วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) และ ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) สองนักลงทุนระดับมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานและรองประธาน (ตามลำดับ) ของบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ได้กล่าวถึงบิตคอยน์และอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างน่าสนใจ ภายในงานประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทเมื่อวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2022 ที่ผ่านมา
บัฟเฟตต์ได้กล่าวว่า “ถ้าคุณบอกกับผมว่าคุณเป็นเจ้าของบิตคอยน์ทั้งหมดในโลกพร้อมเสนอขายให้ผมในราคา 25 เหรียญ (ประมาณ 850 บาท) ผมก็ไม่รับข้อเสนอหรอก ผมจะเอามันไปทำอะไร”
เขาได้ย้ำถึงมุมมองที่ว่า บิตคอยน์นั้นไม่ได้มีค่าอะไร เพราะมันมิได้สร้างผลิตผลอะไรเลย และเขาสนใจจะซื้อที่ดินทำเกษตรหรืออะพาร์ตเมนต์ในบางประเทศมากกว่า
บัฟเฟตต์กล่าวเสริมโดยเปรียบเทียบบิตคอยน์ว่าเป็นเหมือนกับบริษัทประกันที่อ้างว่าตนเองเป็นเทคโนโลยีที่น่าอัศจรรย์
ทางด้านมังเกอร์ที่ได้ร่วมงานกับบัฟเฟตต์มาอย่างยาวนาน ได้กล่าวถึงมุมมองของเขาต่อคริปโทเคอร์เรนซีอย่างรุนแรงว่า “ในชีวิตผม ผมพยายามหลีกเลี่ยงการทำอะไรที่งี่เง่า, ชั่วร้าย และทำให้ผมดูโง่เมื่อต้องถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งบิตคอยน์นั้นมีคุณสมบัติครบทั้ง 3 อย่างที่ผมกล่าวไป”
มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้นี้ได้อธิบายว่า การถือครองบิตคอยน์นั้นเป็นสิ่งที่ “งี่เง่า” เพราะเขาคาดการณ์ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่มีค่าอะไรเลย
สำหรับการที่เขากล่าวว่าบิตคอยน์นั้น “ชั่วร้าย” ก็เพราะว่าบิตคอยน์เป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคงทางการเงินของสหรัฐฯ และที่เขากว่าการถือครองบิตคอยน์นั้นทำให้สหรัฐฯ นั้น “ดูโง่” เพราะประเทศจีนนั้นฉลาดกว่าที่สั่งแบนการทำธุรกรรมที่เกี่ียวข้องบิตคอยน์ในประเทศ
ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์ได้กล่าวด้อยค่าบิตคอยน์ว่าเป็ฯเหมือนยาเบื่อหนูที่มีฤทธิ์แรงเป็นสองเท่า และอธิบายว่าเป็นภาพลวงที่ไร้ค่า ในขณะที่มังเกอร์ได้กล่าวเปรียบเทียบคริปโทเคอร์เรนซีว่าเป็นกามโรค และเรียกร้องให้สหรัฐฯ แบนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโท พร้อมทั้งกล่าวอ้างว่ามีการเก็งกำไรอย่างมหาศาลจนทำให้คริปโทมีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส