ภาคอีสานเป็นอีกภาคของไทยที่มีภูมิประเทศที่น่าท่องเที่ยวสวยงาม ทั้งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ภาคอื่นๆ เพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวของภาคอีสาน EDTguide ขอแนะนำ 10 สถานที่ท่องเที่ยวแดนอีสาน ต้องไปเยือนสักครั้ง
1.ทุ่งดอกกระเจียว
ที่อยู่ : อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ
ทุ่งดอกกระเจียว อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวอยากจะไปเยือน โดยเฉพาะที่ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และ อุทยานแห่งชาติไทรทอง ที่มีดอกกระเจียวสีชมพูสวยงามบานเต็มทุ่ง
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม มีเนื้อที่ประมาณ 70,000 ไร่ จัดตั้งขึ้นเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะโดดเด่นทางด้านธรรมชาติ มีลานหินที่มีรูปลักษณ์แปลก มีทุ่งดอกกระเจียวที่สวยงาม เดิมเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่านายางกลัก มีความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติสูง ประกอบไปด้วย ป่าไม้นานาพันธุ์ มีสัตว์ป่านานาชนิด นกกว่า 56 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 21 ชนิด และสัตว์จำพวกเลื้อยคลาน 10 ชนิด
อุทยานแห่งชาติไทรทอง มีเนื้อที่ 319 ตารางกิโลเมตร หรือ 199,375 ไร่ อยู่ในท้องที่อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอเทพสถิต อำเภอภักดีชุมพล และอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เป็นป่าต้นน้ำลำธารของลำห้วยโปร่งขุนเพชร ลำห้วยเชียงทา ลำห้วยแย้ ลำห้วยยางลำน้ำเจา ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำชี นับเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 76 ของประเทศ
2.ภูกระดึง
ที่อยู่ : อ.ภูกระดึง จ.เลย
ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง ข้อความนี้คงมีความหมายกับใครหลายๆ คนไม่น้อย เพราะนี่หมายถึงความสำเร็จของการก้าวเดินแต่ละก้าวจนได้มาถึงพื้นที่บนสุด ของภูกระดึง ภูกระดึงชื่อนี้มีความหมายว่า ระฆังใหญ่ และถ้ามองจากภาพถ่ายทางอากาศจะเห็นภูรูปหัวใจชัดเจน เสน่ห์ของภูกระดึงอาจอยู่ที่ซำแต่ละซำที่เปรียบเหมือนขั้นบันไดแต่ละขั้น ซึ่งเหล่าผู้พิชิตต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติทั้งป่าสน ต้นเมเปิ้ล เหล่าพรรณไม้นานา น้ำตก วิวทิวทัศน์ที่จุดชมวิวตามผาต่างๆ และส่วนที่ขาดไม่ได้ของเหล่าผู้พิชิตก็คือ การได้ทักทายแสงแรกของสุริยาและบอกลาแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ ท่ามกลางทะเลหมอกกว้างสุดลูกหูลูกตาบนขุนเขารูปหัวใจแห่งนี้ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลยประกอบด้วยภูเขาที่มีธรรมชาติอันสวยสดงดงาม มีเนื้อที่ประมาณ 348.12 ตารางกิโลเมตร หรือ 217,576.25 ไร่
ขอบคุณภาพจาก : บอม ชลบุรี
ขอบคุณภาพจาก : บอม ชลบุรี
ภูกระดึงจะปิดฤดูการท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน -30 กันยายนของทุกปี และเปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 พฤษภาคมของทุกปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทรศัพท์ 0 4287 1333, 0 4287 1458-9
3.ปราสาทหินพนมรุ้ง (อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง)
ที่อยู่ : ต.ตาเป็ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์
ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้ง ตัวปราสาทสร้างด้วยหินสีชมพูและศิลาแลงสูงประมาณ 200เมตร (คำว่า “พนมรุ้ง” เป็นภาษาเขมรแปลว่า “ภูเขาใหญ่”) ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย มีการบูรณะก่อสร้างต่อเนื่องกันมาหลาย สมัย จนในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7แห่งอาณาจักรขอมได้ดัดแปลงเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา เมื่อขอมเสื่อมอำนาจปราสาทเขาพนมรุ้งถูกปล่อยให้รกร้าง ต่อมากรมศิลปากรได้บูรณะขึ้นใหม่ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯได้ทรงเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 21 พค.2531
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (นับแบบไทย) ของทุกปีจะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ คือ แสงอาทิตย์จะทำมุมลอดทะลุประตูทั้ง 15 บานของปราสาทได้อย่างพอดี ชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชน โดยอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-18.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง โทรศัพท์ 0 4478 2715
4.สามพันโบก (แกรนด์แคนยอนเมืองสยาม)
ที่อยู่ : อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี
สามพันโบก (แกรนด์แคนยอนเมืองสยาม) อีกหนึ่งของขวัญจากธรรมชาติ ที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ เพราะที่นี่คือแก่งหินขนาดใหญ่ใต้ลำน้ำโขง ซึ่งช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินนี้จะจมอยู่ใต้น้ำ และถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นแอ่งน้ำน้อยใหญ่ จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง หรือ 3 พันโบก ซึ่งโบกแปลว่าแอ่งเช่นกัน ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืด ในลำน้ำโขงตามธรรมชาติ ขนาดใหญ่ที่สุด เพราะมีระบบนิเวศน์ที่สมดุลย์ แต่เมื่อถึงหน้าแล้ง สามพันโบกจะโผล่พ้นน้ำ เผยให้ผู้คนได้เห็นถึงความงามที่ซ่อนไว้มานานนับหลายเดือน ด้วยรูปร่างที่คล้ายภูเขาหินกลางลำน้ำโขง มีศิลปะจากธรรมชาติ ที่แสดงออกผ่านรูปร่างของแอ่งแต่ละแอ่ง ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจมากค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา โทรศัพท์ 0879601853, 0819760486
5.เชียงคาน
ที่อยู่ : อ.เชียงคาน จ.เลยขอบคุณภาพจาก : คุณนุ บางบ่อ
เมืองเชียงคาน ในปัจจุบันเป็นเมืองโบราณเก่าแก่ในสายตาของนักท่องเที่ยว เป็นชุมชนที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาได้ยาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งเพิ่งจะมีการจัดงานฉลอง 100 ปี เชียงคาน เมืองโบราณ ริมฝั่งโขง ไปเมื่อวันที่ 4-6 ธันวาคม 2552 เพื่อเป็นการอนุรักษ์ความเป็นเอกลักษณ์ให้คงอยู่สืบไป เมืองเชียงคาน เมืองโบราณ บ้านไม้เก่าๆ ร้านกาแฟ มุมหนังสือเล็กๆ เท่านั้น แต่กลับมีนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว เดินเที่ยวกันให้เต็มไปหมด อาจจะด้วยเพราะเมืองเชียงคานนี้เงียบสงบ บรรยากาศดี ด้วยการที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แต่ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ที่ไม่มากจนเกินไปได้อย่างลงตัวในแบบฉบับของเชียงคาน ผู้คนที่เชียงคานก็เป็นมิตร อัธยาศัยดี และการไปเที่ยวที่เชียงคานก็ไม่แพงจนเกินกำลัง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเชียงคานแห่งนี้ ก็จะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น หลายๆ สิ่งที่เชียงคานอาจเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม เชียงคานจะไม่เปลี่ยนแปลงไป ถ้าเราทุกคนยังคงช่วยกันรักษาความเป็นเอกลักษณ์ ดำรงวิถีชีวิตในแบบของเชียงคานสืบไป ความเป็นเชียงคานที่คงความเป็นเอกลักษณ์ได้ยาวนานกว่าร้อยปี ก็จะเป็นเช่นเดิมตลอดไป
>>> รวมที่พักในเชียงคาน ใกล้ที่เที่ยวดูวิวภูทอก <<<
มีอีก 5 สถานที่ท่องเที่ยวแดนอีสาน ต้องไปเยือนสักครั้ง ที่น่าสนใจอีก อ่านต่อได้ที่นี่ ค่ะ
แต่ถ้าจะหาข้อมูล กิน ดื่ม เที่ยว ทั่วไทยแล้วล่ะก็ เชิญเลยค่ะ www.edtguide.com