กว่าที่นักแสดงสุดฮอตคนหนึ่งของฮอลีวูดในเวลานี้อย่าง ‘คริส แพรตต์’ (Chris Pratt) อายุ 42 ปี) เจ้าของบทบาท ปีเตอร์ ควิลล์ (Peter Quill) หรือ ‘สตาร์ลอร์ด’ (Star-Lord) ในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ ‘Guardians of the Galaxy’ ของ Marvel Studios และล่าสุดกับการกลับมารับบท ‘โอเวน เกรดี’ (Owen Grady) อดีตทหารเรือผู้หยุดไดโนเสาร์ด้วยมือเปล่าในภาพยนตร์ ‘Jurassic World Dominion’ ที่เพิ่งฉายไปหมาด ๆ
แต่รู้หรือไม่ว่า ก่อนที่นักแสดงหนุ่มวัย 42 ปี จะกลายมาเป็นนักแสดงสุดฮอตคนหนึ่งของยุคนี้ ตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น ครั้งหนึ่ง เขาเองเคยแจ้งเกิดในฐานะนักเรียนมัธยมปลายสุดฮอตที่มีพรสวรรค์ทางด้านกีฬา จนได้กลายมาเป็นตัวแทนนักกีฬาโรงเรียนหลายชนิด ทั้งการเป็นฟูลแบ็ก (Full-Back – กองหลัง) ให้กับทีมอเมริกันฟุตบอลประจำโรงเรียน เป็นนักกีฬาวิ่ง และอีกชนิดกีฬาที้ถนัด และผูกพันกับชีวิตของเขาเป็นพิเศษก็คือ กีฬามวยปล้ำ
‘คริสโตเฟอร์ ไมเคิล แพรตต์’ (Christopher Michael Pratt) เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1979 ที่รัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน พ่อของเขาเป็นคนงานในเหมืองแร่ ส่วนแม่เชื้อสายนอร์เวย์ของเขาทำงานเป็นพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ต ตอนที่เขาได้อายุ 7 ขวบ เขาจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เลกสตีเวนส์ (Lake Stevens) รัฐวอชิงตัน และได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมเลกสตีเวนส์ (Lake Stevens High School) ที่ที่เขาได้กลายมาเป็นนักกีฬาโรงเรียนระดับซุปตาร์
ในยุค 90’s เขาในวัยมัธยม เลือกชุดนักกีฬามวยปล้ำของโรงเรียน เนื่องจากเขาและพี่ชายของเขา ต่างก็มีความสนใจ หลงไหล และผูกพันกับกีฬามวยปล้ำด้วยกันมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเล่าว่า “เราทั้งคู่ต่างก็เคยเล่นเป็นนักมวยปล้ำครับ ผมกับเขามักจะเล่นมวยปล้ำกันในห้องนั่งเล่นวันละไม่ต่ำกว่า 6 หรือ 7 ขั่วโมง เล่นเอาเฟอร์นิเจอร์ในบ้านพัง…แล้วเราทั้งคู่เคยได้ไปดูแข่งมวยปล้ำ ‘WrestleMania’ (จัดโดย WWE) ที่ซีแอตเติลมาด้วย”
ที่โรงเรียน แพรตต์ได้รับการฝึกวิชามวยปล้ำจาก ‘เบรนต์ บาร์นส์’ (Brent Barnes) หัวหน้าโค้ชมวยปล้ำระดับมัธยมในตำนานที่เคยสร้างชื่อให้กับเลกสตีเวนส์ ในฐานะที่เป็นโค้ชให้กับนักมวยปล้ำระดับมัธยมปลายทั้งชายและหญิงรวมแล้วกว่า 200 คน ในจำนวนนี้ กลายมาเป็นแชมป์การแข่งมวยปล้ำมากถึง 41 คน แบ่งเป็นนักมวยปล้ำชาย 39 คน และนักมวยปล้ำหญิง 2 คน
โค้ชบาร์นส์สามารถฝึกแพรตต์จนสามารถคว้าอันดับที่ 5 ในการแข่งขันมวยปล้ำระดับมัธยมปลาย วอชิงตัน สเตท ทัวร์นาเมนต์ (Washington State Tournament) ในพิกัดน้ำหนัก 215 ปอนด์ นอกจากการฝึกฝนโค้ชกับลูกศิษย์อย่างแพรตต์ก็มีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น ด้วยพรสวรรค์ ทำให้โค้ชมักจะแนะนำเขาให้มุ่งเอาดีทางด้านนักกีฬามวยปล้ำอยู่เสมอ ๆ
ครั้งหนึ่ง โค้ชบาร์นส์เคยถามแพรตต์ว่า เขามีความใฝ่ฝันอะไรในชีวิตบ้าง แพรตต์ในตอนนั้นตอบไปแบบซื่อ ๆ ว่า “ผมก็ยังไม่รู้เลยครับ แต่ผมคิดว่า ตัวผมเองน่าจะกลายเป็นคนดังนะ แล้วก็หาเงินได้เยอะ ๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะหามาได้ยังไง เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเก่งด้านไหนเป็นพิเศษ”
แพรตต์ไม่ใช่แค่เก่งด้านกีฬาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเขาเองก็ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่เรียนเก่งเอาเรื่องด้วย เขามีผลการเรียนที่ดีมาก ทำคะแนน GPA ได้สูงถึง 3.66 จนกระทั่งเขาเรียนจบชั้นมัธยมปลายในปี 1997 จากนั้นแพรตต์เข้าเรียนต่อในวิทยาลัยชุมชน สาขาการแสดง เหตุผลก็เพราะว่าเขาเองมีโอกาสได้ชมละครเวทีประจำโรงเรียน ที่มีพี่ชายของเขาร่วมแสดงด้วย
ทำให้เขาเริ่มสนใจในศาสตร์ของการแสดง จนกระทั่งได้มีโอกาสร่วมแสดงละครเวทีเป็นบางครั้ง ก่อนที่จะลาออกจากวิทยาลัยหลังจากเรียนได้แค่เทอมเดียว เนื่องจากเขาเองรู้สึกว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นทางที่ใช่สำหรับเขา
แพรตต์ออกมาทำงานหลายอย่าง ทั้งการเป็นพนักงานขายคูปองลดราคาตามบ้าน จนสามารถจ้างให้คนอื่นไปขายแทนได้ เป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าในงานปาร์ตี จนกระทั่งเขากับเพื่อน ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เกาะเมาอี (Maui) หมู่เกาะฮาวาย ที่นั่น เขากลายเป็นคนไร้บ้าน ไร้ที่อยู่ อาศัยนอนอยู่ในรถตู้เก่า ๆ ลายการ์ตูนสกูปี-ดู (Scooby-Doo) ทำงานรับจ้างแต่พอควร เพียงเพื่อให้พ่อต่อค่าน้ำมัน ค่าอาหาร อุปกรณ์ตกปลา และมีเงินซื้อกัญชามาเสพ
จนกระทั่งเมื่อแพรตต์ในวัย 19 ได้ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร ‘Bubba Gump Shrimp Company’ (ร้านอาหารชื่อดังที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ ‘Forrest Gump’ (1994)) แพรตต์ได้มีโอกาสเจอกับ ‘เร ดอว์น ชอง’ (Rae Dawn Chong) นักแสดงหญิงที่กำลังจะมีผลงานกำกับภาพยนตร์สั้นแนวสยองขวัญ ‘Cursed Part 3’ (2000) เธอจึงได้ชวนแพรตต์ไปร่วมแสดงด้วย จากผลงานเล็ก ๆ นี้ ถือได้ว่าเป็นประตูที่เปิดโอกาสที่ทำให้เขาได้ก้าวไปเป็นนักแสดงฮอลลีวูดระดับโลกได้อย่างทุกวันนี้
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เขาเองก็ยังคงไม่ลืมตัวตนในฐานะอดีตนักมวยปล้ำระดับมัธยมปลาย เพราะเขาเคยรับหน้าที่เป็นโฮสต์ให้กับสารคดีที่มีชื่อว่า ‘On the Mat’ ว่าด้วยเรื่องราวของทีมมวยปล้ำระดับมัธยมปลายในโรงเรียนมัธยมเลกสตีเวนส์ ที่เขาเคยเป็นศิษย์เก่านั่นอง โดยสารคดีเรื่องนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ของนักมวยปล้ำที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคทั้งจากการแข่งขันบนเวที การฝึกซ้อมในห้องซ้อม และชีวิตส่วนตัวของนักกีฬามวยปล้ำ
รวมทั้งเขากำลังจะเป็นผู้อำนวยการสร้างสารคดีเกี่ยวกับมวยปล้ำอีกเรื่อง ชื่อว่า ‘Helen | Believe’ ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่าง ‘Religion of Sports’ สื่อด้านกีฬาของสหรัฐอเมริกา กับสตูดิโอ ‘Indivisible Productions’ ของแพรตต์เอง ตัวสารคดีเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ‘เฮเลน มาลูลิส’ (Helen Maroulis) นักมวยปล้ำฟรีสไตล์หญิงอเมริกันคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญทองในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปี 2016 (Rio 2016) ที่เมืองรีโอเดจาเนโร (Rio de Janeiro) ประเทศบราซิล ตัวสารคดียังไม่มีกำหนดวันฉาย
มรดกอีกอย่างจากการที่แพรตต์เคยเป็นนักกีฬามวยปล้ำก็คือ เขาสามารถควบคุมน้ำหนักให้เป็นไปตามคาแรกเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้จากการทำน้ำหนักให้ได้ตามกำหนดในการลงแข่งขันมวยปล้ำ ตัวอย่างเช่น ในภาพยนตร์ ‘Delivery Man’ (2013) เขาต้องรับบทชายหนุ่มร่างอวบ แบกน้ำหนักมากกว่า 300 ปอนด์ ก่อนที่เขาจะทำการลดน้ำหนักและควบคุมอาหาร เพื่อร่วมแสดงบท ‘สตาร์ลอร์ด’ ในภาพยนตร์ ‘Guardians of the Galaxy’ (2014) ในครั้งนั้น เขาสามารถลดน้ำหนักลงได้มากถึง 70 ปอนด์ ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน
อีกเกร็ดที่น่าสนใจเกี่ยวกับมวยปล้ำของแพรตต์ก็คือ เมื่อปีที่แล้ว (2021) ตัวเขาเองได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘The Late Late Show with James Corden’ ตอนที่เขาไปโปรโมทภาพยนตร์แอ็กชันไซไฟ ‘The Tomorrow War’ ของ Prime Video ซึ่งเขาได้มีโอกาสเล่าเกี่ยวกับความเป็นนักมวยปล้ำของเขาด้วย
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ เขาเปิดเผยว่า ตอนที่เขากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ ‘Guardians of the Galaxy’ เขาเองเคยส่งข้อความท้าดวลกีฬามวยปล้ำกับเพื่อนนักแสดงผู้รับบท ‘แดรกซ์’ (Drax) อย่าง ‘เดฟ บาวติสตา’ (Dave Bautista) อดีตนักมวยปล้ำ WWE ที่เคยคาดเข็มขัดแชมป์มานักต่อนัก แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขากล้านักมักบิ่นหรืออยากวัดฝีมือกับนักมวยปล้ำตัวเป้ง แต่เป็นเพราะฤทธิ์ยานอนหลับต่างหาก เขาเล่าว่า
“มีช่วงหนึ่งในชีวิตที่ผมมีปัญหาการนอน ก็เลยต้องพึ่งยานอนหลับ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะกินมันอีกแล้ว เพราะว่าตอนที่ผมกินยา Ambien (ยี่ห้อยานอนหลับ) ผมมักจะเบลอส่งข้อความไปหาคนอื่น ๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าส่งอะไรไปบ้าง จนผล็อยหลับไป พอตื่นมาอีกวัน เดฟก็เดินมาหาผมแล้วก็ถามว่า ‘เฮ้เพื่อน ไอ้ข้อความที่นายส่งมาให้เมื่อคืนนี้น่ะ’ ผมก็งงว่า ‘ข้อความอะไรวะ’ เขาถามอีกทีแล้วก็เดินจากไปว่า ‘นี่นายจำไม่ได้เหรอวะเนี่ย’ ” (หัวเราะ)
“ผมก็เลยมานั่งนึกว่า ข้อความอะไรวะ ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก พอเห็นข้อความที่ส่งไป ซึ่งแม่-ยาวมากกก เท่านั้นแหละ… ในนั้นเขียนว่า ‘เดฟ ฉันอยากปล้ำกับนาย อยากแข่งมวยปล้ำกับนายมากเลยว่ะ ใครจะไม่รู้ไม่เห็นก็ช่าง แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าฉันสู้ได้ ฉันคิดว่าเอานายลงได้ว่ะเพื่อน ปล้ำกันแบบกติกามหา’ลัยนะ ไม่ใช้ศอก ไม่ใช้เข่า ฉันแค่อยากรู้สึกถึงพลัง…’ “
“ผมนี่อายชิบเป๋งเลย มันแย่มาก…ถ้าเป็นงั้นจริง เดฟคงฆ่าผมแหง ๆ เพราะเขาคือชายที่แข็งแกร่งที่สุดในฮอลลีวูดเลยนะ เชื่อผมเถอะ เขาน่ากลัวมาก แต่เดฟเขาก็เป็นนักสู้ที่ดี ไม่ใช่แค่เป็นนักมวยปล้ำเพื่อความบันเทิง และเขาก็ยังเป็นยักษ์ที่อ่อนโยนด้วย ผมไม่เคยคิดอยากต่อสู้กับเขาแน่นอน ไม่มีวันนั้นแน่ ๆ “
ที่มา: Fancowrestling, The Famous People, Wikipedia, Men’s Health, Deadline