เมื่อพูดถึงงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 แน่นอนว่าสิ่งที่ทั่วโลกต่างจับจ้อง ได้กลายเป็นเหตุการณ์ระหว่าง ‘คริส ร็อก กับ วิลล์ สมิธ’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องราวของทั้งคู่ก็สร้างความรุนแรงชนิดกลบรางวัลอื่นซะแทบมิด แต่ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายที่สื่อใหญ่ต่างให้พื้นที่นี้ เจสสิกา แชสเทน (Jessica Chastain) ก็คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปครองได้สำเร็จ
แม้ว่าเราจะเห็นว่าแชสเทนจะได้รับออสการ์จากการรับบทใน ‘The Eyes of Tammy Faye’ แต่เธอก็ไม่ได้เพิ่งมาจับบทนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหรอกนะ เพราะความจริง แต่แท้จริงแล้วแชสเทนใช้เวลาปลุกปั้นเรื่องนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว
แชสเทนเป็นนักแสดงที่มักจะได้รับบทบาทหญิงแกร่งอยู่เสมอ ซึ่งเธอได้เข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 2 จากเรื่องจากบทหญิงแกร่งใน ‘Zero Dark Thirty’กับบทสายลับ CIA สาวสุดฉลาด ต่อมาก็ในเรื่อง ‘Interstellar’ ที่เธอต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ต้องมารับหน้าที่แทนพ่อ ซึ่งเดิมทีบทนี้เขียนขึ้นสำหรับผู้ชายด้วยนะ แต่เธอก็สามารถครองบทนี้ไปได้สำเร็จ ยังรวมไปถึงเรื่อง ‘The Martian’ กับบทกัปตันยานอวกาศที่ต้องตัดสินใจเพื่อรักษาชีวิตของลูกเรือ
เมื่อสังเกตดูดี ๆ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าการที่เธอได้รับบทบาทตัวละครที่เป็นที่เป็นการแสดงออกถึงความเป็นหญิงแกร่งไม่ใช่เพราะบทที่เธอเลือกรับ แต่เพราะตัวเธอนั้นก็สามารถทำได้ทุกอย่างและเสาะแสวงหาบทบาทอันท้าทายอยู่ตลอดเวลา
ย้อนกลับไปในปี 2012 ในระหว่างที่เธอกำลังทัวร์โปรโมทภาพยนตร์เรื่อง ‘Zero Dark Thirty’ อยู่นั้น แชสเทนได้บังเอิญดูสารคดี ‘Eyes of Tammy Faye’ ในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่เธอก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดกับเรื่องราวของ ‘แทมมี เฟย์ เมสซ์เนอร์ (Tammy Faye Messner)’ ซึ่งมันทำให้เธอทึ่งจนรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องราวนี้ เพราะสารคดีเรื่องนี้ได้แปรเปลี่ยนความคิดของไปตลอดกาล
หลังจากนั้นแชสเทนก็รู้สึกว่าตัวเองต้องการผลักดันเรื่องราวของ ‘แทมมี เฟย์’ ออกมา เธอจึงติดต่อเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์ ‘Eyes of Tammy Faye’ มาทำเป็นภาพยนตร์ จากนั้นแชสเทนก็ได้ร่วมพิชชิงงานเพื่อผลักดันเรื่องราวนี้ให้มาเป็นภาพยนตร์ร่วมกับเหล่าผู้บริหารของฝั่ง ‘Searchlight’ ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วตั้งแต่ขั้นแรกเริ่มตั้งแต่ตอนซื้อลิขสิทธิ์ ปลุกปั้นบท จนไปถึงการพิชชิงก็กินเวลาอยู่หลายปีเลยทีเดียว
แชสเทนยอมรับว่างานต่าง ๆ ที่ผ่านมาของเธอทั้ง Miss Sloane, The Disappearance of Eleanor Rigby, Ava, The Zookeeper’s Wife ไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ของเธอทั้งหมด แต่กับเรื่อง ‘The Eyes of Tammy Faye’ นั้นต่างกัน นั่นเพราะเป็นโปรเจกต์ที่เธอปลุกปั้นทำให้เธอต้องทุ่มกับงานนี้มากขึ้น เธอจึงดึงทีมงานระดับพระกาฬมาร่วมงานนี้ด้วยไล่ตั้งแต่ ‘ราเชล เชน (Rachel Shane)’ โปรดิวเซอร์จากเรื่อง ‘Lawless’ ต่อมาก็มือเขียนบทอย่าง แอบบ์ ซิลเวีย (Abe Sylvia) และผู้กำกับ ไมเคิล โชวอลเตอร์ (Michael Showalter) จาก The Big Sick ให้มารวมตัวกันภายใต้บริษัทที่ชื่อว่า Freckle Films ของเธอ เพื่อมาทำภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ
แม้ว่าการได้ทีมงานที่หมายมั่นปั้นมือมาอยู่ด้วยจะดูสวยหรู แต่การรับบทเป็น ‘แทมมี เฟย์’ ก็ไม่เคยง่ายสำหรับเธอ เพราะเรื่องนี้เป็นโปรเจกต์ที่แชสเทนลงทุนลงแรงอย่างมากมาย เธอลงลึกเข้าสู่การเป็นแทมมี เฟย์ ทั้งเปลี่ยนสไตล์การแต่งหน้าและแต่งตัว ยอมนั่งเมคอัพเป็นเวลาหลายชั่วโมง เลียนแบบสำเนียงการออกเสียง รวมไปถึงการร้องเพลง ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องออกมาอย่างพอดีที่จะไม่ทำให้ ‘แทมมี เฟย์’ นั้นกลายเป็นตัวตลก
โดยความวิตกกังวลนี้ได้ทำให้เธอเกิดสั่นกลัวตั้งแต่วันแรกที่เปิดกล้อง และเอาจริง ๆ ตั้งแต่เธอถ่ายหนังมา นี่คือครั้งแรกที่เธอมีอาการสั่นเพราะวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ในที่สุดแชสเทนก็ต้องก้าวผ่านมัน ด้วยการดิ่งลึกเข้าไปสู่ความเป็นแทมมี เฟย์ให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การทุ่มเทครั้งนี้ของเธอก็ผลิดอกออกผล เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เธอสลัดภาพจำเก่า ๆ ได้สำเร็จ ด้วยการดำดิ่งเข้าสู่การเป็นแทมมี เฟย์ ก็ส่งให้เธอได้ออสการ์ครั้งแรกในชีวิตมาครอง ซึ่งนี่ก็เป็นรางวัลที่ทรงคุณค่าที่สมกับการที่เธอคอยปลุกปั้น ‘The Eyes of Tammy Faye’ มาตลอดสิบปี