ล่าสุด Space X สามารถจอดจรวด Super Heavy ที่บินกลับมาบนแขนกลได้ ทำให้จรวดจอดแบบหนีบอยู่บนแท่นเหนือพื้นดินได้!
Mechazilla has caught the Super Heavy booster! pic.twitter.com/6R5YatSVJX
— SpaceX (@SpaceX) October 13, 2024
Joined 22/01/2014
Articles 2513
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา insightist ได้จัดงาน Ai Thailand Conference 2024 ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ที่น่าสนใจมากมาย ...อ่านต่อ
ล่าสุด Space X สามารถจอดจรวด Super Heavy ที่บินกลับมาบนแขนกลได้ ทำให้จรวดจอดแบบหนีบอยู่บนแท่นเหนือพื้นดินได้!
Mechazilla has caught the Super Heavy booster! pic.twitter.com/6R5YatSVJX
— SpaceX (@SpaceX) October 13, 2024
สุธีรพันธุ์ สักรวัตร Chief Customer Officer, SCBX กล่าวภายในงาน Ai Thailand Conference 2024 พูดในหัวข้อ REIMAGINE THE FUTURE OF MARKETING CREATING NEW POSSIBILITIES WITH AI
Synology บริษัทที่ทุกคนรู้จักกันดีในเรื่องโซลูชันจัดเก็บข้อมูลอย่าง NAS เผยว่ามัลแวร์เรียกค่าไถ่หรือ Ransomware กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการโจมตีสูงถึง 22% ...อ่านต่อ
BT เราทดสอบโดยการใช้ iPhone ทั้ง 2 รุ่น มาทดสอบบน 3DMark ชุด Steel Nomad Lite Stress Test ที่ทดสอบการประมวลผลกราฟิกแบบดันสุด ๆ ไปเลย โดยทดสอบในสภาพอากาศเดียวกัน ห้องเดียวกัน เทียบกันตรง ๆ โดย iPhone 15 Pro Max ที่ใช้ชิปเซต Apple A17 Pro นั้นมีอุณหภูมิสูงสุดใน Loop ที่ 20 ที่ 45.4 องศา ในขณะที่ iPhone 16 Pro Max ที่ใช้ชิปเซต Apple A18 Pro นั้น มีอุณหภูมิใน Loop ที่ 20 อยู่ที่ 39.3 องศาเท่านั้น ซึ่งน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญเลย
ที่น่าสนใจในการทดสอบนี้ก็คือ ในระหว่างที่เราทดสอบอยู่นั้น อุณหภูมิของ iPhone 16 Pro Max ในขณะที่ทดสอบอยู่ใน Loop ที่ 10 มีอุณหภูมิที่สูงกว่าใน Loop ที่ 20 อีกเล็กน้อยด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่าอุณหภูมิของตัวเครื่องมีการระบายออกเล็กน้อยระหว่างทดสอบด้วย
ในขณะเดียวกัน เมื่อเราทดสอบ iPhone 16 ธรรมดาในสถานการณ์เดียวกัน กลับพบว่าอุณหภูมิของ iPhone 16 ขึ้นไปสูงสุดที่ 43.4 องศา ซึ่งสูงกว่า iPhone 16 Pro Max เป็นไปได้ว่าเกิดจากการที่ตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กลง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการระบายความร้อนออกระหว่างมี Load งานมาก ๆ ก็เป็นได้
BT beartai ได้สัมภาษณ์คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ประเด็นอุบัติเหตุรถบัสทัศนศึกษา ซึ่งทางสภาองค์กรของผู้บริโภคกำลังผลักดันหลายเรื่องให้ปลอดภัยขึ้น
รูปลักษณ์และสีสันของธงชาติไทยนั้นถูกกำหนดครั้งล่าสุดในวันที่ 30 กันยายน 2560 ซึ่งคณะทำงานได้มีการนำธงชาติไทยจาก 3 แหล่งคือ 1. ธงชาติจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 2. ธงชาติจากพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย และ 3. ธงจากราชนาวี มาพิจารณาเป็นธงอ้างอิงในการวัดค่าสี ซึ่งสุดท้ายสีต้นแบบที่ราชการอ้างอิงชุดนี้มาจากธงของราชนาวี ซึ่งวัดด้วยเครื่อง Colorimetric spectrophotometer โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ
ซึ่งรหัสสีที่ระบุเป็นค่าแนะนำนี้ กำหนดในระบบสี L*a*b* ที่สามารถระบุเนื้อสีที่แท้จริงได้ โดยไม่ต้องระบุตัวแปรอื่นอย่างชนิดกระดาษหรือหมึกเหมือนระบบสี CMYK ที่ค่าสีเดียวกันจะพิมพ์ออกมาคนละสีกันบนกระดาษและหมึกที่ต่างกัน
ระบบสี L*a*b* หรือ CIELAB color space นั้นถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 1976 โดย International Commission on Illumination (ย่อว่า CIE ตามชื่อฝรั่งเศสคือ Commission internationale de l’éclairage) องค์กรกลางด้านแสง, การเรืองแสง, สี, ขอบเขตสีระหว่างประเทศ
โดยระบบสี L*a*b* นั้นพัฒนาขึ้นมาจากการรับรู้แสงสีของมนุษย์ อ้างอิงจากการศึกษาทฤษฎีสีตรงข้าม (Opponent process) และ ทฤษฎีสีสี่หลัก (Unique hues) ที่บอกว่า 4 สีหลักของมนุษย์คือ แดง, เขียว, น้ำเงิน, เหลือง L*a*b* จึงเป็นระบบสีที่สามารถกำหนดค่าของทุกสีที่มนุษย์มองเห็นออกมาได้ ซึ่งขอบเขตสีที่เราเคยได้ยินอย่าง sRGB, DCI-P3 ก็ล้วนเป็นขอบเขตที่แคบกว่าสีที่ L*a*b* ระบุได้
ระบบสีนี้ประกอบด้วย 3 แกนที่สามารถแสดงผลเป็นลูกบอล 3 มิติของสีได้
L* = Luminosity หรือความสว่าง มีค่าตั้งแต่ 0-100
a* = ค่าสีไล่ตั้งแต่เขียวถึงแดง มีค่าตั้งแต่ -128 (สีเขียว) ถึง 128 (สีแดง)
b* = ค่าสีไล่ตั้งแต่น้ำเงินถึงเหลือง มีค่าตั้งแต่ -128 (สีน้ำเงิน) ถึง 128 (สีเหลือง)
เพราะฉะนั้นการระบุสีของธงไตรรงค์ในเอกสารราชการเป็น L*a*b* โดยระบุค่า ∆E* (delta E) หรือความผิดเพี้ยนของสีเอาไว้ด้วย ก็เพื่อถ่ายทอดสีจริง ๆ ของธงไตรรงค์ออกมาได้ ทำให้สามารถนำไปแปลงเป็น RGB หรือ CMYK ที่เหมาะสมกับการใช้ต่าง ๆ ได้ถูกต้องที่สุด
BT beartai ได้เยี่ยมชมการเปิดร้านอย่างเป็นทางการของ Devialet แบรนด์เครื่องเสียงสุดหรูจากฝรั่งเศส ที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม งานนี้น่าสนใจที่แบรนด์เครื่องเสียงระดับ Audiophile ...อ่านต่อ
หลังบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) ประกาศเลื่อนการยุติการให้บริการส่งอาหาร (Food Delivery) ของแอปพลิเคชัน Robinhood ออกไป เนื่องจากบริษัทอยู่ในระหว่างการพิจารณาข้อเสนอเข้าซื้อกิจการทั้งหมดจากผู้ที่สนใจ ทำให้หลายคนสงสัยว่าใครจะมารับช่วงกิจการนี้ จนกระทั่งบริษัท ยิบอินซอย ที่มารับช่วงต่อกิจการฟูดดิลิเวอรี Robinhood ต่อจาก SCBX
ดีลนี้ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และพาร์ทเนอร์ จ่ายทันทีให้บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 400 ล้านบาท และมีส่วนเพิ่มตามผลประกอบการสูงสุดไม่เกิน 1,600 ล้านบาท
โดยมีอีก 3 บริษัทที่เป็นพาร์ทเนอร์ในดีลนี้คือ บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (30%), เอสซีที เรนทอล คาร์ (10%) และล็อกซบิท (10%) โดยยิบอินซอยลงทุน 50%
ยิบอินซอย เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อายุกว่า 100 ปี ที่มีประสบการณ์หลากหลายด้าน ทั้งดิจิทัล ไฮเทคโนโลยี พลังงานการเกษตรและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเคยเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ระดับโลก เช่น น้ำมัน Texaco, รถบรรทุก Isuzu และผลิตภัณฑ์จาก 3M
แม้ Robinhood เคยประสบปัญหาขาดทุนหนัก 4 ปีกว่า 5,000 ล้าน แต่ยิบอินซอยมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากแพลตฟอร์มนี้ เนื่องจากการเข้ามาในธุรกิจฟูดดิลิเวอรีผ่าน Robinhood ถือเป็นการขยายธุรกิจเข้าสู่ภาคบริการโดยตรง (B2C) และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่มีอยู่ และจุดแข็งของ Robinhood ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคมในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยมีการให้บริการส่งฟรีและไม่เก็บค่าบริการจากร้านค้า ทำให้แพลตฟอร์มนี้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
แผนการพัฒนา Robinhood ในอนาคตของยิบอินซอย จะพัฒนา Robinhood ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งลูกค้า ร้านค้า ผู้ส่งอาหาร และเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้า ร้านค้า และผู้ส่งอาหารที่มีอยู่แล้ว เพื่อสร้างระบบนิเวศของธุรกิจฟูดดิลิเวอรีที่แข็งแกร่ง