สำหรับงาน Microsoft Event 2019 ปีนี้ถือว่า up level ไปได้อีกขั้นเลยทีเดียว และไฮไลต์ของงานยังสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดีด้วยการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Surface ได้แก่ หูฟัง Surface Earbuds, แท็บแล็ตจอคู่พับได้ Surface Neo และโทรศัพท์มือถือจอคู่พับได้ Surface Duo ถือเป็นการส่งสัญญานว่า Microsoft จะบุกตลาดโทรศัพท์มือถือ! หลังช่วงที่ผ่านมาได้หันมาพัฒนาเรื่องของ Hardware อย่างเต็มที่ นอกเหนือไปจากการพัฒนา Software ที่เป็นธุรกิจดั้งเดิม
ปีนี้งาน Microsoft Event จัดขึ้นวันที่ 2 ตุลาคม 2019 ที่อาคาร Starrett Lehigh ณ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยงานนี้จะเน้นหนักไปที่เรื่องของ hardware และเนื่องจากทาง Microsoft ต้องการเก็บรายละเอียดข้อมูลทุกอย่างเป็นความลับ ดังนั้น ตั้งแต่ที่ #beartai ทราบข่าวว่าจะต้องเดินทางไปร่วมงานที่นิวยอร์กจนถึงช่วงเวลาก่อนงานเริ่ม จึงไม่ทราบเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ต้องไปรอลุ้นหน้างานอย่างเดียวเท่านั้น และไม่เฉพาะแค่ #beartai แต่ไม่มีสื่อใดเลยที่จะล่วงรู้ข้อมูลของงานครั้งนี้จนกว่างานจะเริ่มต้นขึ้น และในครั้งนี้ #beartai ได้รับเกียรติจากทาง Microsoft เป็นสื่อไทยเจ้าเดียวเท่านั้นที่ได้เดินทางไปร่วมงานอีกด้วย!!
Microsoft Event 2019 ปีนี้ปล่อยของใหม่เพียบ!
ไฮไลต์หลัก ๆ ของปีนี้ คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Surface ได้แก่
1. Surface Pro X
2. Surface Earbuds
3. Surface Duo
4. Surface Neo
ภายในงานได้เปิดให้สื่อทั่วโลกทดลองจับเครื่องจริง ได้แก่ Surface Pro 7, Surface Pro X, Surface Laptop 3 และ Surface Earbuds เป็นสัมผัสแรกก่อนใคร ส่วน Surface Duo และ Surface Neo นั้นมีแค่เครื่องจริงมาตั้งให้ดูแบบห่าง ๆ เท่านั้น
Surface Pro ในรอบนี้ยังคงความเป็นอุปกรณ์แบบ 2 in 1 ที่จับต้องได้อยู่ โดยเน้นไปที่การเปิดตัวฮาร์ดแวร์ตัวใหม่ Surface Pro X และการพัฒนาไส้ในของ Surface Pro 7 มากกว่าการปรับโฉมภายนอกใหม่ ดีไซน์ปีนี้ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ยังรักษาหน้าตาในรูปแบบเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือ “สี” และ “ความแรง” เครื่องจ้า ^^
? Surface Pro 7
Surface Pro 7 เป็น Laptop 2-in-1 รุ่นกลางเมื่อเทียบกับไลน์ของ Surface ทั้งหมด โดยการอัปเดตตัวเครื่องปีนี้ก็เป็นไปตามการคาดการณ์ คือ Microsoft ได้ตัดช่องเสียบ Mini DisplayPort (มีอยู่บน Surface Pro 6) ออกไป และเอา USB-C เข้ามาเพิ่มแทน ขณะที่ USB-A ยังคงมีอยู่บน Surface Pro 7
แบตเตอรี่ใช้งานได้มากกว่า 10.5 ชั่วโมง ตัวเครื่องเบา Ultra-light เพียง 775 กรัม (ไม่รวม Type Cover) และเปลี่ยนชิปมาเป็น 10th Generation Intel Core หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า Intel Gen 10 ซึ่งพอเปลี่ยนชิปแล้วก็ย่อมมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น โดย Microsoft ถึงกับพูดเลยว่า “เร็วกว่ารุ่นเดิมถึง 2 เท่า” และ “เร็วกว่า MacBook Air ถึง 3 เท่า!” ?
? Surface Pro Signature Type Cover
นอกจากนี้ ภายในงานเรายังเหลือบไปเห็นสีคีย์บอร์ด Surface Pro Signature Type Cover สีใหม่ รวมถึงสีปากกา Surface Pen มีสีเก๋ ๆ สวย ๆ ให้เลือกสรร ได้แก่
1. Ice Blue
2. Poppy Red
3. Light Charcoal
ส่วนตัวเครื่องมี 2 สีเหมือนเดิม คือ Black และ Platinum โดยเราสามารถเลือกจับคู่สีให้เข้ากันทั้งปากกา เม้าส์ และคีย์บอร์ด หรือจะเลือกสลับสีอุปกรณ์เสริมไปมาก็ทำได้ อันนี้แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล โดยเม้าส์ยังมีสีอื่น ๆ ให้เลือกอีก 3 สีน่ารัก ๆ ได้แก่ Sage (เขียว), Soft Pink (ชมพู) และ Lilac (ม่วง)
############
? Surface Pro X
Surface Pro X ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ย่อม ๆ ของงานปีนี้ก็ว่าได้ เพราะถือเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Surface Pro ที่บางสุด เบาสุด ทรงพลังสุด แบตเตอรี่ใช้งานนานกว่า 13 ชั่วโมง, ชาร์จแบตฯ ตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว (แบตจากศูนย์ สามารถชาร์จเต็มได้ถึง 80% ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง), มีช่องเสียบ USB-C จำนวน 2 ช่อง โดยจัดเป็น Laptop 2-in-1 ที่หน้าตาไม่ต่างจาก Surface Pro 7 เท่าไร แต่มีความโดดเด่นที่แตกต่างออกไป ได้แก่
- การเชื่อมต่อผ่าน LTE
- ความบาง Ultra-thin ตัวเครื่องหนาเพียง 7.3 mm
- ความเบา ตัวเครื่องหนักเพียง 774 grams (ไม่รวม Type Cover)
- ความแรงจากการใช้ชิปตัวใหม่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านกราฟิก
? Microsoft SQ1
สำหรับตัวชิปที่ใช้ใน Surface Pro X เป็น 3GHZ ARM processor มีชื่อว่า “Microsoft SQ1” ซึ่งได้พัฒนาร่วมกับทาง Qualcomm โดยทาง Microsoft เคลมว่าเป็นชิปที่เร็วที่สุดสำหรับ PC เท่าที่เคยมีมา ว้าวววว!!
? ความเหมือนที่แตกต่าง Surface Pro X vs Surface Pro 7 (หน้าจอ)
หน้าจอของ Surface Pro X มีขนาด 13 นิ้ว ส่วนจอของ Surface Pro 7 อยู่ที่ 12.3″ ต่างกันแค่ 0.7 นิ้ว! หน้าจอเป็น PixelSense Display เหมือนกัน โดยเมื่อเทียบหน้าจอจากภายนอก (exterior) Surface Pro X จะดูเหมือนมีขนาดเท่า ๆ กับ Surface Pro 7 แต่จริง ๆ แล้ว พื้นที่หน้าจอของ Surface Pro X นั้นมีพื้นที่ใหญ่กว่า ด้วยการลดขนาดของขอบจอลงไปประมาณ 33%
? Surface Pro X Signature Keyboard และ Surface Slim Pen
อีกจุดเด่นที่พิเศษมาก ๆ ก็คือตัวคีย์บอร์ด Surface Pro X Signature Keyboard ที่ถูกออกแบบมาให้มีที่วางปากกา Surface Slim Pen ปากกาตัวใหม่ล่าสุดจาก Surface พอใช้เสร็จก็วางตรงถาดที่เป็นหลุม ๆ (dock) ไม่ต้องไปแปะจุ๊บอยู่ข้างเครื่องให้เกะกะ และที่ชอบสุดเลย คือ พอวางปากกาตรง dock ปุ๊ป มันก็จะชาร์จแบตฯ ตัวปากกาให้เลย พูดง่าย ๆ มันก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย (wireless charging) นั่นแหละ
