคใหม่ออกมา ใครที่เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้บอกเลยไม่ควรพลาด
System Shock
ถ้าพูดถึงเกมหลอนสยองขวัญเอาชีวิตแนวมุมมองบุคคลที่ 1 ที่เรียกว่าเป็นต้นแบบเกมแนวนี้ หลายคนคงต้องยกให้เกม ‘System Shock’ เป็นหนึ่งในเกมขึ้นหิ้ง เพราะแม้ตัวเกมจะออกมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 1994 บน ‘MS-DOS’ กับ ‘PC-98’ ที่นักเล่นเกม ‘PC’ ในยุคนั้นที่ไม่มีใครไม่รู้จัก กับการเอาชีวิตรอดบนสถานีอวกาศที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดกึ่งเครื่องจักร ที่ตัวเกมในมุมมองบุคคลที่ 1 ซึ่งในตอนนั้นตัวเกมเป็นอะไรที่แปลกใหม่และชวนหลอนสยองขวัญแบบสุด ๆ จนตัวเกมก็ออกมาถึง 2 ภาคแถมยังได้เสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ที่ยกย่อง ‘System Shock’ ว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมทั้งระบบการเล่นรวมถึงเนื้อเรื่อง จนเกมนี้ไปอยู่ในรายชื่อหอเกียรติยศหลายแห่ง ก่อนที่จะตัวเกมจะค่อย ๆ หายไปจากตลาดเพราะเกมมุมมองบุคคลที่ 1 ในยุคนั้นก็ไม่เป็นที่นิยมเอามาใช้ วันเวลาผ่านไปเกม ‘System Shock’ ก็กลายเป็นแค่ตำนานบทหนึ่งในวงการเกม จนเมื่อปี 2015 ทาง ‘Look Glass Studios’ และ ‘Irrational Games’ ได้ประกาศจะสร้างเกมสยองขวัญในตำนานอย่าง ‘System Shock 3’ ที่จนถึงตอนนี้ตัวเกมก็ยังไม่วางจำหน่าย ซึ่งแฟน ๆ ที่รอคอยคงได้แต่หวังกันต่อไป เพราะข่าวล่าสุดว่าตัวเกมจะวางจำหน่ายในปี 2021 รอดูว่าจะเป็นจริงไหม
Alone in the Dark
ถ้าเกม ‘Clock Tower 3’ ของ ‘Capcom’ คือการซื้อซีรีส์เกมในตำนานมาระเบิดทิ้ง เกมซีรีส์ ‘Alone in the Dark’ ก็คือเกมที่ระเบิดตัวเองที่เหมือนคำกล่าวที่ว่าปู่ย่าตายายพ่อแม่ปูมาดีแต่มาพังเอารุ่นหลานคำนี้ใช้ได้กับเกมซีรีส์นี้จริง ๆ เพราะถึงแม้คุณจะไม่เคยเล่นเกมซีรีส์นี้มาก่อน แต่อย่างน้อยก็ต้องเคยรู้จักชื่อนี้จากสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงในฐานะเกมสยองขวัญมุมมองบุคคลที่ 3 ในตำนาน ที่เป็นต้นแบบแรงบันดาลใจให้ ‘Resident Evil’ ตามรอยมาจนโด่งดัง ขณะที่ตัวเกม ‘Alone in the Dark’ ที่เป็นตัวต้นแบบเองกลับค่อย ๆ หลงทางและขาดความสนุกน่าสนใจในหลาย ๆ ภาคที่สร้างมา ซึ่งในบางภาคทางค่ายก็เหมือนยังทำเกมไม่เสร็จสมบูรณ์จนเอามาวางจำหน่าย ซึ่งในยุคนั้นมันไม่เหมือนยุคนี้ที่ทางทีมพัฒนาสามารถออกแก้ไขเกมได้เรื่อย ๆ แต่เกม ‘Alone in the Dark’ ที่วางจำหน่ายในปี 2008 บนเครื่อง ‘PlayStation 2’ และ ‘Nintendo Wii’ มันทำไม่ได้ จุดผิดพลาดตรงไหนก็คือเป็นไปเลยจนมาถึงเกมภาคล่าสุดอย่าง ‘Alone in the Dark Illumination’ เมื่อออกมาก็ถูกแฟน ๆ สาปส่งว่าตัวเกมพยายามจะเป็น ‘Left 4 Dead 2’ และ ‘Resident Evil’ จนขาดความเป็นตัวเอง จนถึงตอนนี้ตัวเกมซีรีส์ ‘Alone in the Dark’ ก็นอนจนอยู่ก้นทะเลพร้อมกับภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน
Alan Wake
ถ้ามีการจัดอันดับเกมยอดเยี่ยมที่ไร้ภาคต่อเกม ‘Alan Wake’ ต้องมาติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ที่เกมสยองขวัญเอาชีวิตรอดเกมนี้วางจำหน่าย ทุกสำนักเกมต่างก็ชื่นชมในความสนุกและตื่นเต้นทั้งระบบเกมเนื้อเรื่องกราฟิก ที่สามารถสู้เกมรุ่นพี่ที่ตายสนิทไปแล้วอย่าง ‘Silent Hill’ ได้ แต่เมื่อเกมวางจำหน่ายพร้อมกับ ‘DLC’ เนื้อเรื่องเสริมจบลงก็ไม่มีวี่แววว่าทางค่ายเกมจะทำภาคสองออกมา ซึ่งข่าววงในก็มีออกมามากมายไม่ว่าจะเป็นข่าวการพัฒนาไปแล้วแต่ตัวเกมก็ถูกยกเลิก รวมถึงการเปลี่ยนทีมพัฒนาและอีกหลายข่าวลือที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ที่จนถึงตอนนี้เกมหลอนสยองขวัญเกมนี้ก็ยังไม่มีวี่แววภาคต่อออกมา ซึ่งสำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกมนี้จะให้เรารับบทเป็น แอลัน เวก (Alan Wake) นักเขียนมากฝีมือที่ตอนนี้ไอเดียการเขียนเรื่องเริ่มตัน จนต้องเปลี่ยนบรรยากาศตามคำแนะนำของภรรยา แต่เมื่อมาถึงเมืองไบรท์ฟอลส์ในรัฐวอชิงตันเขาก็เจอเรื่องประหลาดสยองขวัญที่มันมาพร้อมกับความมืด ตัวเกมให้อารมณ์ ‘Silent Hill’ ผสม ‘Resident Evil’ ได้อย่างลงตัว ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไร้วี่แววภาคใหม่
Enemy Zero
ลองคิดดูว่าเกมหลอนสยองขวัญเอาชีวิตรอดในสถานอวกาศตัวคนเดียว โดยที่มีสัตว์ประหลาดไล่ล่าคุณแต่คุณไม่สามารถมองเห็นมันได้ จะต้องใช้การฟังเสียงเท่านั้นจึงจะพอเดาทางได้ นั่นคือความคิดที่น่าสนใจในเกม ‘Enemy Zero’ เกมเก่าระดับตำนานที่วางจำหน่ายบนเครื่อง ‘Sega Saturn’ที่เราจะได้รับบทเป็น ลอร่า ลูอิส (Laura Lewis) เจ้าหน้าที่บนยานอวกาศ AKI ที่ตื่นจากการหลับด้วยสัญญาณเตือนจากสิ่งที่มองไม่เห็น ตัวเกมมาในรูปแบบมุมมองบุคคลที่ 1 กับความเงียบที่ตอนเล่นเราต้องฟังเพียงอย่างเดียวถ้าอยากจะมีชีวิตรอด เพราะศัตรูทุกตัวในเกมนี้จะไม่มีตัวตน ซึ่งตอนที่เกมนี้วางจำหน่ายก็สร้างเสียงตอบรับให้กับผู้คนที่สนใจอยากเล่นแต่เกมนี้เป็นอย่างมาก แต่จากการหาข้อมูลก็ไม่พบสาเหตุว่าทำไมเกม ‘Enemy Zero’ ถึงไม่มีภาคต่อ อาจจะเพราะความยากหรือยอดขายไม่ตรงตามเป้าที่ทำให้เกมนี้ไม่ได้ไปต่อ ซึ่งถ้าเกมนี้ได้ลงบน ‘PlayStation’ ก็อาจจะมียอดขายดีกว่านี้ก็ได้นั่นคือสิ่งที่หลายคนคิดกัน แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายเกมนี้ก็หายตัวไปพร้อมกับสัตว์ประหลาดในเกม
Silent Hill
ปิดท้ายกับตัวพ่อของวงการเกมที่ตอนนี้เกมในซีรีส์ ‘Silent Hill’ ทั้งหมดที่อยู่ในมือของ ‘Konami’ เป็นเหมือนวาฬลอยอืดอยู่กลางทะเลที่ส่งกลิ่นเหม็นเรียกผู้คนให้สนใจเป็นระยะ แต่เมื่อมาดูก็ยังคงตายสนิทไม่มีทางฟื้นขึ้นมา เพราะหลังจากที่เกมซีรีส์ ‘P.T.’ ช่วยกระตุ้นหัวใจให้แฟน ๆ เกมหันมาลุ้นว่าวาฬ ‘Silent Hill’ จะกลับมาว่ายน้ำให้แฟน ๆ ได้เห็นอีกครั้งไหม แต่จนแล้วจนรอดการกระตุ้นหัวใจนี้ก็ปลุกผี ‘Silent Hill’ ไม่ขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นก็มีข่าวลือตามมามากมายแต่สุดท้าย ‘Konami’ ยังไงก็คือ ‘Konami’ ที่เอาเกมซีรีส์นี้ไปลงตู้ปาจิงโกะแทนการออกภาคใหม่ จนล่าสุดมีข่าวหลุดมาว่าทาง ฮิเดโอะ โคจิม่า (Hideo Kojima) จะมาทำเกมนี้อีกครั้งกับข่าวลือในชื่อเกมปลอมว่า ‘Abandoned’ พร้อมกับความมโนคิดไปไกลของแฟน ๆ ที่คิดว่าทางค่าย ‘Blue Box Game Studios’ คือการสับขาหลอกของโคจิม่าเพื่อหลอกแฟน ๆ เกี่ยวกับสร้างเกมนี้ เพราะการกระทำแบบนี้ของโคจิม่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนเกม ‘Metal Gear Solid 2’ จนทำให้วาฬเน่า ‘Silent Hill’ กลับมาเป็นที่สนใจ จนล่าสุดข่าวก็ออกมายืนยันแล้วว่าไม่ใช่ แต่แฟน ๆ ก็ยังไม่ยอมแพ้เพราะล่าสุดมีแฟน ๆ ต่างมโนไปอีกว่าถ้าไม่ใช่ ‘Silent Hill’ ก็คงจะเป็น ‘Metal Gear Solid 6’ วาฬอีกตัวที่ตายคู่กัน คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ‘Konami’ จะหันมาปลุกผี 2 เกมนี้เมื่อใด แต่ที่รู้ ๆ คือไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่นอน
ก็จบกันไปแล้วกับ 11 เกมสยองขวัญที่ตายสนิทไร้ซึ่งภาคต่อในวงการเกม โดยเราพยายามคัดเกมทั้งเก่าและใหม่ ที่แต่ละเกมนั้นก็มีเหตุผลและกลไกที่น่าสนใจ ที่ทำให้เกมเหล่านั้นไม่มีภาคต่อ ซึ่งเอาจริง ๆ ก็มีเกมสยองขวัญอีกหลายเกมมาก ๆ ที่ตอนนี้ก็ยังไร้ภาคต่อ แต่ส่วนมากเกมเหล่านั้นก็มีแค่เหตุผลเดียวนั่นคือยอดขายไม่เข้าเป้าจนไม่มีภาคต่อ หรือบางทีก็มาจากการเสื่อมความนิยมของเกมแนวสยองขวัญ ที่ทำให้เกมเหล่านี้หายไปจากตลาด ซึ่งเอาไว้มีโอกาสเราจะหยิบมาพูดถึง และถ้าบทความนี้ขาดเกมไหนซีรีส์ใดไปก็ขออภัยมาด้วย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับวงการเกมก็ติดตามกันได้ที่นี่ที่เดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส