คงไม่ต้องสาธยายความกันมากเกี่ยวกับ “คดียูฟัน” เพราะคุณผู้อ่านก็คงอ่านเรื่องราวกันมากว่า 2 เดือนแล้วจากหน้าข่าวหนังสือพิมพ์,ทีวีและทุกๆสื่อ ผมเองในฐานะ “ผู้ประกาศข่าว” อ่านข่าวทุกเช้าที่ไทยรัฐทีวีก็อ่านข่าวนี้มายาวนานต่อเนื่องทุกวันมาตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2558 คำพูดหลายๆคำเป็นคำที่เข้าปากไปแล้วหลับตาอ่านได้ เช่นชื่อ “พลตำรวจโทสุวิระ ทรงเมตตา” ผู้ช่วยผบตร.ที่ทำคดีนี้ หรือจะเป็นคำว่า “ชุดคลี่คลายคดีเครือข่ายยูฟัน” “ศูนย์ปฏิบัติการสืบสวนและช่วยเหลือเหยื่อในคดีฉ้อโกงประชาชน(ยูฟัน)” ตัวย่อ บก.ปคบ.ที่จำได้ขึ้นใจ “กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค”

image4

ในที่สุด..ชื่อสถานที่และตัวละครทั้งหมดที่เคยอ่านผ่านปากไปก็กลายเป็นสถานที่และบุคคลที่ผมต้องพบเจอจริงๆในวันเสาร์ที่ผ่านมา เริ่มต้นจากเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน เจ้าพนักงานตำรวจโทรศัพท์มาเรียกตัวให้ไปพบในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที ..เมื่อขอต่อรองไปว่าขอไปพบเช้าวันอาทิตย์ เนื่องจากวันเสาร์รุ่งขึ้นนั้นเป็นวันสำคัญของลูกสาวที่นัดเพื่อนโรงเรียนอนุบาลมาทานข้าวร้องเพลงการ์ตูนดีสนีย์กันที่บ้านมีแขกกว่า 20 คนและผมเป็นกำลังหลักทั้งในเรื่องปิ้งย่างอาหารและเอ็นเตอร์เทน ..อาจดูเป็นเหตุผลที่ดูสำคัญน้อยกว่าการออกหมายเรียก คุณตำรวจจึงต้องใช้ยาแรงกับผมคือ “ถ้าไม่มา เราก็จะต้องออกหมายจับ” … ฟังคำนี้ปุ๊บก็ขนลุกซู่เลยครับ ผู้ใหญ่สายข่าวที่เคารพนับถือโทรมาด้วยเสียงซีเรียสว่า “คุณงานเข้าแล้ว… และสถานการณ์ไม่ดี”

เหตุที่ทำให้ประสบก็คือวันนั้นเป็นวันศุกร์สุดท้ายก่อนปิดสำนวนคดีนี้ส่งอัยการในวันจันทร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจบก.ปคบ.ได้รับแผ่น DVD บันทึกภาพงาน The Black Night Party By URICH หลักฐานสำคัญโค้งสุดท้ายที่แหกโค้งมาถึงมือตำรวจได้โดยพลเมืองดี เมื่อเปิดวิดีโอดังกล่าวความยาว 1ชั่วโมงครึ่งก็พบกับ “ผม” ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็น “พิธีกร” ของงานในค่ำคืนนั้น (13 ธันวาคม 2557) ที่โรงแรมรามาการ์เด้น ย่านวิภาวดีรังสิต …ที่ประชุมตำรวจลงความเห็นกันว่า นายพงศ์สุขนั้น “คล่อง” มากพูดจาฉะฉานและได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ยูโทเค่น” สกุลเงินอิเลกทรอนิกของเครือข่ายนี้ คล่องขนาดนี้น่าจะเป็นสมาชิกของเครือข่ายแน่ๆ “ครบองค์ประกอบความผิด” ไหนเรียกลองเรียกมันมาสอบปากคำซิ? …

