ผมปิดต้นฉบับ “หนุ่ยรู้โลกรู้” ในค่ำวันเสาร์แบบยังไม่หยั่งรู้อนาคต แต่ก็หวังไว้ว่า “เช้าวันอังคาร” วันตีพิมพ์เรื่องนี้เผยแพร่ออกมา จะมี “บทสรุปในทางที่ดี” ส่องแสงออกมาแล้ว

ประเทศไทยในสัปดาห์เดียวกันมีเรื่องดราม่าวงการบันเทิงที่ต้องพึ่งโรงพึ่งศาล 2 เรื่องซ้อน แต่ละเรื่องมีคติสอนใจที่ดี “วู๊ดดี้โดนจำคุก 1 ปี” จากการเชิญแขกรับเชิญมาหมิ่นประมาทบุคคลอื่นในรายการของตนเอง ศาลพิพากษา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” เคสนี้ผู้จัด/ผู้ดำเนินรายการทุกคนในวงการโทรทัศน์ใช้เป็นกรณีศึกษาและข้อเตือนใจในการปฏิบัติการงานในอนาคต ja05

ส่วนอีกเรื่องที่ยังร้อนระอุและมีเส้นตายอยู่ที่ “วันที่ 1 เมษายน” ซึ่งเป็นกำหนดการฉายหนังดังฮอลลีวูดภาคสุดท้ายที่แฟนหนังทั้งโลกหวังใจจะไปดูขวัญใจ “พอล วอล์กเกอร์” เป็นครั้งสุดท้าย “Fast & Furious 7” ได้ฟิวเรียสสมชื่อ โกรธกันไปทั่วหล้าสยามประเทศ ถึงกับฟาดงวงฟาดงาไปสู่หนังไทยแห่งสยามประเทศอีกเรื่อง “อวสานหงสา” หนังภาคสุดท้ายเหมือนกันแต่มีคนขู่จะไม่ดู รวมถึงจะบอยคอตหนังเรื่องต่อ ๆ ไปแห่งค่ายใบโพธิ์นี้ในแนว “อวสานสหมงคล” ..เรื่องนี้ “ท่านมุ้ย” ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ถึงกับต้องออกโรงเคลียร์เองในกระทู้ฮอต Pantip.com ว่า “คนทำหนัง” กับ “คนขายหนัง” มันคนละคนกัน ไม่ควรมาฟาดงวงใส่กัน ก็นับว่าเป็นการเคลียร์ที่ชัดเจนมากและรวดเร็วดี เชื่อมั่นว่ากรณี Fast7 ไม่ส่งผลกระทบกับหนังนเรศวร 6 ของท่านมุ้ยแล้วแน่ ๆ

แต่ที่ดิ้นไม่หลุดจากความเกลียดชังจากคอหนังเทศ หนีไม่พ้น “เสี่ยเจียง” สมศักดิ์ รัตนประเสริฐ บิ๊กบอสแห่งสหมงคลฟิล์ม นักสร้าง-นักขายหนังชื่อดังมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ผู้เป็นแมว 9 ชีวิตตัวจริงแห่งวงการ (แต่กำลังใช้ชีวิตที่ 9 อยู่ในขณะนี้) ด้วยบุคคลิกที่โผงผาง ด่าไว แต่ก็เป็นที่รักที่สุดของบุคลากรในวงการเช่นกัน เรียกง่ายๆ “ไม่มีเสี่ยเจียง หนังไทยก็ไม่ได้มาถึงทุกวันนี้” ความจริงข้อนี้ทุกคนยอมรับ เพราะตอนเจ๊งแกเจ๊งอยู่คนเดียว คนอื่นๆ เดินตามล่าหาฝันมาเอาเงินแกไปเผาเล่น ช่วงหนังได้ตังค์แกจะพูดเล่นๆ ว่าเหมือนพิมพ์แบงค์ได้เองแล้วแกก็เอาเงินนั้นแจกจ่ายไปสร้างหนังต่อ เจ๊งมากกว่าได้นะรวมๆ แล้วแต่ก็ดีที่ธุรกิจแกมีหนังฝรั่งสาย Independent Studio ด้วยที่หลังๆ มามีฟอร์มยักษ์เพิ่มขึ้นเยอะ

