จากความพยายามและสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง Patrickananda (แพทริคอนันดา) หรือว่า แพทริค – อนันดา ชื่นสมทรง ศิลปินจากค่าย D.U.M.B. Recordings (ดัมบ์ เรคคอร์ดดิงส์) ภายใต้สังกัด Warner Music Thailand ได้กลายหนึ่งในศิลปินหน้าใหม่ที่น่าจับตามองใน พ.ศ. นี้ จากฝีไม้ลายมือการแต่งเพลงเองร้องเองและควบคุมการผลิตอย่างละเอียดอ่อนในทุกขั้นตอนจนออกมาเป็นงานเพลงทะลุล้านวิวมากมายหลายซิงเกิลอาทิ “คนไกล” “จันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์” และ “Lavender”
หลังจากออกอีพี ‘LAVNDR’ มาหมาด ๆ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ ‘แพทริคอนันดา’ ศิลปินหนุ่มพูดน้อยคนนี้ ที่ถ่ายทอดอารมณ์และตัวตนผ่านบทเพลงอันไพเราะชวนเศร้าแต่ก็ชวนเคลิบเคลิ้มไปด้วยในที มารู้จักกับตัวตนและบทเพลงของศิลปินหนุ่มคนนี้ผ่านบทสัมภาษณ์นี้กัน
แพทริคเริ่มสนใจการทำเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่
มันเมื่อประมาณเกือบ 4 ปีที่แล้วเองครับ คือผมมาทำเพลงเองเพราะว่าผมไปประกวดร้องเพลงแล้วก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย แบบว่าไม่เข้ารอบเลย ก็เลยคิดว่ามาทำเพลงเองดีกว่าเพราะว่าผมก็อยากมีเพลงของตัวเองด้วย พอมันประกวดร้องเพลงไม่สำเร็จก็เลยคิดว่าสงสัยต้องทำเองแล้วมั้ง
เริ่มไปประกวดร้องเพลงเมื่อไหร่และตอนนั้นทำไมถึงอยากไปประกวด
ตั้งแต่ตอนอายุ 18 ตอน ม.6 เลยครับตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากจะมีซิงเกิลมีเพลงของตัวเองก็เลยไปประกวด
พอไปหลายที่แล้วไม่เข้ารอบเลยมีท้อบ้างไหม
ก็ท้อนะครับแต่ผมเป็นคนที่แบบสมมติวันนึงเศร้าเสร็จ อีกวันตื่นมาก็จะโอเคและรู้สึกว่าไปต่อได้แล้ว
แล้วเราเริ่มเรียนรู้การร้องเพลงและการทำเพลงจากไหนยังไงบ้าง
ผมเรียนกลองชุดเป็นเครื่องดนตรีแรกครับประมาณ 10 ขวบเรียนอยู่ป. 4 ครับ แล้วพอขึ้นมัธยมก็อยู่วงโยธวาทิตเล่นเพอร์คัสชัน เล่นกลอง เครื่องหลักก็จะเป็นสแนร์ ทิมปานี กลองตัวใหญ่ครับ ตั้งแต่ม.1 ถึงม. 6 เลยครับแล้วก็ได้ไปแข่งระดับประเทศด้วย ส่วนตอนที่จะทำเพลงผมก็ใช้กูเกิลเอาเลยครับว่าต้องใช้ของอะไรบ้างใช้อุปกรณ์อะไรบ้างเช่น อินเตอร์เฟส ลำโพงมอร์นิเตอร์ หูฟัง คีย์บอร์ด แล้วก็ไปซื้อตามแบบที่เราเจอในเน็ตเลยครับ ก็ไปยืมเงินป้าผมมาประมาณ 30,000 บาทแล้วก็ไปซื้อของทั้งหมดนี้ และช่วงนั้นก็ทำ ฟรีแลนซ์อยู่ครับ อยู่กับออแกไนซ์เป็นแบ็กสเตจตามคอนเสิร์ตตามงานดีเจครับ เป็นแบ็กสเตจให้กับศิลปินวงดนตรีต่าง ๆ
ในวันที่แพทริคเป็นแบ็กสเตจเห็นศิลปินกำลังแสดงอยู่ข้างหน้าเวที แล้ววันนี้เราได้มีโอกาสเป็นคนคนนั้นที่อยู่หน้าเวทีบ้างแล้ว พอมองย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นแล้วรู้สึกยังไงบ้าง
ผมยังจำโมเมนต์ตอนนั้นได้อยู่เลยครับ ที่เราได้ดู DJ Snake มาเล่นในงาน H2O แฟนคลับเขาเยอะมากจริง ๆ และคนดูก็ร้องเพลงได้ทุกเพลง ตอนนั้นผมคิดว่าแบบอยากมีสักวันหนึ่งที่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ถ้ามันเป็นไปได้นะครับ พอเรามาถึงจุดที่แบบว่าโอเคเรามีคนติดตามประมาณหนึ่ง มีคนร้องเพลงตามได้แล้วก็แฮปปี้มากเลยครับ
แล้วไปไงมาไงแพทริคถึงได้มาอยู่ในค่าย D.U.M.B. Recordings (ดัมบ์ เรคคอร์ดดิงส์) (ค่ายเพลงในเครือ WARNER MUSIC THAILAND)
ผมก็ทำเพลงอยู่ประมาณปีนึงครับ ทำคนเดียวไม่มีใครไม่มีค่ายอะไร ก็ทำอยู่คนเดียวที่หอครับ แล้วก็ค่อยไล่ส่งเดโม ไล่ส่งอีเมลเดโมไปทุกค่ายเลยในไทย เกือบทุกค่ายจริง ๆ ก็มีแค่ที่เดียวที่ตอบก็คือกับวอร์เนอร์นี่แหละครับ
ตอนนั้นทำไมเขาถึงสนใจเรา
พี่แต๊ป (ผู้บริหารค่าย) เขาบอกว่าเขาชอบเสียงร้องแล้วก็ชอบที่ผมสามารถเขียนเพลงเองได้แต่งเองเพลงได้ ก็เลยลองไปคุย ๆ กันดู แล้วก็พอคุยกันสไตล์เราก็ใกล้เคียงกัน ฟังเพลงสากลเป็นส่วนมากอยู่แล้วก็เลยถูกคอครับ
ในเดโมนั้นมีเพลงอะไรบ้าง
ก็มีเพลง “Polaroid” , “12th” แล้วก็ “คนไกล” ครับ ก็เป็นซิงเกิล 1 – 2 – 3 ที่ปล่อยกับค่ายเลยครับ
ตอนนี้แพทริคก็ปล่อยอีพี ‘LAVNDR’ ออกมาแล้ว เดี๋ยวเราจะมาคุยกันไล่ไปในแต่ละแทร็กเลย เริ่มจากที่ชื่ออัลบั้มก่อนทำไมถึงใช้ชื่อ ‘LAVNDR’ (อ่านว่า ‘ลาเวนเดอร์’)
ถ้าผมจำไม่ผิดชื่ออัลบั้มนี่น่าจะมาก่อนชื่อซิงเกิล “Lavender” ด้วยครับ คือผมอยากให้อัลบั้มนี้มันพูดถึง ประสบการณ์ผมเอง คือปกติผมจะแต่งเพลงจากเรื่องราวของตัวเองอยู่แล้ว อัลบั้มนี้มันเลยพูดถึงความรักของผมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เล่าเรื่องราวเป็นซีเควนส์ตั้งแต่การพบเจอกันของผมกับเขาจนถึงจุดจบในความรักของเรา ผมมองว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่มีจุดเริ่มต้น มีจุดที่ดีที่สุด เบ่งบานที่สุด แล้วก็จุดที่มันค่อย ๆ ร่วงโรยแล้วก็ตายไป มันเลยเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มนี้ครับ ส่วนที่ใช้เป็นลาเวนเดอร์ก็เพราะว่าเป็นดอกไม้ที่ผมชอบที่สุดครับ
ทีนี้เรามาเริ่มที่แทร็กแรก “จันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์ (Everyday)” เพลงนี้มันเป็นมายังไง และเป็นเพลงเดียวด้วยที่อารมณ์มันใส ๆ สว่าง ๆ
ใช่ครับเป็นเพลงเดียวเลยที่อารมณ์ไม่นอยด์ เพลงนี้ก็พูดถึงการพบเจอกันอารมณ์เหมือนเป็นช่วงที่กำลังคุยคุยกับใครสักคนอยู่แล้วก็อยากเจอเขาทุกวันอะไรแบบนี้ ซึ่งที่มาของเพลงนี้มันคือตอนที่ผมคุยกับคน ๆ นึงอยู่แล้วเขาก็บอกว่าอยากเจอผมทุกวันแต่ช่วงนั้นเป็นช่วงล็อกดาวน์อยู่ ทีนี้พอเขาพูดประโยคที่ว่า “อยากเจอเธอทุกวัน” ผมก็เลยแบบรู้สึกว่าประโยคนี้มันมีอะไรบางอย่าง คุย ๆ อยู่ก็บอกเขาว่าเดี๋ยวมาขอไปเขียนเพลงก่อน ก็ได้เป็นท่อน “แค่อยากเจอเจอทุกวัน” ขึ้นมาก่อนแล้วก็ค่อย ๆ ไล่เขียนท่อนฮุกท่อนคอรัสไปครับ
เพลงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากเลยตอนนั้นตกใจไหม
ตกใจครับ ผมยังไม่ค่อยเชื่อเลยแบบรู้สึกแปลกเหมือนกันที่ผมมีเพลงแบบนี้ออกมาเพราะที่ผ่านมาเพลงที่ผมแต่งมันจะเป็นเพลงแบบซึม ๆ หน่อย พอได้มาลองทำสไตล์นี้บ้างก็แปลกดีครับ
คราวนี้มาแทร็กที่ 2 “Oasis”
เพลงนี้ผมแต่งมาจากก้อนโอเอซิสเลยครับ คือผมว่ามันมหัศจรรย์ดีตรงที่แบบเอาดอกไม้มาปักแล้วมันก็สามารถหล่อเลี้ยงให้มันมีชีวิตชีวาได้ ผมเลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจ พอเริ่มมาแต่งแล้วเนื้อหามันก็เลยเกี่ยวกับการที่คน ๆ หนึ่งเป็นเหมือนที่พักใจเป็นที่ชาร์จพลังงานให้อีกคนหนึ่ง เนื้อหามันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับความรักโดยตรงนะผมว่า อาจจะเป็นเรื่องของความใส่ใจกัน เรื่องของการดูแลกันก็ได้ ไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียว แล้วเพลงนี้ผมก็ได้ทำแคมเปญกับ OOCA ที่เป็นองค์กรที่เกี่ยวกับการบำบัดจิต และเราใช้เพลงนี้ทำแคมเปญเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จเหมือนกันครับ เพราะว่าเห็นจากคอมเมนต์จากหลาย ๆ คนที่เป็นซึมเศร้าก็บอกว่าฟังแล้วรู้สึกดีขึ้น รู้สึกสบายใจ รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ด้วย ตัวผมเองถึงไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแต่ผมก็รู้สึกดีใจที่มันเป็นอะไรได้มากกว่าการเอนเตอร์เทน มันสามารถเป็นที่เยียวยาจิตใจคนที่เขาเป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย
เรามาต่อที่แทร็กที่ 3 “ดวงตา (Eyes)” กัน
เรียกว่าเป็นเพลงนึงที่ผมชอบที่สุดเลยตั้งแต่ผมได้มาเป็นศิลปิน ทั้งในพาร์ตดนตรีทั้งในเนื้อเพลงเลย แต่ผมว่าผมชอบเนื้อเพลงที่สุดตั้งแต่ผมเขียนเพลงมา ผมคิดว่าในชีวิตของผมผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้แสดงออก ได้แสดงความรู้สึกหรือความรักกับคนที่รู้สึกดีด้วยเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นกับแฟนเก่าหรือว่ากับพ่อกับแม่ที่บ้านหรือว่าทีมงาน ตัวเพลงนี้คือความรู้สึกของผมที่อยากจะสื่อออกมาให้ทุกคนได้รู้ ได้ขอบคุณทุกคน เพราะผมสื่อสารไม่เก่งครับ ผมรู้สึกว่าดวงตามันเป็นสิ่งที่ในบางเวลาในบางทีเราไม่ต้องพูดอะไรกับใครยิ่งกับคน ๆ นึงที่เขามีความหมายกับเรามาก เรายิ่งไม่ต้องพูดกับเขาเลยแค่เราได้มองตาเขามันก็สื่อสารกันเข้าใจแล้ว
แพทริคเป็นคนที่ปกติไม่ค่อยพูดใช่ไหม แล้วพอต้องมาเป็นศิลปินนี่ต้องปรับตัวเยอะไหม
ใช่เลยครับ ปกติผมแทบจะไม่พูดเลยแบบว่ากับพ่อกับแม่รักเขามากแต่ก็ไม่ค่อยพูดกับเขา ส่วนตอนที่มาเป็นศิลปินเจอคนเยอะแยะก็ต้องปรับตัวครับ ยากเลย แต่ผมว่าที่ยากสุดคือการพูดคุยกับแฟนคลับครับ เพราะโดยธรรมชาติแล้วผมจะเป็นคนที่ไม่คุยกับใครเลยถ้าเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่สนิทกันผมก็แทบจะไม่คุยเลยครับ แต่ผมก็ปรับตัวพอสมควรเลย คือมันต้องทำความเข้าใจว่าเราอยู่ตรงนี้นะไม่ได้เป็นแพทริคที่อยู่บ้านกับพ่อแม่แล้ว มันเป็นมากกว่านั้นมันก็ต้องรับผิดชอบคนที่เขาซัพพอร์ตเราครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วผมว่าผมก็ไม่ค่อยเสิร์ฟแฟนคลับหรือเฟรนด์ลี่กับแฟนคลับมาก แต่ว่าเขาก็ชอบในตัวผมที่เป็นคนพูดไม่เก่งหรืออะไรแบบนี้ ก็รู้สึกขอบคุณนะครับที่เข้าใจตัวตนของผม ผมเห็นศิลปินคนอื่นเขาอาจจะเข้าหาแฟนคลับมากกว่านี้ ผมก็อยากเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็แบบไม่ค่อยพูด พูดไม่เก่ง พูดไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ครับ
แล้วแทร็กที่ 4 “ทางออก (Exit)” มีที่มายังไง
คือผมเห็นป้ายทางออกเป็นประจำอยู่แล้ว เวลาออกจากที่จอดรถ คือเห็นมันบ่อยที่สุดเลย แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับทางออกพวกนี้นะครับ มันแค่ชื่อแค่สิ่งที่บอกว่ามันเป็นทางออก ซึ่งมันมีความน่าสนใจทำให้เราอยากเอาไปเขียนเป็นเพลง ตัวเพลงก็พูดถึงการที่ความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมเหมือนเขาอยากหาทางออกไปจากชีวิตของเรา ก็เป็นอีกเพลงนึงที่แบบปวดช้ำครับ (หัวเราะ)
แล้วเพลงต่อมา “วงกลม (O)” ล่ะครับ
สำหรับเพลง “วงกลม” ตอนนั้นผมแต่งจากอาการปวดหัวของผมเอง คือผมเจอสถานการณ์ที่เหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไงต่อกับความสัมพันธ์นึง ณ ตอนนั้นที่มันวนลูปอยู่ที่เดิมไปไหนไม่ได้เลย แล้วก็เหมือนพอเลิกกันไปแล้วแต่ว่าเราก็ลืมเขาไม่ได้ ก็ยังวนอยู่ในวงกลมให้ลืมก็ลืมไม่ลงตามคำในเพลงนี้เลยครับ
คราวนี้ก็มาถึง “Lavender” แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นเพลงโปรดของใครหลาย ๆ คนเลยทีเดียว
เวลาพูดถึงเพลงนี้ผมจะจี๊ดขึ้นมาทุกทีเลย คือมันแต่งมาจากเรื่องราวของผมกับแฟนเก่าครับ เนื้อหาในเพลง มันคือสิ่งที่เขาพูดกับผม “ก่อนที่จะไปขอร้องเธออีกครั้งได้ไหม” มันคือสิ่งที่เขาพูดกับผม แต่พอผมมาเขียน ผมเขียนเหมือนกับว่าผมเป็นเขา ผมเขียนจากมุมมองเขาเป็นเรื่องราวในวันสุดท้ายที่กำลังจะไปจากกันคำพูดทุกคำที่ถูกเขียนลงไปในเพลงก็คือสิ่งที่เขารอร้องกับผม
พอเราได้ลองมาเป็นเขาแล้วเรารู้สึกยังไงบ้าง
ผมมารู้สึกตัวตอนที่ผมเล่นเอ็มวีเพลงนี้นะผมว่า ตอนนั้นผมไม่มั่นใจกับการแสดงตัวเองขนาดนั้น แต่พอมันออกมาผมรู้สึกว่าแบบเฮ้ยมันดูเจ็บช้ำจริง ๆ แล้วก็นึกถึงความรู้สึกเขาตอนนั้นว่าเขาคงรู้สึกแบบนี้มั้ง มันคงรู้สึกแบบจะเป็นจะตายแบบเหนื่อยมากจริง ๆ
พอมาดูภาพรวมทั้งอัลบั้มและงานเพลงที่แพทริคปล่อยออกมา ดูเหมือนว่าจะชอบแต่งเพลงช้ามากกว่าเพลงเร็วหรือเปล่า
อาจจะด้วยความที่ผมเป็นคนช้า ๆ ด้วยมั้งครับ พอผมฟังบีทเพลงเร็วก็คิดคำไม่ออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมว่าผมชอบเพลงเศร้ามากกว่า คือผมรู้สึกว่าคนเราเวลาแฮปปี้กับเวลาเศร้า สมมติว่าแฮปปี้ที่สุดกับเศร้าที่สุด ผมรู้สึกว่าการเศร้าที่สุดมันถึงใจมากกว่า เวลาที่เราแฮปปี้ที่สุดมันไม่รู้สึกเท่ากับเวลาเราเศร้าที่สุด ผมรู้สึกว่าเวลาเราเศร้านี่ความรู้สึกเศร้ามันอยู่นานกว่า มันรู้สึกลึกกว่าแล้วก็มีอะไรให้พูดถึงมากกว่าด้วยครับ
แพทริคก็ทำเพลงมาร่วม 4 ปีแล้วตอนนี้คิดว่าเราเจอลายเซ็นหรือตัวตนของตัวเองแล้วหรือยัง
คือค่ายผมกับคอมเมนต์ที่ผมไปอ่านเขาคิดว่าผมชัดเจนแล้ว แต่ตัวผมเองไม่ทราบ ผมเองแค่เขียนเพลงแบบที่อยากเขียนทำซาวด์แบบที่ชอบส่วนตัว ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของการร้องเพลงด้วยที่คนเขาบอกกันว่ามันชัดเจน ตัวพี่แต๊ปเองก็บอกว่าผมมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งตัวผมก็ไม่ค่อยได้คิดถึงมันเท่าไหร่อย่างเวลาผมร้องเพลงผมก็ร้องแบบที่ผมถนัด
แสดงว่าแพทริคไม่ได้ดีไซน์อะไรกับมันมากแค่ให้มันเป็นตามธรรมชาติของเรา
ใช่ครับไม่ได้ดีไซน์อะไรเลย แล้วก็คิดว่าผมไม่ใช่คนร้องเพลงเก่งอะไร อย่างช่วงเสียงของผมก็แคบมาก ขึ้นสูงมากก็ไม่ได้ ลงต่ำมากก็ไม่ได้ ก็ต้องอยู่ประมาณกลาง ๆ เสียงหลบก็ไม่ค่อยดีอะไรงี้
อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่แพทริคได้เรียนรู้จากการเป็นศิลปิน
มีครับบทเรียนที่สำคัญที่สุดและผมรู้สึกว่าผมอยากให้ทุกคนได้รู้สิ่งนี้ด้วยนะ ผมว่าการเชื่อเชื่อมั่นในตัวเองสำคัญมาก ๆ เลยครับ เอาจริง ๆ ตอนแรกผมก็ไม่ใช่แบบนี้อยู่แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้ว่าผมชอบซาวด์แบบไหนหรือไม่รู้ว่าจะเขียนเพลงแบบไหน เราก็เรียนรู้ไปกับมันซึ่งระหว่างทางมันก็จะมีหลายสิ่งที่จะมาทำให้เราสับสนและต้องมานั่งคิดซ้ำ เช่น เพื่อนหรือคอมเมนต์ที่บอกว่าทำไมไม่ทำเพลงแบบนี้ล่ะ ไม่เขียนแบบนี้ ไม่ทำตัวให้เฟรนด์ลี่กว่านี้ มันจะมีสิ่งพวกนี้ที่เข้ามาทำให้เราสับสนตัวเองนิดนึงว่าที่เราทำนี่มันถูกแล้วหรือยัง ซึ่งผมกับพี่แต๊ปก็จะเวิร์กกันตลอดพูดคุยกันค่อนข้างเยอะเรื่องเพลงแล้วก็เรื่องของการวางตัว สุดท้ายแล้วผมว่าเราเป็นตัวเราเองนี่แหละดีที่สุด ถ้าสมมติเราไปประดิษฐ์มาก ๆ หรือพยายามทำเพลงที่มันเป็นเทรนด์อยู่ เราอาจจะไม่ได้เป็นตัวเองแบบนี้ก็ได้ ผมคิดว่าการมั่นใจในสิ่งที่เราชอบหรือแบบมั่นใจในสิ่งที่เราทำนี่มันสำคัญที่สุดเลยครับ
การทำเพลงมีความหมายยังไงกับแพทริค
มันคือทุกอย่างเลยครับ ผมไม่เว่อร์เลยนะ ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้อยู่ได้เพราะว่าผมมีเป้าหมายในเรื่องของการทำเพลงนี่แหละครับ ตอนแรกเป้าหมายของผมคือการได้มีซิงเกิลเป็นของตัวเอง แล้วสักพักมันก็กลายเป็นเราอยากมีเพลงล้านวิวอะไรแบบนี้ พอมันทำได้แล้วก็กลายเป็นว่าเราอยากมีอัลบั้มอยากมีอีพีขึ้นมา ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง พอเราทำได้แล้วเป้าหมายต่อไปก็คือมีอัลบั้มเต็ม คือสำหรับผมดนตรีมันคือทุกอย่าง ผมไม่รู้ว่าผมจะไปทำอะไรถ้าผมไม่ได้ทำเพลงแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผมสื่อสารออกมา ถ้าผมไม่ได้ทำเพลงก็คงไม่มีวิธีอื่นแล้วที่จะแสดงความเป็นตัวตนของตัวเองออกมาให้คนได้เห็น เพราะผมไม่ค่อยพูดอยู่แล้วการทำเพลงเลยเป็นเหมือนการที่ผมได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาครับ
สุดท้ายแล้วอยากฝากอะไรถึงแฟน ๆ บ้างครับ
โหต้องขอบคุณจริง ๆ ครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมทำเพลงมาได้ไม่นานนะครับ คือสัญญาแรก 3 ปีเซ็นไปยังไม่หมดสัญญาเลย ก็รู้สึกว่าผมมาได้ไกลกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก ๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทุกวันนี้คือสิ่งที่ผมเคยใฝ่ฝันแต่ก็ไม่เคยเชื่อว่าจะทำได้ด้วยซ้ำ อย่างเช่นมีคนมาร้องเพลงเรา มีคนมาดูเราเล่นสดอะไรแบบนี้ครับ ไม่เคยคิดว่าจะทำได้แต่ทุกวันนี้เราได้รับสิ่งนั้นมาจากค่ายและแฟน ๆ ก็ขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส