ปีใหม่นี้ทางแบไต๋ขอมาแนะนำวิธีการเพิ่มเนื้อที่เก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสของคุณอย่างง่าย ๆ ด้วยการล้าง Cache Files ของ Windows ซึ่งวิธีเหล่านี้ท่านสามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด และแทบจะไม่มีผลกระทบตามมาในภายหลังอย่างแน่นอน

สำหรับเรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าครับว่าไฟล์แคช (Cache Files) คืออะไร?

Cache Files คือไฟล์ที่ทาง Windows ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราว ซึ่งมักจะเป็นไฟล์ที่ Download ผ่าน Browser ต่าง ๆ ที่กำลังโหลดค้างไว้อยู่หรือเป็นไฟล์ที่ Windows เรียกจากโปรแกรมต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ของเรา ซึ่งไฟล์เหล่านี้ Windows จะไม่ทำการลบไฟล์เหล่านี้ออกไปเพราะอาจมีการเรียกใช้อีกในอนาคต (ซึ่งหลาย ๆ ครั้งมักจะไม่ถูกเรียกใช้อีกเลย) ทำให้เกิดเป็นขยะตกค้างในระบบจำนวนมหาศาลตั้งแต่ 1GB ไปจนถึง 10+ GB ก็สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ได้การล้างออกไปเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งถ้าคุณใช้ SSD Drive จะรับรู้ถึงความอึดอัดนี้เป็นอย่างดี วันนี้เราจึงมาขอนำเสนอวิธีการล้าง Cache ต่าง ๆ ทั้ง 7 วิธีง่าย ๆ ที่จะมาทำให้ฮาร์ดดิสของคุณโล่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

1. ล้างบาง Cache ทั้งหมดอย่างง่ายผ่าน Disk Cleanup.

เรียกได้ว่าเป็นระบบอันแสนสะดวกสบายของ Windows ตั้งแต่รุ่นต้น ๆ (ยุค Windows XP ก็ยังมี) ที่จะช่วยทำการล้าง Cache Files ของคุณได้แทบจะทั้งหมดในปุ่มเดียว โดยวิธีการเข้าง่าย ๆ ก็เพียงไปที่หน้า My Computer แล้วคลิกขวาที่ Windows (C:) หรือไดรฟ์ที่ลง Windows ของคุณ จากนั้นเลือก Properties เสร็จแล้วเลือกไปที่ Disk Cleanup ที่ปุ่มข้าง ๆ กราฟวงกลมแสดงสถานะของ HDD

2016-01-04_135916

จากนั้นรอซักพักให้ระบบทำการตรวจสอบข้อมูล เมื่อเสร็จจะแสดงผลข้อมูลแคชไฟล์ต่าง ๆ ของระบบไม่ว่าจะเป็น Error Logs ไฟล์ หรือพวกไฟล์ System ที่มีปัญหา รวมไปถึงไฟล์ชั่วคราว ซึ่งเจ้านี่คือ 1 ในปัญหาใหญ่ที่ทำให้ฮาร์ดดิสของเราเต็ม ให้เราทำการติ๊คเลือกสิ่งที่เราต้องการล้างมันออกไป (ถ้าไม่ซีเรียสอะไรก็กดติ๊กล้างทั้งหมดได้เลย)

2016-01-04_140026

เห็นอะไรไหมครับ 8.25 GB นั่นเป็นแค่เพียงไฟล์ชั่วคราวเท่านั้นเอง

เสร็จแล้วให้คุณกด Clean up system files แล้วรอซักพัก (ประมาณ 5 – 30 นาทีตามขนาดไฟล์ที่ต้องลบ) ระบบจะทำการล้าง Cache Files ให้คุณอย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพียงเท่านี้ไดร์ฟที่เก็บ Windows ของคุณก็จะโล่งขึ้นอีกเพียบ ซึ่งคุณสามารถใช้วิธีเดียวกันนี้กับไดร์ฟอื่น ๆ นอกเหนือจากที่เก็บ Windows ได้ แต่จะมองเห็นเพียงแค่ Recycle Bin เท่านั้น