ja04

ล่าสุดเสี่ยเจียงเพิ่งคว้ารางวัLifetime Achievement Award จากชมรมวิจารณ์บันเทิง ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติภูมิสูงสุดแก่ชีวิตการทำงานของคนๆ หนึ่ง งานในวันนั้นบรรยากาศที่บรรยายมาโดยคนที่ได้ไปร่วมงานบอกว่า “อบอุ่นและมีความสุขมากกว่าค่ายตนเองได้รางวัลหนังยอดเยี่ยม” แต่ข่าวก็ไม่แรงนัก (ก็นะ~มันเป็นข่าวดีนี่เน๊อะ!) และก็ถูกข่าวร้ายกลบจนมิดในวันต่อมานั่นคือ “ศาลสั่งระงับการฉายภาพยนตร์ Fast7” …ข่าวนี้ถูกพาดหัวข่าวไปในสื่อต่างๆ มากมายทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากก็คือสื่อออนไลน์ที่สามารถทำใครก็ได้ตกเป็นจำเลยได้ในพริบตา เสี่ยเจียงมีชื่อนำหน้าว่า “เสี่ย” ก็โดนเกลียดเยอะหน่อย เพราะตัวละคร “เสี่ย” ในหนังมันเป็นแต่ตัวร้าย นี่คือความจริงที่เจ็บปวด …น่าสนใจตรงที่สื่อสำนักต่างประเทศอย่าง Variety พาดหัวว่า A contract dispute involving Tony Jaa may stop fans in Thailand from seeing #Furious7 คือเขาเข้าใจประเด็นที่แท้จริงคือ “สัญญามีปัญหา” แต่สื่อไทยโดยมากก็เน้นปลุกเร้าอารมณ์โกรธให้เราฟังว่า “เสี่ยเจียงฟ้องศาลให้สั่งระงับฉายหนังฟาสต์ 7″ ผมตั้งคำถามนะครับว่าอันไหนมันให้ปัญญากับเรามากกว่ากัน?

ja02

อ่านกระทู้ต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน Pantip.com เราสามารถแบ่งกลุ่มคนออกเป็น 3 กลุ่ม
1. กลุ่มคนอยากดู Fast7 : กลุ่มนี้เขาคือแฟนหนังฉะนั้นเขาไม่สนอะไรทั้งสิ้น แบบว่ากูจะดู มึงจะมายุ่งอะไร กลุ่มนี้ประกาศตัวชัดว่าจะดูพอล วอร์กเกอร์ ไม่ใช่จาพนม จะตัดออกหรือจะเบลอป้ายยาหม่องมึงทำได้เลย กูจะดูฟาสต์7 ไม่งั้นกูโกรธ
2. กลุ่มคนที่พยายามทำความเข้าใจเนื้อหา : กลุ่มนี้ก็อยากดูหนังนะ แต่ใจก็อยากรู้ว่าเรื่องราวคดีตกลงมันเป็นอย่างไรด้วย ก็มีทั้งเข้าใจถูกและเข้าใจผิด ซึ่งแทบจะ 100% ด่าเสี่ยเจียงเป็นเบื้องต้น ด่าจา พนมเป็นภาคต่อ
3. กลุ่มนักกฏหมาย : กลุ่มนี้เป็นผู้มีความรู้ พยายามจะสร้างความเข้าใจและตีความสัญญาที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “สัญญาทาส” ให้โดยหาเหตุผลว่าทำได้หรือทำไม่ในเรื่องการ “ต่อสัญญาอัตโนมัติ”

สัญญาแบบนี้ “มีอยู่จริงๆในวงการบันเทิง” ไม่ใช่แค่ที่สหมงคลฟิล์ม เหตุเพราะเงินลงทุนมันสูงกับการปั้นให้ดังไปทั่วโลก บริษัทจึงควรได้สิทธิ์ตัดสินใจแต่ฝ่ายเดียวว่าจะต่อหรือไม่ต่อสัญญา (เรียกง่ายๆขอเช็คก่อนว่าคุ้มพอรึยังกับที่เสียไป)

ตัดเรื่องบุญคุณต้องทดแทนออกไปก่อนเลยนะ
เสี่ยเจียงแม้จะขึ้นชื่อว่าเสี่ย แต่การทำธุรกิจของเขาก็รัดกุม สหมงคลฟิล์มเป็นองค์กรที่มีฝ่ายกฎหมายและบัญชีที่แข็งแกร่ง เขาจ่ายอะไรไปเขาบันทึกไว้หมด เกิดเรื่องที่เขาคาดว่าจะมีตุกติกเขาออกหนังสือหนังหาไว้ครบถ้วน พอทนายสุวัตรไปยื่นศาลแพ่ง ศาลถึงออกคำสั่งคุ้มครองให้ไงครับเพราะมันชัดเจนว่าผิดสัญญาทั้งกับตัว จา พนม เองและบริษัท Universal Pictures (ลามมาถึงบริษัท UIP ผู้จัดจำหน่ายซึ่งเป็นลูกครึ่งระหว่าง Universal กับ Paramount และจดทะเบียนที่ฮ่องกง)

