(Advertorial)
Huawei Mate 20 Pro สมาร์ทโฟนตัวท็อปของหัวเว่ยตอนนี้ (ถ้าไม่นับตัวท็อปของท็อปของท็อปอย่าง Porsche Design Huawei Mate 20 RS อ่านะ) มีความสามารถพิเศษหลายอย่างที่สมาร์ทโฟนตัวท็อปของคู่แข่งไม่มี เราจึงเรียบเรียงให้อ่านกันว่าเรื่องอะไรที่หัวเว่ยเจ๋งกว่าบ้าง
กล้องของ Huawei Mate 20 Pro ดีกว่าคู่แข่งแบบไม่ต้องสงสัย
เรื่องกล้องของ Huawei นั้นดีกว่าคู่แข่งชัดเจนมาสักพักแล้วนะครับ โดยเฉพาะการใช้ AI มาแยกซีนการถ่ายภาพเพื่อปรับแต่งภาพให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ แถมยังสามารถใช้ทำ AIS หรือระบบป้องกันภาพสั่นไหวด้วย AI ทำให้ถือกล้อง 4 วินาทีโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพกลางคืนได้ หรือการร่วมงานกับ Leica เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพร่วมกัน ซึ่งใน Huawei Mate 20 Pro ก็มีการปรับปรุงกล้องครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยตัดเลนส์ขาว-ดำที่เราอาจจะใช้น้อยออกไป แล้วเพิ่มเลนส์มุมกว้างเข้าไปแทน ทำให้กล้องหลังของ Mate 20 Pro เป็นเลนส์ Leica 3 ตัว ครอบคลุมการซูม 3 ระยะคือ
- เลนส์มุมกว้าง 0.6 เท่า (16 mm) f/2.2 ความละเอียด 20 MP
- เลนส์ปกติ (27 mm) f/1.8 ความละเอียด 40 MP
- เลนส์ซูม 3 เท่า (80 mm) f/2.4 ความละเอียด 8 MP
ซึ่งความเจ๋งของระบบ 3 กล้องของ Mate 20 อยู่ตรงที่เราสามารถถ่ายภาพมุมกว้างมากๆ ตั้งแต่ 16 mm ไปถึงมุมเทเลอ่อนๆ ที่ 80 mm และสามารถใช้ AI Zoom ขยายภาพได้จนถึง 270 mm และที่น่าสนใจคือ Mate 20 Pro นั้นไม่มีซูมด้วยเลนส์แบบ 2 เท่านะครับ เพราะเราสามารถใช้เลนส์ 40 ล้านพิกเซลมาซูมเป็น 2 เท่าโดยที่ภาพไม่แตกได้อยู่แล้ว (แบบเดียวกับ Huawei P20 Pro) ทำให้เราพก Huawei Mate 20 Pro ตัวเดียวเหมือนถือกล้องที่มีเลนส์ครอบจักรวาลเลย
ตัวอย่างภาพจาก Huawei Mate 20 Pro
- กล้องหน้าของ Huawei Mate 20 Pro
แล้วถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง Galaxy Note 9 ล่ะ
จริงๆ กล้องของ Galaxy Note 9 นั้นถือว่าเป็นกล้องที่ดีตัวหนึ่งเลย โหมดออโต้ทำงานได้ดี งานถ่ายภาพบุคคลก็ทำได้สวยเนียนตา แต่เมื่อเทียบกับกล้องของ Huawei Mate 20 Pro ที่ฟังก์ชั่นของแอปกล้องเยอะกว่า และมี AI ช่วยคิดให้มากกว่า ทำให้ภาพส่วนใหญ่จาก Mate 20 Pro จะชนะไปครับ แล้วเมื่อรวมว่า Mate 20 Pro มีช่วงซูมได้ครอบคลุมกว่า เก็บได้ทั้งภาพกว้างและภาพซูมในตัวเดียว ทำให้การถือ Huawei Mate 20 Pro น่าจะได้ภาพที่ดีกว่าไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน
- ภาพจาก Samsung Galaxy Note 9
- ภาพจาก Huawei Mate 20 Pro
- ภาพมุมกว้างจาก Huawei Mate 20 Pro
- ภาพจาก Galaxy Note 9
- ภาพจาก Huawei Mate 20 Pro
- ภาพจาก Galaxy Note 9
- ภาพจาก Huawei Mate 20 Pro
- ภาพจาก Galaxy Note 9
- ภาพจาก Huawei Mate 20 Pro จะเห็นว่าซูมแล้วให้ภาพชัดกว่า
เรื่องวิดีโอก็เก่ง
เรื่องวิดีโอใน Huawei Mate 20 Pro นั้นเก่งขึ้นมากครับ เราชอบที่มันกันสั่นได้อย่างเยี่ยม เดินถ่ายนี่นิ่มยังกับใส่ Gimbal แถมยังซูมไปมาระหว่างถ่ายได้แบบในวิดีโอของน้อง Anne-Marie ข้างล่างนี้ครับ (ช่วงระหว่างซูมมันจะสั่นๆ หน่อยนะ เพราะเอานิ้วไปแตะจอเปลี่ยนระดับการซูมแรงไปหน่อย 555)
และความสามารถใหม่ของ Mate 20 Series ที่ยังไม่มีในสมาร์ทโฟนตระกูลอื่นคือระบบ AI ที่ได้การประมวลผลจากชิป Kirin 980 นั้นทำให้มันสามารถแยกตัวคนออกจากฉากหลัง และสามารถทำวิดีโอที่มีหน้าชัดหลังเบลอได้ ซึ่งแม้บางคนจะบอกว่ามันยังไม่เนียนนัก แต่ของแบบนี้มันสามารถปรับปรุงได้เรื่อยๆ ผ่านการอัปเดทซอฟต์แวร์ครับ ลองดูวิดีโอนักดนตรีหนุ่มจากอังกฤษตัวนี้ก็ได้ จะเห็นว่าเราเบลอฉากหลัง และสามารถตัดซูมไปมา พร้อมกับการย้อมสีวิดีโอได้ด้วย
ว่าด้วยเรื่องของพลังงาน!
Huawei เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่จริงจังกับเรื่องแบตเตอรี่และการชาร์จมาตั้งแต่ไหนแต่ไรครับ เรื่องระบบพลังงานนี้ถ้าเทียบกับ Apple iPhone คงต้องบอกเลยว่าห่างชั้นกว่ามาก เพราะในขณะที่ Huawei Mate 20 Pro มาพร้อมกับหัวชาร์จแบบ SuperCharge 40 W ชาร์จแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้แบตเตอรี่ 70% ของความจุ 4200 mAh แล้ว แต่ iPhone XS รุ่นล่าสุดที่เพิ่งวางขายในราคาแพงหูฉีก กลับได้หัวชาร์จแบบ 5W ที่ชาร์จช้าที่สุดใน 3 โลก แบบที่โลก Android ส่วนใหญ่เค้าเลิกแถมหัวแบบนี้ไปตั้งนานแล้ว ซึ่งทำให้ iPhone ใช้เวลาชาร์จแบตนานหลายชั่วโมงกว่าจะเต็ม ทั้งๆ ที่ความจุแบตเตอรี่มีแค่ราวครึ่งเดียวของ Huawei Mate 20 Pro เท่านั้น
และหนึ่งในจุดเด่นของ Huawei Mate 20 Pro คือนอกจากมันจะสามารถชาร์จไร้สายได้แล้ว มันยังสามารถแบ่งปันพลังงานจากแบตเตอรี่ความจุสูงของมันเพื่อชาร์จสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับการชาร์จไร้สายได้ด้วย หรือที่เรียกฟังก์ชั่นนี้ว่า Reverse wireless Charging นอกจากแบตจุแล้วยังใจดีชาร์จเครื่องอื่นได้อีก
สารพัดความสามารถสนับสนุนการทำงาน
ใน Huawei Mate 20 Series ยังมีอีกหลายความสามารถที่สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นไม่มีครับ อย่าง PC Mode รุ่นใหม่ที่สามารถทำงานไร้สายได้ ซึ่งไม่ใช่การส่งภาพออกจอแบบไร้สายที่สมาร์ทโฟนทั่วไปทำได้อยู่แล้ว แต่เป็นการทำงานในโหมด PC ที่แอปต่างๆ จะเรียกเป็นหน้าต่างแล้วเรียกใช้งานได้เหมือนคอมพิวเตอร์จริงๆ เลย
Huawei Mate 20 Pro ยังมาพร้อมการสแกนหน้าแบบ 3 มิติ ซึ่งสามารถวัดระยะความลึกของใบหน้าได้ ทำให้การปลดล็อกด้วยใบหน้าทำได้ปลอดภัยกว่าการสแกนใบหน้าด้วยกล้องแบบ 2 มิติอย่างเดิม ซึ่งจุดเด่นของเซนเซอร์สแกน 3 มิติตัวนี้คือหัวเว่ยนำไปต่อยอดเพื่อใช้สแกนวัตถุแบบ 3 มิติได้ เช่นเอาไปสแกนตุ๊กตา แล้วนำมาใช้ในโหมด AR ที่เปลี่ยนตุ๊กตาให้มีชีวิต มาถ่ายร่วมซีนกับคนได้ แต่ต้องรออัปเดทเปิดความสามารถนี้อีกครั้งในช่วงปลายปีนะครับ
ระบบปฏิบัติการ Android นั้นไม่เคยขาดการสแกนนิ้วได้นะครับ แม้ว่าเราจะสามารถใช้ใบหน้าปลดล็อกเครื่องได้อย่างปลอดภัยแล้ว แต่แอปหลายๆ ตัวของ Android ก็ยังไม่รองรับการใช้ใบหน้าเพื่อปลดล็อกการเข้าแอปอยู่ดี (เช่นแอปของธนาคาร) ซึ่ง Android บางตัวที่มีแต่สแกนใบหน้าอย่างเดียว ตัดการสแกนนิ้วออกไป ทำให้การเข้าใช้แอปพวกนี้ต้องป้อนรหัสผ่านเหมือนเดิม แต่สำหรับ Huawei Mate 20 Pro นั้นไม่มีปัญหานี้ เพราะมาพร้อมเซนเซอร์สแกนนิ้วมือบนหน้าจอรุ่นล่าสุดที่อ่านลายนิ้วมือบนหน้าจอได้รวดเร็ว แถมยังดูดีเมื่อใช้งานอีกด้วย
เรื่องของ GPS หัวเว่ยประกาศบนเวทีเลยว่าการใช้ GPS 2 คลื่นควบคู่กันทำให้การระบุตำแหน่งแม่นยำกว่าเดิมมาก ซึ่งเราก็ทดสอบโดยการใช้ Mate 20 นำทางขับรถรอบกรุงเทพ ก็ได้ผลตามนั้นครับ การนำทางทำได้สมูทตลอดเส้นทาง แผนที่ล็อกตำแหน่งได้แม่นยำ ไม่มีการกระเด้งไปตำแหน่งอื่นๆ แม้ขับรถอยู่ใต้ทางด่วนครับ
สรุปเลยแล้วกัน Huawei Mate 20 Pro คือตัวท็อปของหัวเว่ยที่อัดเทคโนโลยีมาเต็ม เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นสมาร์ทโฟนตัวท็อปในหลายๆ ด้าน ทั้งกล้องที่คมชัดแถมได้ช่วงซูมที่กว้างมาก แบตเตอรี่ที่ใหญ่ ชาร์จได้เร็ว แถมชาร์จไร้สายให้เครื่องอื่นได้ เครื่องแรงระดับท็อปของโลก Android กล้องหน้าที่มาพร้อมการสแกน 3 มิติ และเซนเซอร์อ่านลายนิ้วมือใต้หน้าจอ รวมถึงระบบ GPS ที่แม่นยำครับ ใครมองหาสมาร์ทโฟนที่ความสามารถท็อปๆ ดู Huawei Mate 20 Pro ไม่น่าจะผิดหวัง