กระแสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากที่ไม่เคยมีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่เขย่าขวัญอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมพลังงานแบบดั้งเดิมเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่รถสปอร์ตแบรนด์ดังก้องโลกอย่าง Porche ก็มีแผนพัฒนารถยนต์ EV อย่างเต็มรูปแบบที่มีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง และเตรียมแผนออกจำหน่ายแล้ว

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจากรถพลังงานไอน้ำมาเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก็เกิดขึ้นมาแล้วในปี 1886 ซึ่งหากพวกเราอยู่ในยุคนั้นคงคิดเช่นกันว่า “เหลือเชื่อ” ที่มนุษย์มีความชาญฉลาดและมุมานะ คิดได้อย่างไรว่ามนุษย์เราจะขุดของเหลวจากใต้ดินเอามาเติมใส่รถยนต์ให้วิ่งได้

และในที่สุด ช่วงเวลาในทศวรรษนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ตื่นเต้นอีกครั้ง ที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ใช้น้ำมัน กลายเป็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนักอนาคตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ก็ออกมาให้ความเห็นว่า โลกของเรากำลังจะเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปี 2020-2030 และจะเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์แบบภายในปี 2035 (ปีที่คาดว่าจะมีการยุติการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างสิ้นเชิง)

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมยานยนต์ได้มีความร่วมมือกับอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยมีแผนที่จะทำให้รถยนต์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตบนระบบ 5G และจะทำให้รถยนต์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผ่านระบบคลาวด์ (cloud) แบบ realtime จนทำให้รถมองเห็นกันและกัน มองเห็นถนนหนทางและสถานที่ต่างๆ กลายเป็นรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (self-driving car) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยในการตัดสินใจเพื่อทำให้รถขับเคลื่อนด้วยตัวเองมีความปลอดภัยที่สูงมาก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองจะออกมาจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2030-2035 และเราจะเห็นการขับเคลื่อนยานยนต์แบบ Fully-automated ใน step ต่อไปช่วงปี 2035-2040

จากการวิเคราะห์ของ Gartner พบว่าภายในปี 2020 จะมีรถยนต์ที่เชื่อมต่อกันถึง 250 ล้านคันบนแพลตฟอร์ม ซึ่งนอกจากรถยนต์จะเชื่อมต่อกันเองแล้ว แพลตฟอร์มยังทำให้รถยนต์เชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ อีกมากมาย โดยชื่อทางเทคนิคของระบบแพลตฟอร์มนี้คือ V2X (vehicle-to-everything communication) โดยจะทำให้รถยนต์จับข้อมูลที่บ่งบอกตำแหน่งและการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่รถยนต์เดินทางไปตลอดเวลาและ realtime จนในที่สุด รถยนต์ทุกคันบนแพลตฟอร์มสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองจากการมองเห็นสิ่งแวดล้อมอย่าง realtime ด้วยการตัดสินใจจาก AI นั่นเอง

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว จึงทำให้รูปแบบการทำงานและอาชีพต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนจะทำให้แรงงานแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำงานร่วมกับเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและ AI ได้ ดังนั้น สถาบันการศึกษาทุกระดับ ก็จะต้องเปลี่ยนนโยบายและหลักสูตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกเช่นกัน เช่น การเปิดกว้างต่อความรู้ใหม่ๆ, หลักสูตรการเรียนรู้ที่วัดผลทักษะผ่านการทำกิจกรรม ที่ไม่ได้วัดด้วยการสอบ เพราะการสอบวัดได้แค่ความรู้เพียงอย่างเดียว อีกทั้งหลักสูตรผลิตบุคลากรครูที่จะช่วยเติมทักษะของการเป็น Facilitator นั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเติมเต็มทักษะในศตวรรษที่ 21 เข้าไปในหลักสูตรได้อย่างรวดเร็ว

เพิ่มเติม : แผนการยุติการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

  • รัฐสภาเนเธอร์แลนด์ โหวตให้ยุติการขายรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันภายในปี 2025
  • อินเดียประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2030 และจะเริ่มขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2030
  • นอร์เวย์ประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันภายในปี 2025 ซึ่งปัจจุบันนอร์เวย์เป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า โดยเกือบ 40% ของรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2017 เป็นรถยนต์ประเภทไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า และรถไฮโดเจน
  • ฝรั่งเศสประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2040
  • สหราชอาณาจักรประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันภายในปี 2040 โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2050 รถทุกคันที่อยู่บนท้องถนนจะต้องมีการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
  • เยอรมนีมีเป้าหมายคร่าวๆ ว่าจะยุติการขายและผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2030 และได้มีเป้าหมายว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันบนถนนในปี 2020 ทำให้การวิจัยเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และมีแนวทางลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากเยอรมันพยายามจะเป็นผู้นำตลาดในด้านนี้
  • รัฐบาลสก็อตแลนด์ได้ประกาศว่าจะทำการลดการใช้รถที่ใช้แก๊สและน้ำมัน จนหมดไปภายในปี 2032
  • รัฐบาลจีน ได้ออกกฎห้ามขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งจะเริ่มต้นในปี 2030 และมีกฎระเบียบเพื่อบังคับว่าตั้งแต่ปี 2019 ให้บริษัทผลิตรถยนต์เพิ่มโควต้าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริด
  • Volkswagen ประกาศว่าจะนำเอารถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาด ภายในปี 2025 โดยมีเป้าหมายว่าจะมียอดขายประมาณ 25% ของยอดขายรวม
  • Daimler ประกาศว่ากำลังเร่งโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และจะมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆออกมาประมาณ 10 รุ่น ออกสู่ตลาดภายในปี 2022
  • Volvo ประกาศว่ารถทุกรุ่นที่ออกสู่ตลาดภายหลังจากปี 2019 จะเป็นไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้า
  • BMW ประกาศว่าภายในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 12 รุ่น และรถไฮบริด 13 รุ่น ออกสู่ตลาด
  • Jaguar Land Rover ประกาศว่ารถยนต์รุ่นใหม่ๆทุกรุ่น ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไปจะเป็นรถไฮบริดหรือรถไฟฟ้า
  • Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ กำลังวางแผนที่จะเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
  • Subaru จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น ตั้งแต่ ปี 2021 และมีแนวโน้มที่จะหยุดการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลในตลาดยุโรปและออสเตรเลียในช่วงปี 2020 และมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า
  • บริษัทฮอนด้ามอเตอร์ได้แถลงว่ากำลังวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับขับขี่ในเมือง ในตลาดภายในประเทศญี่ปุ่น ในปี 2020
  • เกาหลีใต้มีแผนจะไม่ให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันวิ่งบนถนน ภายในปี 2030

——————
บทความโดย
พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
medium.com/vnV4JVinWR
28 พ.ย. 61