image6

ผมรับทันทีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าผมไปเป็นพิธีกรงานดังกล่าวจริง แต่ในวันที่ 13 ธันวาคม ปีที่แล้วผมและคนทั้งสยามประเทศก็ยังไม่มีใครรู้ได้ว่า “ยูฟัน” คือบริษัทแชร์ลูกโซ่ฉ้อโกงประชาชน ตำรวจยังไม่ได้จับและยังไม่มีการประกาศเป็นความผิด ..ผมมีสัมมาอาชีพเป็นพิธีกรมา 17 ปีแล้ว จึงรับงานตามสายอาชีพเมื่อมีบริษัทผู้จัดออกาไนเซอร์ติดต่อเข้ามาแล้วระบุว่าเป็นงานเปิดตัว “เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ” ตัวใหม่ …แต่เมื่อไปถึงงานก็พบกับบรรยากาศอีกแบบเป็นลักษณณะงานเลี้ยงฉลองชัย ทุกคนใส่สูททักซิโด้,ราตรีสีดำมากันเต็มยศ ผมถูกพาเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อซักถามสคริปต์งานที่ผมได้รับฉบับสมบรูณ์ทางอีเมลเมื่อเวลา 13.02น. ของวันนั้น (ผู้จัดนัดหมาย 17.00น.) เรียนด้วยความมึนแบบจริงใจเลยว่า “ไม่ได้ค้นข้อมูลประกอบไปก่อน” ปกติผมมีดนัย DriverAEC ขับรถให้ ระหว่างเดินทางไปถึงสถานที่จัดงานผมจะมีมือว่างและอ่านสคริปต์ทำการบ้านไปได้ก่อนถึงงานอยู่แล้ว แต่งานนี้อ่านๆไปก็รู้สึกแหละว่ามันดูเสี่ยวๆ ใช้ศัพท์ไอทีปนกันมั่วไปหมดเช่น “ระบบ U-Token อันยอดเยี่ยมของเราเป็น E-Money ที่อาศัย E-Marketplace ที่เป็น Internet Platform อันยอดเยี่ยมและเป็น E-Commerce ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ UBTMall.com” เรียกภาษาบ้านๆ ว่ากระแดะมาก ไทยคำอังกฤษคำ ..แต่ปกติมันก็เป็น “หน้าที่ของผม” อยู่แล้วที่ต้องอธิบายเทคนิคเหล่านี้ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้คน เจ้าภาพ-ผู้จัดต่างๆ ที่จ้างงานก็คาดหวังสิ่งนี้จากผมกันทั้งนั้น ..ผมเก็บความสงสัยบางอย่างในสคริปต์ไปถามกับเจ้าภาพ พบนายอภิชณัฎฐ์ แสนกล้า สมาชิกระดับแถวหน้าของเครือข่ายยูฟัน (ที่ต่อมาโดนจับไปเป็นคนแรกเลย) เขาแสนกล้าสมชื่อเขากล้าทำธุรกิจนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันและเป็นเจ้าของงานในค่ำคืนนั้น แกเล่าสิ่งที่ผมสงสัยว่า “ยูโทเค่นคืออะไร?” ให้ฟังโดยเรียกแทนตน “อ.นัด” และ “พี่นัด” เวลาพูดกับผม ได้อธิบายว่ามันเป็นสกุลเงินอิเลคทรอนิกส์ ผมเองถามสวนว่าใช่แบบเดียวกับ “บิตคอยน์” หรือไม่? แกส่งสายตามองผมอย่างสนใจ “ใช่เลยคุณหนุ่ยนี่หลักแหลมมากที่เข้าใจบิตคอยน์” ..”แต่บิตคอยน์ไม่ได้รับการยอมรับจากธนาคารแห่งประเทศไทยนี่ครับ?” ผมแย้งต่อด้วยความสงสัย “อ้าว! ก็ของเราได้รับการยอมรับจากประเทศมาเลเซียนี่นา” เขาเสริมให้ผมมั่นใจ “แต่ถึงอย่างไรกฎหมายไทยก็ไม่อนุญาตให้มีการตั้งสกุลเงินเองนี่นา” ผมยังสงสัยอยู่แบบเด็กโลกสวย ..เขาจึงปิดท้ายการอธิบายด้วยประโยคเด็ดว่า “ทุกอย่างอยู่ในโลกไซเบอร์…คุณหนุ่ยก็เข้าใจโลกไซเบอร์ดีมิใช่รึ?” หลังจากนั้นผมก็หันกลับมารับบรีฟจากทีมสตาฟ์จากบริษัทออกาไนเซอร์ที่รับหน้าที่ดูแลงาน

image1

งานดำเนินไปอย่างคึกคักตามที่วิดีโอแผ่นที่ตำรวจได้หลักฐานมาบันทึกไว้ ผมเพิ่งได้ดูไฟล์บันทึกภาพนี้ครั้งแรกที่บก.ปคบ.ไปพร้อมๆกับนักข่าวจำนวนมากที่รุมล้อมรอทำข่าว นึกในใจ “เออ..กุคล่องแคล่วเกินไปอย่างที่คุณตำรวจเค้าบอกจริงๆ” ตำรวจพินิจว่าผมพูดได้เองโดยไม่ได้อ่านสคริปต์เลย.. ผมโชคดีที่ไฟล์สคริปต์ยังถูกรื้อออกมาได้จากอีเมลของภรรยา ทั้งๆที่ผมเพิ่งเคลียร์เมล์บ๊อกซ์แบบยกเข่งไปไม่นานนี้ (ตอนพลตำรวจโทสุวิระบอกกับผมทางโทรศัพท์ว่าให้หาหลักฐานปกป้องตนเองที่เป็นสคริปต์มาแสดงด้วยให้ได้ ผมขนลุกซู่เลย เพราะผมเพิ่งเคลียร์ Gmail ไปเกลี้ยง) งานนี้ก็เรียกว่ารอดได้เพราะภรรยาแหละครับ ภาพบ่งชี้ว่าผมถือ iPad Air2 เครื่องที่ภรรยาผมซื้อให้เป็นของขวัญครบรอบแต่งงานเมื่อปีก่อน ผมถือเครื่องเดิมไปเลยพร้อมบอกคุณตำรวจว่า “นี่..ไง เห็นไหมครับว่าผมมีจังหวะก้มอ่านสคริปต์บ้างเป็นระยะๆ” ..ต่อไปนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจการทำงานที่คล่องแคล่วเกินไปของผมว่าควรก้มอ่านสคริปต์บ้างอย่าได้อาย

กระบวนการยุติธรรมเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนและยากมากต่อการลงรายละเอียดสำนวน ผมเกือบไปแล้วจริงๆ กับเท้าที่เหยียบเข้าตะรางไปแล้วครึ่งหนึ่ง เส้นแบ่งระหว่างการเป็น “ผู้ต้องหา” กับ “พยาน” นั้น “บางมากๆ” .. ตำรวจทั้งคณะเชื่อใจผมว่าผมอ่านและพูดมันออกมาจากสคริปต์งาน และสคริปต์งานชิ้นนี้ก็ดันมี “รายชื่อ” ของผู้ได้รับรางวัลในค่ำคืนฉลองชัยอีก 44 รายนาม (บางรางวัลนั้นซ้ำคนกันบ้าง) ..ตำรวจชุดคลี่คลายคดียูฟันนี้จึงตัดสินใจร่วมกันที่จะกันผมออกไปเป็น “พยาน” และเป็น “พยานปากสุดท้าย” ของคดีนี้ พลตำรวจโทสุวิระ ทรงเมตตา (เมตตาสมชื่อครับ) ได้แถลงต่อหน้าสื่อมวลชนว่าตำรวจทำงานไปได้ 98% แล้วและผมเป็น 2% สุดท้ายให้ตำรวจทำงานครั้งนี้ได้ 100% เต็ม … ท่านอนุญาตให้ผมกลับบ้านได้ชั่วคราวเพื่อไปดูแลงานเลี้ยงของลูกสาว โดยย้ำว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณ” และผมกลับสู่บก.ปคบ.อีกครั้งในอีก 3 ชม.ถัดมา และได้ให้ความร่วมมือกับตำรวจโดยการตอบทุกคำถามให้เหมาะสมกับความรู้ที่มี ผมได้เห็นเอกสารสำนวนกองโตที่ตำรวจทำมาตลอด 3 เดือน แค่เอกสารคำพูดของผมจากแผ่น DVD ที่ตำรวจต้องถอดออกมาก็หนามากเกินกว่าวิทยานิพนธ์ 1 เล่มแล้ว (เวลาชั่วโมงครึ่ง ผมพูดมันอะไรหนักหนานะ?) คุณตำรวจถามผมว่าผมพูดอย่างไรถึงได้ตั้ง 70,000.- คุณตำรวจท่านนี้จบดร.ด้วย บ่นตัดพ้อแบบขำๆว่า เขาถูกราชการเชิญไปพูดให้ผมชั่วโมงละ 300.-เอง บางทีพูดเสร็จให้แค่ “ปากกา” มาด้ามเดียว! (ฮา) … ผมชี้ชัดคุณตำรวจไปว่า ผมแค่รักษามาตรฐานงานของผม ผมรู้สึกแปลกๆบ้างแหละกับงาน พวกเขาพูดบนเวทีว่าชีวิตลำบากมานานพอมาเจอยูฟันก็ร่ำรวยพรวดๆกอดกันร้องห่มร้องไห้ แถมพูดให้ผมสะดุดกึกอย่าง “เงินคือพ่อของพระเจ้า!!” แต่ผมก็มีมารยาทพอที่จะไม่เดินหันหลังออกมาก่อนจบงานในเมื่อความผิดตรงนั้นมันยังมองไม่ชัด (ชัดอย่างเดียวเลยคือ ‘ไอ้พวกนี้เพี้ยนป่าววะ?’) น้องสตาฟออกาไนซ์ฯทั้งชาย-หญิงถามตอนเดินมาส่งผมที่รถว่า “มันเป็นไปได้จริงๆหรือพี่ที่ได้เงินกันขนาดนี้?” ผมทำได้ดีที่สุดตอนนั้นคือตอบไปว่า “เงินที่เห็นขึ้นพรวดๆในแอปมันคือเลขสมมติ มันคงจะสมมติให้เราคิดไปเองว่าได้แล้วๆ แต่แท้จริงแล้วเรายังไม่ได้เบิกเงินมันออกมาใช้จริงต่างหาก! พี่ว่าถ้ามันจริงอ่ะนะ…ก็คงไม่มีใครต้องลำบากประกอบสัมมาอาชีพแบบสุจริตชนกันหรอกนะ” …สู้ๆครับคนทำงานสุจริตชนทุกคน 🙂

image5