นอกจากตัวปากกา Surface Slim Pen จะมีขาย bundle พร้อมคีย์บอร์ดแล้ว เรายังสามารถซื้อเฉพาะปากกาแยกต่างหากได้ด้วย ซึ่งในกล่องจะแถมที่วางชาร์จปากกา หน้าตาเป็นถาดยาว ๆ วางปากกาได้ (ภายในงานไม่มีตัวโชว์ให้ดู)
############
? Surface Laptop 3
ถัดจากไลน์ Surface Pro มาดูไลน์ Surface Laptop กันบ้าง รอบนี้ปรับในเรื่องของดีไซน์ ความเร็ว ขนาดที่มีให้เลือกเพิ่มขึ้น และผิววัสดุที่ดูหรูหรามากขึ้น
? เปิดตัวรุ่นใหม่ 15 นิ้ว
รอบนี้มีการเพิ่มตัวเลือกขนาดของเครื่องมาอีกหนึ่งไซส์ จากเดิมที่มีแค่รุ่น 13.5″ ปีนี้เพิ่ม Surface Laptop 3 รุ่น 15″ มาให้ด้วย และด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้นของ รุ่น 15″ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการทำงานด้านกราฟิกให้สะดวกมากยิ่งขึ้น
? Metal วัสดุใหม่ล่าสุด
ผิววัสดุของคีย์บอร์ดรอบนี้มีทั้ง Fabric (Alcantara) และ Metal ซึ่งมีสีสวย ๆ ให้เลือกตามนี้
- Surface Laptop 3 รุ่น 13.5″ ตัวคีย์บอร์ดมีวัสดุให้เลือก 2 แบบ คือ Fabric และ Metal โดย Fabric มี 2 สี ได้แก่ Platinum และ Cobalt blue ส่วน Metal มี 3 สี ได้แก่ Platinum, Black และ Sandstone (สีสวยมาก สาว ๆ น่าจะชอบ)
- Surface Laptop 3 รุ่น 15″ ตัวคีย์บอร์ดมีวัสดุให้เลือกเพียงแค่แบบเดียว คือ Metal และมี 2 สี ได้แก่ Paltinum และ Black เท่านั้น (ไม่มี Sandstone)
? AMD Ryzen Surface Edition
Surface Laptop 3 รุ่น 15” ใช้ชิปตัวใหม่ คือ “AMD Ryzen Surface Edition” โดย Microsoft เคลมว่า ประสิทธิภาพการทำงานด้านกราฟิกนั้นเร็วที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับ Laptop รุ่นอื่น ๆ ในคลาสเดียวกัน ขณะที่ Surface Laptop 3 รุ่น 13” จะเป็นการอัปเดตมาเป็น Intel Gen 10โดยมีการเคลมเช่นกันว่า Surface Laptop 3 รุ่น 13” นี้สามารถทำงานได้เร็วกว่าแมคบุ๊กแอร์ 3 เท่า
นอกจาก 3 หัวข้อใหญ่ข้างบนแล้ว Surface Laptop 3 ยังมีการพัฒนาเรื่องอื่น ๆ ด้วย ได้แก่
- เพิ่มช่อง USB-C
- ปุ่มคีย์บอร์ดหนาแค่ 1.3 mm
- ขยาย Track pad ใหญ่ขึ้น 20%
- ชาร์จเครื่องได้เร็วถึง 80% ภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง
- แบตเตอรี่สามารถใช้ได้ทั้งวันมากกว่า 11.5 ชั่วโมงทั้งสองรุ่น
- มีฟีเจอร์ Instant On ที่สามารถใช้งานได้ทันทีตอนเปิดฝาเครื่อง ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
- กล้องหน้า ลำโพง และไมค์ (Studio Mics) พัฒนาดีขึ้น เสียงใสขึ้น ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่นเวลาที่เราต้องประชุมแบบ Conference Call ฟังเพลง หรือ ดูหนัง
############
มาถึงตรงนี้ก็ได้เวลาของไฮไลต์สำคัญของงานที่ทุกคนฮือฮามาก ๆ นั่นก็คือการเปิดตัว hardware ใหม่ประเภทจอคู่ หรือ “Dual-Screen” ได้แก่ Surface Neo และ Surface Duo ซึ่งจะมาในช่วงปลายปี 2020 (รออีกปีเลยนะ) ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ข่าวอยู่เรื่อย ๆ ว่า Microsoft กำลังพัฒนา Dual-Screen จอคู่ มี codename ว่า “Centaurus” และได้ใช้เวลาพัฒนามากกว่า 2 ปี โดย hardware ตัวนี้ตั้งใจดีไซน์มาเป็น hero product ของ Surface เลยทีเดียวล่ะ! โดยภายในงานทาง Microsoft ไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการสัมผัส hardware ใหม่ทั้งสองตัวนี้เลย ได้แต่สัมผัสด้วยสายตาอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ T_T
โดย Panos Panay, Surface Chief แห่ง Microsoft ได้กล่าวว่าระหว่างการชม keynote ว่า “ปัจจุบันเราต้องพกทั้งเครื่อง PCs, แท็บแล็ต และ โทรศัพท์ ติดตัวไปไหนมาไหนด้วย และที่ต้องพกมากมายขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าอุปกรณ์แต่ละตัวตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบางครั้งก็ไม่ค่อยสะดวก ทำให้ “flow” ความลื่นไหลในการทำงานต้องชะงักไป” จาก pain point ตรงนี้ จึงทำให้ทาง Micorsoft รังสรรค์อุปกรณ์แบบ “Dual-Screen” ขึ้นมา โดยรวมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้บนเครื่องเดียว และขนาดต้องเล็กพอที่จะพกไปไหนมาไหนได้ (on-the-go) แต่ไม่จำกัดงานด้าน productivity เพื่อช่วยให้การทำงานของเรา “flow” ตลอดกระบวนการ และยังทำงานได้หลายอย่างในคราวเดียว (Multitasking) เช่น ดู Netflix ไปด้วย เช็คเมล์ไปด้วย ทำงานสลับไปมาได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
? Surface Neo
สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Surface Neo ก็คือมันเป็น Tablet แบบ Dual-Screen จอคู่และพับได้, ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10X, ทำงานพร้อมกันสองจอได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน, ทำงานร่วมกับ Surface Pen, Bluetooth(R) mouse และเชื่อมต่อ Keyboard ได้ด้วย และถ้าเราพับคีย์บอร์ดแนบบนจอข้างหนึ่งแล้ว เรายังสามารถใช้พื้นที่จอที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งทำงานได้อีกครึ่งจอ!! โดยทาง Microsoft เคลมว่าจอของ Surface Neo ถือเป็น LCD ที่บางที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับคลาสเดียวกัน!!
เนื่องจากมันเป็น Dual-Screen มันเลยต้องมีจอ 2 จอ!! (ไม่รู้เลยเนี่ย) โดยทั้งสองจอสามารถพับเข้าหากันได้แบบ 360 องศา (จะพับเอาหลังออก หรือ เอาหน้าออกก็ได้แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าเอาหน้าออก หน้าจอเครื่องอาจจะมีรอบขีดข่วนได้)
############
? Surface Duo
สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Surface Duo เป็นมือถือแบบ Dual-Screen จอคู่พับได้ พกพาสะดวก ถือเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกในกลุ่ม Surface ที่พกพาติดตัวใส่กระเป๋ากางเกงได้ แบบไม่ต้องพึ่งกระเป๋าอีกใบ
- Surface Duo ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นโทรศัพท์มือถือ
- ทำหน้าที่เป็นโทรศัพท์มือถือ (จะเรียกว่ามันคือ Microsoft Phone ก็ได้นะ)
- หน้าจอกว้าง 5.6” ถ้ากางออกมาจะกว้างประมาณ 8.3”
- พับได้แบบ 360 องศา
จากการเปิดตัว Surface Duo ในปีนี้ ถือเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า Microsoft ได้เริ่มต้นเข้าสู่ “ตลาดโทรศัพท์มือถือ” ตามแบรนด์ดังระดับโลกหลาย ๆ เจ้า
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองตัวนี้ ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ของ Microsoft ในการที่จะพัฒนา Surface ให้มีขนาดเล็กลง และมีความเป็นมือถือมากขึ้น ก็ต้องรอลุ้นกันปีหน้า 2020 นะคะว่า อุปกรณ์แบบ dual-screen จาก Microsoft จะมีความสามารถอะไรบ้าง…
############
? Surface Earbuds
ขอปิดท้าย (ซะที) ที่เจ้า Surface Earbuds อุปกรณ์เสริมใหม่ล่าสุดจาก Microsoft ที่เปิดตัวภายในงานปีนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ปล่อย Surface Headphones ออกมา (ส่วนตัวมองว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ ว่าไหม?) สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเจ้า Surface Earbuds ก็คือมันเกิดมาเพื่อแข่งกับ AirPods ของ Apple นิล่ะ แต่แน่นอนว่าฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ก็แตกต่างและที่น่าสนใจไม่เหมือนกัน
- ใส่สบาย Ultra-Comfortable เพราะออกแบบตามสรีระมนุษย์ (Ergonomics) เวลาใส่ให้บิดขึ้นเพื่อความแน่น เวลาขยับศีรษะจะได้ไม่หลุด และยังมี silicone ขนาด S M L สำหรับขนาดหูที่ต่างกัน
- ใช้การสัมผัส (touch) และเสียง (voice control)ในการสั่งการ จะสั่งให้เล่นเพลง โทรศัพท์ ถาม Google Assitant ว่าอากาศเป็นไงก็ยังได้ โดย Gesture ที่ใช้สั่งงาน จำง่าย ไม่ซับซ้อน
- Tap 3 ที เล่นเพลงจาก Spotify จากมือถือ Android
- Tap 2 ที เล่นเพลง หรือ หยุดเพลง
- Swipe ขึ้น-ลง ควบคุมความดังของเสียง
- Swipe ซ้าย-ขวาไว้เปลี่ยนเพลง
- Screen-free สามารถทำงานเชื่อมต่อกับ Office 365 ได้ด้วย ช่วยให้เราสามารถเช็กปฏิทิน Outlook หรือเช็คอีเมลได้เลยไม่ต้องแตะหน้าจอ (Screen-Free) เพียงแค่ใช้เสียงสั่งเท่านั้น หรือจะสั่งเปลี่ยนสไลด์บนโปรแกรม PowerPoint ก็ได้เช่นกัน
- มี Microphone 2 ตัวบนหูฟังแต่ละข้าง
- แบตเตอรี่อึดใช้งานได้ทั้งวัน 24 ชั่วโมง และมีเคสชาร์จหูฟังแบบไร้สายแถมมาให้ด้วย
- มี 2 สีให้เลือก คือ เทา กับ ขาว
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับสัมผัสแรกก่อนใคร (คนเดียวจากไทยแลนด์) ส่วนตัวคิดว่า hardware ใหม่ในกลุ่ม Dual-Screen เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของ Microsoft ที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง เน้นกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่องไม่สะดุด (flow) และทุกอย่างต้อง syn กันเป็นซิมโฟนี !!!แล้วคุณล่ะ คิดว่าปีนี้ Microsoft สามารถ up level ได้มากน้อยแค่ไหน? และคิดว่าในอนาคต Microsoft จะสามารถรุกตลาดโทรศัพท์มือถือได้ทันเจ้าอื่นหรือไม่? แสดงความเห็นกันเข้ามาได้นะคะ ?
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส