SPOILER ALERT! – เนื้อหาในบทความนี้ มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ สามารถคลิกอ่านรีวิวฉบับไม่สปอยล์เนื้อหาได้ที่นี่
เซอร์ไพรส์หนึ่งที่เรียกเสียงฮาสำหรับผู้ชมภาพยนตร์ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ และแฟน ๆ หนังของผู้กำกับอย่าง ‘แซม ไรมี’ (Sam Raimi) ก็คือการปรากฏตัวในฐานะนักแสดงรับเชิญ (Cameo) ของ ‘บรูซ แคมป์เบล’ (Bruce Campbell) นักแสดงคู่บุญและเพื่อนซี้ที่ร่วมหัวจมท้ายกับภาพยนตร์ที่ไรมีกำกับมาตั้งแต่ไตรภาค ‘Evil Dead’ และได้ไปแจมในเป็น Cameo ในหนังอีกหลายต่อหลายเรื่อง จนเรียกว่า ถ้ามีแซม ไรมี ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีแคมป์เบล
ขนาดหนัง Marvel ที่มักจะเคร่งครัดกับบทและงานสร้าง ก็ยังมีพี่แกไปโผล่ในบทคนขายพิซซา ป๊อปปา (Pizza Poppa) ใน Earth-838 ที่โดน ‘ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Doctor Strange) ร่ายมนต์ให้ซัดหน้าตัวเองไปเรื่อย ๆ ขนาดว่าหนังจบแล้วพี่แกก็ยังมากวนโอ๊ยใส่คนที่รอดู End Credit ตัวที่ 2 อย่างใจจดใจจ่ออีกต่างหาก
แต่แม้แฟนหนังจะเห็นว่าเขาได้ไปแจมในหนังของไรมีแทบทุกเรื่องแบบนี้ แต่แคมป์เบลล์เองก็ไม่ได้จะตกปากรับคำยอมไปเล่นหนังให้เพื่อนแบบง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ เพราะเขาได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยกับเว็บไซต์ The Hollywood Reporter ว่า เขาเองก็มีกฏเหล็กหนึ่งข้อถ้วน ที่เป็นเงื่อนไขในการยินยอมไปแสดงบทรับเชิญในหนังของเพื่อนซี้อยู่เหมือนกัน
นั่นก็คือ บทรับเชิญนั้นต้องได้ ‘ป่วน’ หรือถ้าใช้คำตามที่แคมป์เบลพูดก็คือ “ต้องได้เหี้-ใส่ตัวละครหลัก” (F**k with the lead guy.) หรืออธิบายในเชิงบทภาพยนตร์ก็คือ ถ้าสังเกตดี ๆ ตัวละครที่แคมป์เบลล์เล่น แม้จะไม่ใช่นักแสดงหลัก แต่ก็มักจะได้รับบทบาทสำคัญในฐานะเป็นปรปักษ์ หรือเป็นศัตรูที่คอยปั่นป่วน ขัดขวาง สร้างอุปสรรค หรือมีอำนาจเหนือกว่าตัวละครหลักอยู่เสมอ ๆ
“เงื่อนไขข้อเดียวที่ผมต้องการก็คือ ตัวละครต้องมีความสำคัญครับ ใน ‘Spider-Man’ ภาคแรก ผมเป็นคนตั้งชื่อสไปเดอร์-แมนให้ ในภาค 2 ผมเป็นตัวละครเดียวที่เอาชนะสไปเดอร์-แมนด้วยการขัดขวางไม่ให้เข้าไปในโรงละคร และในภาค 3 ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ มาขอความช่วยเหลือกับผู้จัดการโรงแรม ซึ่งมันจะมีฮีโรสักกี่คนกันที่จะยอมขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ ผมเลยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ถ้าจะใส่ผมเข้าไปในหนัง มันต้องทำให้หนังเปลี่ยนไป และไรมีก็รู้แหละว่าผมจะทำให้ภาพยนตร์ของไรมีโด่งดัง (หัวเราะ)”
“ผมคิดว่าในซีนนั้น (ใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’) เราต้องคิดให้ออกว่า เราจะต้องทำยังไง (เพื่อขัดขวางดอกเตอร์สเตรนจ์) และสเตรนจ์จะเอาชนะคนขายพิซซาได้อย่างไร ไอเดียก็คือ เขาต้องเป็นคนนิสัยแย่ และสเตรนจ์ก็ต้องสอนบทเรียนให้เขา เราคิดออก นัดแนะบท บล็อกกิง แล้วก็ถ่ายมันในวันนั้นเลย คือมันก็ปฏิเสธไม่ได้แหละว่า (ตัวละครของผม) ทำให้ดอกเตอร์สเตรนจ์เสียเวลาไป 45 วินาที บางทีไอ้ 45 วินาทีนั้น มันอาจจะทำให้ผมช่วยชีวิตเขา ช่วยชีวิตตัวละครอื่น ๆ หรือไม่ก็ไปขัดขวางแผนการอะไรบางอย่างเข้า”
นับตั้งแต่ปี 1979 ที่แคมป์เบลล์ได้ร่วมงานกับเพื่อนซี้ร่วมเมืองดีทรอยต์ (Detroit) อย่างไรมี ลงขันสร้างภาพยนตร์แนวสยองขวัญทุนต่ำอย่าง ‘The Evil Dead’ (1981) ด้วยเงินเพียง 350,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ โชคดีที่ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังคัลต์คลาสสิกในตำนาน ส่วนแคมป์เบลล์ที่รับบทแอช (Ash) ผู้ต่อแขนตัวเองกับเลื่อยยนต์ ก็กลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครสยองขวัญที่เป็นที่จดจำ
หลังหนังฉาย ไรมีในฐานะผู้กำกับ และแคมป์เบลล์ในฐานะนักแสดง ก็ยังคงติดต่อพูดคุย รู้ความเคลื่อนไหวของกันและกันอยู่ตลอด แม้แคมป์เบลล์จะประกาศว่าจะไม่กลับไปรับบทแอชอีกต่อไป แต่ทุกครั้งที่ไรมีไปกำกับหนังเรื่องไหน แนวอะไร จะมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน ไรมีก็ต้องขอพ่วงเอาเพื่อนซี้อย่างแคมป์เบลไปร่วมแจม ร่วมรับแสดงในบทรับเชิญเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเสมอ
ตัวอย่างหนังของไรมี ที่แคมป์เบลล์ไปร่วมแจมก็มีมากมาย ไล่ตั้งแต่ทีวีซีรีส์ ‘Ash vs. Evil Dead’ (2015) ที่ไรมีเป็นโปรดิวเซอร์ และกำกับตอนแรกให้ ซึ่งเป็นการรับบทแอชเป็นครั้งสุดท้าย ทุ่มทุนเมกอัปเพื่อแสดงเป็นทหารเฝ้าประตูแห่งเมืองมรกตใน ‘Oz the Great and Powerful’ (2013) รับบทเป็น ไฟนอล เชมป์ (Final Shemp) ร่างปลอมตัวของดาร์กแมน (และเกือบได้เล่นเป็นดาร์กแมนเสียเอง) ในภาพยนตร์ ‘Darkman’ (1990)
รวมทั้งได้ไปแจมในไตรภาค ‘Spider-man’ แบบเก็บครบจบทุกภาค ตั้งแต่เป็นโฆษกเวทีมวยปล้ำผู้ตั้งชื่อสไปเดอร์-แมนให้ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ใน ‘Spider-man’ (2002) เป็นคนเฝ้าประตูโรงละครใน ‘Spider-man 2’ (2004) และได้เป็นผู้จัดการโรงแรมชาวฝรั่งเศสใน ‘Spider-man 3’ (2007)
ส่วนการรับบทเป็นคนขายพิซซา ป๊อปปาใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ ที่ตอนนี้กลายเป็นมีมไปแล้ว (ส่วนเมนูพิซซากลมก็กลายเป็นเมนูฮิตใน TikTok ด้วยเช่นกัน) เขาเผยว่า “ตราบใดที่พิซซา ป๊อปปาได้เงิน ทุกอย่างก็เรียบร้อย ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้บอกว่าควรจะได้อะไรมาแบบฟรี ๆ ผมก็ยินดีที่จะทำนะ (หัวเราะ) ใช่ มันกลายเป็นมีมไปแล้ว บางทีผมอาจจะได้เปลี่ยนภาพจำจากแอช (The Evil Dead) กลายเป็นคนขายพิซซาป๊อปปาแทนบ้าง”
“เหตุผลที่ผมเลือกที่จะแสดงในภาพยนตร์เหล่านี้ก็คือ การที่ผมได้ปั่นป่วนใส่ตัวละครหลักครับ อย่างที่บอก ถ้าคุณได้ดูสไปเดอร์-แมนทุกภาค คุณจะเห็นเลยว่า ทั้งหมดที่ผมทำก็คือ ผมทำเหี้-ใส่พระเอก แค่นั้นเลย ผมดูถูก เยาะเย้ยเขา เผชิญหน้า แล้วก็รังควาญใส่เขา
“แน่นอนว่า ตัวละครหลักมักจะชนะตลอดอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ยังไงก็ตาม ระหว่างนั้นคุณก็ต้องสร้างอุปสรรค และทำให้การเดินทางของฮีโรมีความยากลำบาก นี่แหละคืองานของผม”
ที่มา: The Hollywood Reporter, Indiewire, Looper, IGN
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส