ในที่สุดก็มาถึงคราวของสื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Facebook ที่ได้ทีประกาศเปิดตัว Libra เงินสกุลดิจิทัลของตัวเองกับเขาบ้าง หลังชาวโลกสังเกตเห็นว่าทาง Facebook นั้นเริ่มให้ความสนใจและเริ่มตั้งทีมพัฒนามาตั้งแต่ปลายปี 2017 ซึ่งเปิดตัวไปสด ๆ หมาด ๆ ทำเอาสื่อทั่วโลกถึงกับสะดุ้ง! โดยเป้าหมายครั้งนี้ของ Mark Zuckerberg คือ การผลักดันเหรียญสกุลนี้ให้เป็น “GlobalCoin” หรือเงินสกุลหลักของโลก เพื่อลดความยุ่งยากในการทำธุรกรรมการเงิน ส่วนใครที่อยากรู้จักกับ Libra เงินสกุลใหม่ของโลกสกุลนี้
นี่คือ 8 ข้อพื้นฐานที่คุณควรรู้ !
- ชื่ออย่างเป็นทางการของโปรเจคเงินดิจิทัลสกุลนี้คือ Libra
- Libra ถูกควบคุมดูแลโดย The Libra Association องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งมีสมาชิกร่วมก่อตั้งเป็น 27 บริษัทชั้นนำมากมาย อาทิเช่น Mastercard, Visa, eBay, Paypal, Spotify, Uber, Lyft, Vodafone, Stripe, Bookling Holding, Facebook, บริษัทบล็อกเชนอย่าง Coinbase, Anchorage รวมทั้งกองทุนร่วมทุน Andreessen Horowitz, Breakthrough Initiatves
- เงินสกุล Libra มีกลไกที่น่าจะถูกจัดอยู่ในหมวดของ Stable Coin หรือเงินที่มีมูลค่าคงที่ ซึ่งถูกค้ำจาก ‘สินทรัพย์อ้างอิงที่มีอยู่จริง‘ในอัตรา 1:1
- สินทรัพย์ที่คาดการณ์ว่า Facebook จะใช้ในการอ้างอิง หรือค้ำประกันมูลค่าของเงินสกุล Libra อาจไม่ใช่เงิน Fiat สกุลใดสกุลหนึ่งเพียงสกุลเดียว เหมือนเหรียญ Stable Coin สกุลอื่นที่ออกมาก่อนหน้า (USDT, GUSD) แต่อาจเป็นการอ้างอิงกับเงินในสกุลหลักตามคอนเซ็ปต์ ‘ตะกร้าเงิน’ (Currency Basket) ที่อาจประกอบด้วยเงินสกุลต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, เยน, ปอนด์, ฟรังก์สวิส, หยวน ฯลฯ ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ FacebookCoin มีเสถียรภาพ น่าเชื่อถือกว่าการอ้างอิงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างทองคำ, น้ำมัน หรือเงิน Fiat สกุลใดสกุลหนึ่ง เพียงสกุลเดียว
- เนื่องจาก FacebookCoin หรือ Libra มีความเป็น Stable Coin ที่มีจุดเด่นในเรื่องความผันผวนต่ำ มีราคาอ้างอิงที่ค่อนข้างคงที่ จึงมีความแตกต่างจาก Bitcoin หรือเงินคริปโตฯ สกุลอื่น ทั้งในเรื่องวัตถุประสงค์ในการสร้าง, มูลค่าที่อิงกับความต้องการของตลาด, วัตถุประสงค์ในการใช้งาน ซึ่งมีความผันผวนสูง เหรียญ Libra หรือ FacebookCoin จึงอาจไม่เหมาะนัก สำหรับการเก็งกำไร แต่อาจเหมาะสม และใช้ได้ดีในวัตถุประสงค์อื่น เช่น การโอนเงินข้ามประเทศ หรือการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มใด ๆ ที่ได้รับการยินยอมจาก Facebook ซึ่งอาจรวมถึงสินค้าและบริการของบริษัทที่เข้าร่วมในเครือข่ายที่ให้การสนับสนุน และผลักดันโปรเจคนี้
- บริษัทที่จะเข้ามาให้การสนับสนุน มีส่วนร่วมในการประมวลผล, ยืนยันธุรกรรม ทำหน้าที่ Nodes (เครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ในการประมวลผล การทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นใน network นั้น ๆ) ของเครือข่ายเงินสกุลนี้ ต้องได้รับการอนุมัติ และจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Facebook เป็นเงิน 10 ล้านดอลลาร์ สำหรับสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และเปิดใช้งานเครือข่าย ซึ่งตามรายงานข่าวพบว่ามีบริษัทชั้นนำจากหลายภาคธุรกิจแสดงความสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เช่น Paypal, Visa, Mastercard, Booking.com, Uber ฯลฯ
- มีการคาดการณ์ว่า กลุ่มผู้ที่จะได้รับ และใช้งาน Libra เป็นกลุ่มแรกก่อนเปิดใช้งานสาธารณะในไตรมาสที่ 1 ของปี 2020 อาจเป็นพนักงานที่อยู่ใน Ecosystem ส่วนต่างๆ ของ Facebook ที่จะได้ Libra ในรูปแบบของเงินค่าตอบแทน เงินเดือน ฯลฯ โดยสามารถเก็บรักษา ใช้จ่าย หรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินท้องถิ่นได้ผ่านตู้ ATM ที่รองรับ รวมถึงสามารถโอน รับ จ่าย ซื้อสินค้า และบริการได้เช่นเดียวกับเงินสกุลดิจิทัลสกุลอื่น และอาจรวมถึงฐานผู้ใช้งานแพลตฟอร์มอื่นของบริษัทอย่าง Instragram, Whatsapp และโดยเฉพาะ Messenger ที่ได้ทดลองออก Crypto Wallet หรือกระเป๋าสำหรับเก็บเงินคริปโตฯ ในชื่อ Lite.im ให้กับผู้ใช้งาน Facebook Messenger ได้ทดลองใช้ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2018)
- Libra มี smartcontract หรือ เหรียญที่มีสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งนักพัฒนาสามารถนำไปเขียนโค้ดต่อยอดพัฒนาเพิ่มเติมได้ และเขียนด้วยภาษา Move ซึ่งเป็นภาษาใหม่ที่ถูกพัฒนามาสำหรับเหรียญ Libra โดยเฉพาะ ทำให้เราสามารถออกเหรียญได้ เหมือน ERC20 เพื่อใช้ในการระดมทุนแบบ ICO และ STO (ที่ผ่านมา Dev หรือนักพัฒนาจะใช้ภาษาอื่นในการเขียนโค้ด เช่น ruby, soladit)
ด้านคณิต ศาตะมาน เคยโพสต์ก่อนมีประกาศจาก Facebook ว่า “การที่ Facebook ออก “เหรียญ” เป็นของตัวเองนี่บอกเลยว่าสะเทือนวงการยิ่งกว่า Bitcoin ซะอีก แม้แต่ Apple ยังมี Ecosystem ไม่แข็งแกร่งเท่านี้” และล่าสุดวันนี้ได้โพสต์ถึงประเด็นนี้อีกครั้งว่า “move นี้แรงมาก อาจจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเรา โดยรัฐบาลกลางได้แต่ทำตาปริบๆ ไปตลอดกาล Facebook Platform นี้ จะสามาถ disrupt service platform ต่างๆ ที่มี ไม่ว่าจะ uber, airbnb ฯลฯ ได้ทั้งหมด ด้วยข้อมูลพฤติกรรมทั้งหมดของผู้คน อยู่ใน Facebook ทำให้มันรู้จักตัวตนของเรา รู้จักนิสัยของเรา รู้ความต้องการของเรา ฯลฯ ได้ดีกว่าเราเองซะอีก 2020 โลกจะเปลี่ยนไปตลอดกาล“
ส่วน Boyd Woraphot ระบุว่า “Calibra น่าจะเป็นเครื่องมือหลักของ Facebook ในการตีตลาด unbanked ในประเทศกำลังพัฒนา หรือตลาดที่คนยังไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารได้ โดยการเสนอวิธีการที่ง่ายและถูกในการโอนเงิน และน่าจะเป็นกระเป๋าเงินที่มีคนใช้มากที่สุดในโลกทันที Libra น่าจะเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่กระทบไปกับทุกส่วนงานแน่ๆ ทุกคนน่าจะต้องปรับตัวกัน และ ไม่เฉพาะกับพวกเรา แต่จะรวมไปถึง Regulators ทุกส่วนงาน เพราะจะต้องคิดวิธรตรวจสอบแบบใหม่ เงินจะไหลผ่านไปยังต่างประเทศแบบปลายนื้วมือกด เกิดกระบวนการแบบใหม่ที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงแบบคาดไม่ถึง รอชมอย่างตื่นเต้น“
เงินสกุลดิจิทัลใหม่ของ Facebook จะเป็นอย่างไรก็ต้องจับตาดูว่าจะได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และจะกลายเป็น GlobalCoin หรือเงินสกุลหลักของโลกได้สมความตั้งใจชายผู้ปฏิวัติวงการสื่อสังคมออนไลน์ ได้หรือไม่ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นบอกเลยว่า เสียงมีสองส่วน คือ เสียงส่วนหนึ่งมองว่าเป็นการยกระดับของ Facebook ในด้าน Digital Payment ขณะที่เสียงอีกส่วนหนึ่งมองว่าเป็นการครองจักรวาลแบบเบ็ดเสร็จของ Mark Zuckerberg
แม้ว่าจะเป็นฝันที่ใหญ่ และดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจที่ดี ที่อยากสร้างโอกาสในการเข้าถึงเงินสกุลใหม่ให้กับคนทั้งโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ Facebook ยังต้องตอบคำถาม และเผชิญข้อท้าทายอีกหลายอย่างจากภาครัฐทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการยอมรับจากผู้สนใจ ผู้ใช้งานจริง และโดยเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain และ Cryptocurrency จำนวนมาก ที่เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็น ‘ในเชิงลบ’ เกี่ยวกับโครงการนี้ ซึ่งจะนำมาสรุปย่อให้อ่าน เพื่อให้เห็นข้อมูลของ Libra ด้านอื่นในโอกาสต่อไป
แหล่งข่าว: ภราดร ไชยวรศิลป์