เงินที่เรียกไปคือ พันหกร้อยกว่าล้านบาท ถ้าว่ากันตรงๆก็สูงเกินกว่ามูลค่า Tony Jaa ในหนังเขา แต่สุดท้ายคดีแพ่ง ไม่ได้แปลว่าฟ้องแล้วจะได้ตามนั้น ส่วนใหญ่ก็ไกล่เกลี่ยกันทั้งนั้

จา พนม เขาเซ็นต์สัญญาไป 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2546-2556) แต่เนื้อหาสำคัญมันคือ “ต่ออัตโนมัติได้ ถ้าบริษัทอยากจะต่อ” อันนี้ตกโทษตัวเองที่ไปเซ็นตกลงมาเอง (ก็วันนั้นยังไม่ดัง อะไรก็ยอมทั้งนั้น) แต่กฎหมายยังพึ่งพิงได้เสมอ ถ้าคิดว่าไม่เป็นธรรมก็สามารถร้องขออำนาจศาลให้พิจารณาความเป็นธรรมในสัญญาและขอเลิกได้ ทีนี้..ประเด็นคือ “เขาไม่ได้ทำ” แต่เลือก “เดินไปให้ห่างจากปัญหา” สุดท้ายมันก็วกกลับมามัดตัวอยู่ดี

ja01

Fact อีกประการที่สหมงคลต้องขอต่อสัญญากับจาแบบอัตโนมัติคือ “จาสร้างหนังค้างอยู่ 1 เรื่อง” คือ “ไอ้หนุ่มกังนัม” เบิกเงินสร้างไป 26 ล้านบาทในปี 56 แต่ทิ้งงานไปแล้วไม่เหลือแม้ปุ๋ย เขาไม่ฟ้องร้องเขาก็ควายทำธุรกิจแล้วล่ะครับ เพียงแต่การฟ้องครั้งนี้มันทำร้ายความรู้สึกพวกเรามากเพราะหนังมันภาคสุดท้ายและพระเอกตาย เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย

Universal Studio เคยตอบเอกสาร Notice จากทางสหมงคลฟิล์มทางอีเมลว่า “เขาก็มีสัญญากับจา พนมเหมือนกัน” อันนี้เข้าใจว่าไปเซ็นซ้อนไว้ ซึ่งผู้จัดการเป็นฝรั่งก็คงสร้างความเชื่อมั่นให้ฝั่งนู้นได้มาก

หนังเรื่องนี้จา พนมเล่นน้อยมาก แต่มันดันเข้าก่อนหนังเล่นเต็มๆเรื่องอย่าง Skin Trade หนังฝรั่งและ SPL2 หนังฮ่องกง ซึ่งสหมงคลก็ต้องตามไปฟ้องอีกเช่นกัน

ประโยคแรกที่ทนายความฝั่งสหมงคลฟิล์มแถลงเมื่อวันศุกร์คือ “ขอโทษประชาชนที่ทำให้ไม่ได้ดูหนัง Fast7″

วิถีทางเดียวตอนนี้หากพวกเขาอยากให้พวกเราได้ดู Fast & Furious7 กันจริงๆ ก็คือ “จา พนมต้องจูงมือ UIP ไปไกล่เกลี่ยกับเสี่ยเจียง” ซึ่งนั่นอาจเป็นเพียงการชดใช้ค่าเสียหาย 26 ล้านบาทจากหนังที่ทิ้งไปก็เป็นได้นะ..

ซึ่ง “สุดท้ายยังไงเราก็จะได้ดู Fast7” ครับ จะทันเวลาวันที่ 1 หรือจะเลื่อนออกไปก่อนก็เท่านั้นแหละ 🙂

และล่าสุดทางเมเจอร์ก็ประกาศออกมาผ่านหน้า Facebook แล้วว่าฉายแน่นอน 🙂

สดๆร้อนๆเลย ข่าวดีของทุกคน Fast and Furious 7 ฉายชัวร์ 1 เมษานี้ ครบทุกระบบ ตะโกนดังๆ เย้ๆๆๆๆ

Posted by Major Cineplex Group (Thailand) on 30 มีนาคม 2015