2. ไฟล์แคชสำหรับอัพเดท Windows 10

เรียกได้ว่าใครที่ใช้ Windows 10 ก็น่าจะประสบกับปัญหา HDD ไม่ค่อยจะพอกันเป็นพัก ๆ ซึ่ง 1 ในสาเหตุนั้นคือตัวอัพเดทของ Windows 10 ที่มีเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน ซึ่งเจ้าข้อเสียคือ ระบบมันดันเก็บข้อมูลไฟล์ที่มัน updated เสร็จไปแล้วค้างไว้ในระบบด้วยนั่นเอง ทำให้เจ้า Windows 10 มีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นหลังจากที่คุณอัพเดทตัว Windows 10 เสร็จแล้ว เราจะมาจัดการเจ้าตัวปัญหาออกไปกัน !!

2016-01-04_142258

วิธีจัดการก่อนอื่นให้คุณเข้าไปที่ Command Prompt App หรือพิมพ์ CMD ตรงช่องค้นหาโปรแกรม แล้วให้คุณเลือก Open by Administrator เพื่อเปิดโปรแกรมนี้ในรูปแบบแอดมิน

2016-01-04_142013

หลังจากนั้นให้คุณพิมพ์

net stop wuauserv

ลงไปในช่อง Command เพื่อทำการปิด update ระบบของ Windows 10 ก่อน แล้วอย่าเพิ่งปิด

2016-01-04_142413

หลังจากนั้นให้เข้าไปที่ C:\Windows\SoftwareDistribution\Download แล้วทำการล้างไฟล์ update ทิ้งให้หมด ซึ่งเจ้าไฟล์เหล่านี้อาจจะมีขนาดเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ MB ไปจนถึงไฟล์ขนาดใหญ่กว่า 20 GB ก็เป็นไปได้

2016-01-04_142115

หลังจากนั้นให้คุณเปลี่ยนหน้าจอกลับไปที่หน้า Command Prompt เช่นเดิมแล้วพิมพ์คำสั่ง

net start wuauserv

เพื่อทำการเปิดระบบ update windows 10 ให้กลับมาใช้งานได้ปกติดังเดิม (ไม่แนะนำให้ปิดไปตลอดเพราะจะทำให้ Windows ของคุณเสี่ยงจากการโดน Malware และ Virus มากมายในอนาคตได้) ซึ่งวิธีนี้แนะนำให้ทำนาน ๆ ครั้งหลังจากที่คุณเห็นว่ามี Windows Update ที่มีขนาดใหญ่จนทำให้เนื้อที่ HDD ของคุณไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

3. ไฟล์แคชบน Windows Store

ตั้งแต่ Windows 8 เป็นต้นมา Windows ก็ได้มีการปรับโฉมรูปแบบโปรแกรมต่าง ๆ ให้กลายเป็น Apps มากยิ่งขึ้น โดยการใช้งานผ่าน Windows Store ซึ่งแน่นอนว่า Windows Store ก็มีแคชไฟล์แยกต่างหากเป็นของตัวเองอีกที จึงต้องมีการจัดการล้างออกด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มเนื้อที่บนฮาร์ดดิส รวมไปถึงการจัดการระบบ Windows Store ที่ชอบค้างให้กลับมาปกติดังเดิม

2016-01-04_143715

ซึ่งวิธีทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่เข้าสู่หน้า Run หรือกดปุ่ม Windows + R เพื่อเรียกขึ้นมา แล้วพิมพ์

WSReset.exe

ลงไป ระบบจะทำการเรียก Windows Store ขึ้นมาและให้คุณรอซักพักจนกว่า Windows Store จะบูตเสร็จสมบูรณ์ (ใช้เวลาไม่นานมาก)

2016-01-04_143830

วิธีนี้ไม่เพียงแค่ได้เนื้อที่สำหรับฮาร์ดดิสเพิ่ม แต่ยังสามารถจัดการปัญหาเช่นการเข้าหน้า Windows Store แล้วค้างหรือเปิดไม่ขึ้นได้อีกด้วย

4. แคชไฟล์ Thumbnail

โดยปกติแล้ว Windows มักจะแสดงภาพ Preview ขนาดเล็กของภาพและวิดีโอต่าง ๆ มากมายให้คุณเห็นก่อนที่จะกดเข้าไปเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการจัดการต่าง ๆ ซึ่งเจ้าภาพเล็ก ๆ พวกนี้ที่เรียกกันว่า Thumbnail นั้นทาง Windows ก็จะต้องมีการเก็บข้อมูลบางส่วนเอาไว้ใน Cache Files เช่นเดียวกันกับไฟล์อื่น ๆ ซึ่งแต่ละภาพก็จะมีขนาดเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ KB แต่ถ้ามีหลาย ๆ หมื่นไฟล์หรือหลาย ๆ แสนไฟล์รวมกันจะกินเนื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

ซึ่งวิธีการล้างไฟล์ Thumbnails ก็ง่าย ๆ โดยใช้วิธีเดียวกับข้อ 1 นั่นคือการเข้าไปที่ Disk Cleanup แล้วให้เลื่อนลงมาด้านล่างสุด จะเห็นชื่อที่เขียนว่า Thumbnails แล้วให้คุณจัดการติ๊กถูกไฟล์นั้น ๆ แล้วก็กด Clean up system files เช่นเดิม

2016-01-04_140026

อย่างที่เห็น ไฟล์ Thumbnails ใช้เพียง 25 MB เท่านั้นเอง (เมื่อเทียบกับ Temporary Files ที่กินไป 8.25 GB)

ซึ่งหลังจากทำการล้าง Thumbnails ไปแล้ว เวลาคุณเข้า Folder ต่าง ๆ อาจจะทำให้คุณหงุดหงิดได้ เพราะมันจะต้องโหลดเจ้า Thumbnails ใหม่ทั้งหมดทำให้การเข้าช้าลงในครั้งแรก (แต่จะเร็วเท่าเดิมในครั้งต่อ ๆ ไป) ซึ่งถ้าคุณคิดว่าเนื้อที่ที่ล้างไปได้ไม่คุ้มเสียก็ไม่ต้องล้างมันก็ได้ (เพราะปกติขนาดมันก็ไม่ใหญ่มากอยู่แล้ว)

5. แคชไฟล์ System Restore

1 ในแคชไฟล์ที่มีความสำคัญมาก ๆ สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเจ้า System Restore นี้จะมีการเก็บไฟล์ต่าง ๆ ที่สำคัญเอาไว้ให้ ซึ่งเมื่อคุณใช้เจ้า Windows ไปนาน ๆ บางครั้งจะเกิดเหตการณ์เปิด Windows ไม่ติดหรือ Boot เข้าหน้า Windows ไม่ได้ ซึ่งเจ้า System Restore นี้จะสามารถช่วยให้คุณรอดพ้นจากการต้องมานั่งลง Windows ใหม่ได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าไม่จำเป็น เราก็สามารถปิดและลบข้อมูลเหล่านี้ทิ้งออกไปได้เช่นกัน (เพราะมันกินเนื้อที่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว)

2016-01-04_153404

วิธีเข้าสำหรับ Windows 7, 8 และ 8.1 คือการคลิกขวาที่รูป My Computer (หรือ This PC) เสร็จแล้วให้เลือก Properties ระบบจะเข้าหน้า System ให้ ส่วน Windows 10 สามารถเข้าได้ง่าย ๆ ผ่านทางระบบ Search มุมซ้ายล่างโดยพิมพ์ว่า System เสร็จแล้วเลือก System app ก็จะโผล่ไปที่หน้าเดียวกัน

2016-01-04_153429

หลังจากนั้นให้คุณเลือกไปที่ System Protection

2016-01-04_153336

หลังจากนั้นกดไปที่ Configure… ด้านล่าง

2016-01-04_153343

ถูกใช้เนื้อที่ไปถึง 4.40 GB เลยทีเดียว

หลังจากกดเข้ามาแล้วจะมีตัวเลือกให้คุณคือ ทำการปิดระบบ System Protection ออกไปหรือจะเปิดไว้ แล้วคุณก็สามารถทำการล้าง Restore Points ได้เช่นกันโดยการกดปุ่ม Delete ทางล่างขวา คุณก็จะได้เนื้อที่คืนมามากมาย ซึ่งจะแลกมากับความเสี่ยงกับการที่ถ้า Windows มีปัญหาก็จะไม่มีระบบ Restore ให้คุณกลับไปใช้ได้เหมือนเดิมนั่นเอง (คำเตือน: โปรดใช้วิจารณญาณในการล้างแคชไฟล์อันนี้)

6. แคชไฟล์บนเว็บเบราเซอร์ต่าง ๆ

เรียกได้ว่าเป็นอีก 1 แคชไฟล์ที่มีการกินเนื้อที่มากมายเป็นอันดับต้น ๆ ของฮาร์ดดิส ด้วยความที่เรานั้นมักจะใช้เวลาอยู่กับ เบราเซอร์ต่าง ๆ มากเป็นอันดับ 1 ทั้งการทำงาน, การใช้งาน Social Media ต่าง ๆ รวมไปถึงการท่องเว็บมากมาย ซึ่งการเข้าเว็บแต่ละแห่ง ระบบของเบราเซอร์นั้นจะมีการเก็บข้อมูลของเว็บที่เรียกกันว่า Cookies รวมไปถึงไฟล์ HTML, CSS, Javascript, ภาพและ Video ต่าง ๆ บนเว็บ Streaming หลาย ๆ เจ้า เพื่อที่เวลาคุณกลับมาเว็บนั้น ๆ ระบบก็จะเรียกไฟล์เหล่านี้จากเครื่องออกมาได้เลยโดยไม่ต้องมานั่งโหลดใหม่นั่นเอง แต่เมื่อคุณเข้าไปเรื่อย ๆ โหลดไปมาก ๆ ก็จะมีปัญหาตามมาคือเจ้า Cookies และ Cache files ที่ถูกเก็บมามันมีจำนวนมหาศาลจนกินเนื้อที่ฮาร์ดดิสของคุณ ดังนั้นเราจึงขอแนะนำวิธีการจัดการแคชไฟล์เหล่านี้อย่างง่าย ๆ กับเบราเซอร์ที่คุณคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีครับ

Firefox

เจ้าหมาไฟคู่หูคนใช้อินเทอร์เน็ตมาอย่างยาวนานตั้งแต่ Windows XP ตัวนี้ มีระบบการล้างแคชไฟล์ที่ไม่ยากเย็นเท่าไรนัก เพียงแค่กดที่มุมขวาบนของเบราเซอร์ แล้วเลือก > ตัวเลือก > ความเป็นส่วนตัว > ล้างประวัติท่องเว็บเมื่อเร็ว ๆ นี้ > แล้วกดเลือกล้างข้อมูลได้ตามที่เราต้องการ

Chrome

คู่หูอีกคนของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งบน PC และ Mobile ที่เด่นในด้านความเร็วสูง (และกินแรมสู๊งสูง) มีวิธีล้างแคชไฟล์ที่ง่ายกว่า Firefox พอสมควรคือ กดเข้าไปที่มุมขวาบนของจอ > เครื่องมือเพิ่มเติม > ล้างข้อมูลการท่องเว็บ… แล้วก็เลือกติ๊กตามภาพ ก็จะทำการล้างไฟล์แคชของ Chrome ออกได้แบบหมดจรด โดยไม่กระทบกับ Password ที่เราจำไว้ในเครื่องแต่อย่างใด

 

Internet Explorer

เรียกได้ว่าถ้าคุณไม่มี Internet Explorer คุณก็ไม่สามารถใช้งาน Firefox หรือ Chrome ได้อย่างแน่นอน (ยกเว้นจะให้เพื่อนเอาไฟล์ Install มาให้) ซึ่งเจ้า IE นี้จริง ๆ แล้วมันก็พอจะใช้เล่นเว็บถู ๆ ไถ ๆ ไปได้เช่นกัน (แต่จะช้ากว่าและมีปัญหาเยอะกว่า Firefox กับ Chrome ถ้าเป็นรุ่นเก่า ๆ) ซึ่งวิธีล้างไฟล์แคชมีดังนี้

เข้าไปที่มุมขวาบน (เหมือน Firefox และ Chrome) แล้วเลือกไปที่ Internet Options > ไปที่หัวข้อ Browsing History แล้วเลือก Delete… จากนั้นให้ติ๊คถูกตามภาพ (เป็น Default) แล้วกด Delete ก็เป็นอันสำเร็จ

Microsoft Edge (Internet Explorer สำหรับ Windows 10)

ตัวอัพเกรดของ Internet Explorer ที่มาพร้อมกับความเร็วที่ดีกว่าเดิมและหน้าตาที่ดูหรูหราไฮโซมากกว่าเดิม

ซึ่งวิธีการล้างแคชไฟล์ก็ทำได้ง่ายกว่าเดิมมาก ๆ เพียงแค่กดไปที่ปุ่ม . . . แล้วเลือก Setting > Clear Browsing Data แล้วติ๊คถูกตามภาพแล้วกด Clear เท่านั้นเอง

7. แคชของ DNS

1 ในแคชที่ลึกลับที่สุดของระบบ Windows ที่คุณไม่สามารถล้างได้ด้วยวิธีการปกติทั่วไป ซึ่งเจ้า DNS Cache ตัวนี้จะมีการบันทึกข้อมูลการเชื่อมต่อกับเครือค่ายคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต (ไม่รวมไฟล์ต่าง ๆ บนเบราเซอร์) ผ่าน DNS หรือ Domain Name System นั่นเอง

dnsfig2

ตัวอย่างการเชื่อมต่อ DNS Server

ซึ่งหลังจากที่เชื่อมต่อสำเร็จ ระบบจะทำการเก็บข้อมูลส่วนนี้ไว้ เพื่อเวลาที่เรากลับมาเชื่อมต่ออีกครั้งก็สามารถติดต่อเว็บไซต์นั้น ๆ ได้ทันที ซึ่งถ้าเกิดเว็บนั้นเปลี่ยนแปลง IP Address ไป เจ้าแคชของ DNS ตัวนี้ก็จะกลายเป็นขยะบนเครื่องของเราไปโดยปริยายนั่นเอง ดังนั้นเราจึงมาแนะนำวิธีล้าง DNS Cache ตัวนี้กันอย่างง่าย ๆ ดังนี้

2016-01-04_172027

เข้า Start Menu > พิมพ์ CMD หรือ Command Prompt > เสร็จแล้วพิมพ์คำสั่ง

ipconfig /flushdns

เพียงเท่านี้ระบบก็จะทำการล้าง DNS Cache ออกไปอย่างง่ายดาย ซึ่งวิธีนี้เป็น 1 ในวิธีแก้เวลาเราไม่สามารถใช้งาน Internet ได้อีกด้วยถ้าปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตนี้ไม่ได้เกิดจากฝั่งผู้ให้บริการ

ครบแล้วนะครับกับวิธีการเพิ่มเนื้อที่ของฮาร์ดดิสอย่างง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องลบโปรแกรมทิ้ง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุณทำทั้งหมดแล้วยังพบกว่าเนื้อที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน วิธีสุดท้ายยังไงก็คงต้องเป็นการลบโปรแกรม / เกม ที่ไม่ได้ใช้งานทิ้ง รวมไปถึงการย้ายข้อมูลต่าง ๆ เช่นภาพยนตร์, คลิป, เพลง หรือภาพต่าง ๆ ออกไปเก็บไว้ External Harddisk นั่นเองครับ (ซึ่งเจ้าวิธีสุดท้ายนี่เสียเงินแน่นอน…)

ที่มา: makeuseof