หากพูดถึงริฟฟ์กีตาร์ที่โจษจันไปทั่วโลกแล้วนั้น ริฟฟ์ในท่อนอินโทรของ “Sweet Child O’ Mine” ถือเป็นอีกหนึ่งสุ้มเสียงที่อยู่คู่กับวงการดนตรีโลกมาอย่างยาวนาน ไม่น่าเชื่อว่าเสียงกีตาร์อันแตกซ่านที่ถ่ายทอดผ่านตัวโน้ตเพียงไม่กี่ตัว จะสามารถสะท้อนพลังของดนตรีร็อกได้ออกมาแยบยลคมคายถึงเพียงนี้
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า Guns N’ Roses คงต้องใช้เวลาเป็นแรมปีแน่ ๆ กว่าจะผสมผสานเนื้อหาหวาน ๆ ให้เข้ากับท่วงทำนองอันแข็งกระด้าง จนเพลงออกมาประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ หากใครกำลังคิดถึงคำตอบในทำนองแบบนั้นอยู่ ผมอาจจะต้องขอบอกเลยว่า “ผิด!” เพราะความจริงเบื้องหลังของเพลงนี้ มันเกิดขึ้นมาจากเรื่องราวที่แสนจะธรรมดามาก ๆ
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี 1986 Guns N’ Roses เริ่มฉายแววจะกลายเป็นหนึ่งในวงร็อกที่โด่งดังที่สุดในลอสแองเจลิส ตอนนั้นพวกเขามักจะสุมหัวรวมตัวกันทำเพลงอยู่ที่คอนโดในฮอลลีวูดที่ชื่อ ‘The Hellhouse’ ที่ซึ่งเปรียบได้กับจุดเริ่มต้นของวงอย่างแท้จริง สแลช (Slash) มือกีตาร์ของวงเคยพูดถึงที่นั่นว่า “มันเป็นสถานที่ที่ไอเดียหลาย ๆ อย่างของวงปะทุขึ้น”
หลัง Guns N’ Roses ตระเวนออกทัวร์ทั่วแอลเอไม่นาน ในเดือนมีนาคม ปี 1986 ค่ายใหญ่อย่างเกฟเฟนก็ตัดสินใจจับพวกเขาเซ็นสัญญา โดยย้อนกลับไปตอนนั้นสิ่งแรกที่ค่ายเข้ามาจัดการวงในทันที ไม่ใช่แนวเพลงหรือภาพลักษณ์ของวง แต่เป็นการสั่งให้พวกเขาย้ายออกจาก The Hellhouse ไปอยู่บ้านในย่านกริฟฟิธ พาร์กที่ไร้ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ หรือข่าวของเครื่องใช้ใด ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้วงมุ่งเน้นไปที่การเขียนเพลงและการซ้อมสำหรับทำอัลบั้มเปิดตัว แทนที่จะใช้เวลาหมดไปกับการกินเหล้าเมายาอยู่ที่แหล่งมั่วสุมเดิม ๆ
และแล้วในฤดูร้อนปี 1986 ความพยายามของค่ายก็สำเร็จผลหลัง Guns N’ Roses ได้ก่อกำเนิดเพลงที่ชื่อว่า “Sweet Child O’ Mine” ขึ้นมา
สแลชเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเพลงนี้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นตอนที่เขากำลังนั่งวอร์มนิ้วเล่นกีตาร์อยู่ และจู่ ๆ แอ็กเซิล โรส (Axl Rose) นักร้องนำที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ก็เกิดชอบสิ่งที่เขากำลังเล่น
“ตอนนั้นผมกำลังนั่งวอร์มนิ้วเล่นกีตาร์ ผมก็เล่นไปเรื่อย ๆ ตามประสา แต่อยู่ ๆ แอ็กเซิลที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ก็เกิดชอบ เขาถึงขั้นพูดเลยว่า ‘เดี๋ยว ๆ ถือสายรอแป๊บ เห้ยเมื้อกี้เล่นไรไปอะ มันเยี่ยมเลยนะนั่น’ และหลังจากนั้นภายในหนึ่งชั่วโมง แบบฝึกหัดการวอร์มนิ้วกีตาร์ของผมก็กลายเป็นเรื่องอื่นไปเลย”
สแลชเล่าต่อว่าริฟฟ์ระดับตำนานนี้ เขาใช้เวลาคิดเบ็ดเสร็จประมาณ 5 นาทีเท่านั้น แม้จะใช้เวลาคิดริฟฟ์ไม่นาน แต่สแลชก็ยอมรับว่ากว่า “Sweet Child O’ Mine” จะก่อร่างสร้างขึ้นมาเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบนี้ิ ก็เล่นเอาเขากับเพื่อน ๆ หัวหมุนอยู่เหมือนกัน
“การเขียนและการซ้อมเพลงนี้ เพื่อให้ออกมาเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบมันยากมาก ๆ เลยนะ ตอนแรกมันเหมือนเพลงบัลลาดไงไม่รู้”
เนื้อหาของเพลง แอ็กเซิล โรสตั้งใจเขียนเพลงนี้ให้กับแฟนสาวของเขาในตอนนั้นอย่าง เอริน เอเวอร์ลี (Erin Everly) ลูกสาวคนโตของอดีตป๊อปไอคอนยุค 60s อย่าง ดอน เอเวอร์ลี (Don Everly) โดยโรสเล่าว่า ทีแรกเขาลองนำบทกลอนที่เขียนให้กับเอเวอร์ลี มาลองยัดใส่ในเพลงเลย เพราะอยากให้เนื้อหาออกแนวตกหลุมรักหน่อย ๆ นอกจากนี้โรสยังเล่าว่า การกลับไปหาเพลงของ Lynyrd Skynyrd มาฟัง ถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถเขียนเพลงนี้ออกมาได้
“ผมเคยเขียนบทกวีนี้ไว้ และ ณ จุดหนึ่งผมก็นำมันไปเก็บไว้บนหิ้ง พอตอนที่สแลชกับอิซซี สตราดลิน (Izzy Stradlin) กำลังเริ่มทำเพลงนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นบทกวีนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง
“ผมมาจากอินเดียน่า ที่ซึ่ง Lynyrd Skynyrd ถูกมองว่าเป็นพระเจ้าเลย พวกเขาดังจนผมถึงขั้น สบถว่า ‘แม่งกูเกลียดวงดนตรีบ้า ๆ พวกนี้จริง ๆ! แต่ตอนที่เขียนเพลง Sweet Child O’ Mine ผมต้องออกไปซื้อเทปเก่า ๆ ของ Lynyrd Skynyrd มาฟัง เพราะผมอยากจะเขียนเพลงให้สื่อออกมาถึงความรู้สึกที่จริงใจแบบนั้น”
แน่นอนว่าด้วยเนื้อหาที่ดูหวานแหววของโรส ออกแนวจะขัดแย้งกับอุดมคติความเป็นวงร็อกที่พวกเขาคาดหวังไว้ไม่น้อย ถึงขนาดดัฟฟ์ แมกคาแกน (Duff McKagan) มือเบสของวงออกอาการกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะทำเพลงนี้ต่อ
“มันดูตลกอ่ะ ตอนนั้นเราก็เริ่มคิดกันว่า นี่มันเพลงอะไรเนี่ย ที่ทำอยู่มันจะต้องสูญเปล่าแน่ ๆ” แมกคาแกนเล่าย้อนความหลัง
และแล้วในเดือนสิงหาคม ปี 1986 Guns N’ Roses ก็เข้าห้องอัดบันทึกเสียงอัลบั้มเดบิวต์อย่าง ‘Appetite For Destruction’ และได้โปรดิวเซอร์มือเก๋าอย่าง ไมก์ คลิงก์ (Mike Clink) ที่เคยปั้นเพลง “Eye Of The Tiger” ของ Survivor จนโด่งดัง มารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้มชุดนี้
ก่อนหน้านั้น Guns N’ Roses มีชื่อเสียงในฐานะวงขี้เมาทั้งเหล้า ทั้งยาเสพติด ซึ่งในวันที่ต้องเริ่มทำงานอย่างจริงจัง คลิงก์ก็ได้ตั้งกฎเหล็กกับวงขึ้นมาว่า ‘ห้ามใครเล่นยาในห้องอัดเด็ดขาด’
“ผมไปที่บ้านของพวกเขา และบ้านดูเหมือนบ้านที่เตรียมจะสร้างใหม่อะ พวกเขาทุบกำแพงทิ้งหมดเลย” คลิงก์เล่าย้อนถึงความระห่ำของวง
สแลชเองก็พูดถึงความเฮี้ยบของคลิงก์ว่า “เขาดูแลพวกเราให้อยู่ในสายตาเลย ตอนนั้นเราปาร์ตี้กันหนักมาก แต่เมื่อเราอยู่ในสตูดิโอ เราค่อนข้างจะทำอะไรกันจริงจังทีเดียว ไม่มีใครแตะต้องเหล้าหรือบุหรี่เลย”
หลังจากนั้น Guns N’ Roses ก็ลงมือทำงานในอัลบั้มนี้ด้วยความตั้งใจ ซึ่งเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มใช้เวลาบันทึกเสียงด้วยเวลาเพียงไม่กี่เทกเท่านั้น
“Sweet Child O’ Mine เป็นเพลงที่อัดง่ายนะ แต่ยกเว้นช่วงอินโทรกีตาร์ ตอนนั้นผมใช้เวลาตลอดบ่ายเลย และมาเล่นถูกที่ตอนที่เสียงกลองเริ่มเข้ามา” สแลชเล่า
หลังบันทึกเสียงเสร็จสิ้น คลิงก์ออกมายอมรับว่า ตอนนั้นเขามั่นใจมาก ๆ ว่าเพลงนี้จะทำให้ Guns N’ Roses กลายเป็นวงดนตรีที่พิเศษมาก ๆ “เพลงนี้มันทำให้ขนบนแขนของผมลุกเลย มันเหมือนกับเวทมนตร์จริง ๆ“ คลิงก์เล่า
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ตัวอัลบั้มถูกส่งไปมิกซ์โดย สตีฟ ทอมป์สัน (Steve Thompson) และไมเคิล บาร์บิเอโร (Michael Barbiero) ซึ่งเคยร่วมงานกับวิตนีย์ ฮิวสตัน (Whitney Houston) และ Simply Red มาก่อน
“Sweet Child O’ Mine” ถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลที่ 3 ต่อจาก “It’s So Easy” และ “Welcome to the Jungle” ก่อนจะใช้เวลาไม่นานทะยานขึ้นชาร์ตอันดับ 1 บน Billboard’s Hot 100 และทำให้ Guns N’ Roses กลายเป็นวงร็อกแถวหน้าจวบจนถึงทุกวันนี้
ครั้งหนึ่งสแลชเคยออกมาเปิดเผยว่า จากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเพลงนี้ ทำให้มีอยู่ช่วงหนึ่งเขารู้สึกเอียนและเกลียดเพลงของตัวเองเพลงนี้ไปเลย
“ผมเกลียดมันอยู่หลายปีเลย แต่มันทำให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คน กับการเล่นโน้ตโง่ ๆ ที่ทำให้คนคลั่งกันได้ แต่ต้องยอมรับนะว่าสุดท้ายผมก็เริ่มจะชอบมัน”
ปัจจุบัน “Sweet Child O’ Mine” กลายเป็นบทเพลงชั้นครูของศิลปินรุ่นใหม่หลาย ๆ คน และถูกนำมาใช้ประกอบเกมหรือภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง เช่น ‘Thor: Love and Thunder’ นอกจากนี้ ตัวมิวสิกวีดิโอของเพลงก็ยังสร้างปรากฏการณ์เป็น MV ยุค 80s เพลงแรกที่มียอดเข้าชมบนยูทูบมากกว่า 1,000 ล้านครั้ง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส