หลังจากที่ Jurassic World Fallen: Kingdom ที่ฉายในปี 2018 ได้เฉลยไว้อย่าง งง ๆ ว่าในความเป็นจริงแล้ว ‘เบนจามิน ล็อกวูด’ (เจมส์ ครอมเวล – James Cromwell) ได้ทำการโคลน ‘เมซี ล็อกวูด’ (อิซาเบลลา เซอร์มอน – Isabella Sermon) หลานสาวของเขาขึ้นมา ให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับลูกสาวของเขา ‘ชาร์ล็อตต์ ล็อกวูด’ (Charlotte Lockwood) ที่ได้เสียชีวิตด้วยโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ยากเมื่อเธออายุได้ 24 ปี ซึ่งนั่นก็ได้ทิ้งข้อสงสัยให้ใครหลาย ๆ คน ว่าในความเป็นจริงแล้ว การโคลนของเมซี จะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการสร้างไดโนเสาร์หรือไม่?
ต้นตอที่ทำให้สาวน้อยเมซีรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่ถูกโคลนขึ้นมาให้มีหน้าตาเหมือนกับแม่ของเธอ เป็นเพราะวายร้ายจากภาค ‘Jurassic World: Fallen Kingdom’ อย่าง เอลี มิลส์ (เรฟ สปอลล์ – Rafe Joseph Spall) ได้ฆาตกรรมเบนจามิน เพื่อหวังจะประมูลไดโนเสาร์ให้สำเร็จ คราวนี้หนูน้อยเมซีก็ได้หนีไปกับ แคลร์ (ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด – Bryce Dallas Howard) และ โอเวน (คริส แพรตต์ – Chris Pratt) ซึ่งในระหว่างที่กำลังหนีพวกเขาก็ได้รู้ความจากปากเอลีว่า
“พวกคุณไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใคร คิดว่าอะไรทำให้แฮมมอนด์และล็อกวูดแตกคอกัน? ล็อกวูดไม่เคยมีหลานสาว เขาอยากได้ลูกสาวคืน และเขามีเทคโนโลยีเขาก็เลยสร้างลูกอีกคนทำให้เหมือนคนเดิม”
ซึ่งประโยคดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ปูไปสู่ความจริงที่เมซีเป็นร่างโคลนที่ปู่ของเธอได้สร้างขึ้นมา
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1993 หลังจากที่จอห์น แฮมมอนด์และเบนจามิน ล็อกวูดคีนชีพไดโนเสาร์สำเร็จ พวกเขาก็ได้ก่อตั้งสวนสนุกที่มีชื่อว่า ‘Jurassic Park’ บนเกาะอิสลานูบลาร์ (Isla Nublar) ขึ้นมา ซึ่งเบนจามินเชื่อว่าเทคโนโลยีการโคลนนิ่งขั้นสูงของ InGen สามารถใช้ได้มากกว่าการชุบชีวิตสัตว์ที่สูญพันธุ์ เขาจึงเสนอการโคลนนิ่งมนุษย์ แต่จอห์นกลับไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่แตกคอกัน
ต่อมาในปี 2008 เมื่อ ‘ชาร์ล็อตต์’ ลูกสาวคนเดียวของเบนจามินได้เสียชีวิตลง ความโศกเศร้าจึงทำให้เขาผลักดันตัวเองเข้าหาเทคโนโลยีของ InGen เพื่อหาทางแก้ไขให้ลูกของเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เบนจามินพยายามใช้ DNA ของลูกสาวที่เสียชีวิตมาใช้ในการโคลนมนุษย์ เป็นเหตุที่ทำให้เกิด ‘เมซี ล็อกวูด’ หลานสาวของเขาขึ้นมา
แม้ว่าการโคลนมนุษย์จะเกิดขึ้นกับสาวน้อยเมซีใน ‘Jurassic World: Fallen Kingdom’ แต่แนวคิดเรื่องลูกผสมระหว่างมนุษย์กับไดโนเสาร์ก็ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์ ‘Jurassic Park’ หรือ ‘Jurassic World’ จอห์น เซย์ลิส (John Sayles) ผู้เขียนบทภาพยนตร์ เคยเกิดความคิดขึ้นในระหว่างการพัฒนาเนื้อเรื่องฉบับร่างที่ไม่ได้มีการถ่ายทำ ของ ‘Jurassic Park’ ภาค 4 โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตลูกผสมที่ถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานของ DNA ระหว่างไดโนเสาร์ มนุษย์ และสุนัข เข้าด้วยกัน เขาหวังว่ามันจะทำให้เกิดลูกผสมระหว่างมนุษย์กับไดโนเสาร์ที่ฉลาดพอที่จะทำตามคำสั่งได้ หลายปีหลังจากที่สคริปต์ได้รับการพัฒนาแต่มันกลับได้ถูกทิ้งไปในช่วงต้นปี 2000
แนวคิดจากสคริปต์ ‘Jurassic Park 4’ ส่วนหนึ่ง ได้ถูกนำมาปรับใช้และแต่งขึ้นใหม่ใน ‘Jurassic World’ รวมไปถึงแนวคิดของไดโนเสาร์ลูกผสม เช่น อินโดมินัสเร็กซ์ (Indominus Rex), มนุษย์ที่ฝึก วิลอซิแรปเตอร์ (Velociraptors) ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขาในภาพยนตร์ ‘Jurassic World’ (2015) และ ไดโนเสาร์ลูกผสม อินโดแรปเตอร์ (Indorapter) ในภาพยนตร์ ‘Jurassic World: Fallen Kingdom’ (2018)
ส่วนต่อไปมีการเปิดเผยเนื้อหาของ ‘Jurrasic World Dominion’
และใน ‘Jurrasic World Dominion’ ภาคล่าสุดนี้ ดร.เฮนรี วู (Henry Wu) ได้ออกมาเฉลยว่าจริง ๆ แล้ว เมซีไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกโคลนขึ้นมา แต่ชาร์ล็อตต์แม่ของเมซีได้คลอดเธอออกมาเอง ซึ่งสาเหตุมาจากการปรับแต่งพันธุกรรมจึงทำให้ชาร์ล็อตต์สามารถมีลูกเองได้เช่นเดียวกับ วิลอซิแรปเตอร์ ‘บลู’ นั่นเอง แต่เมื่อรู้ว่าลูกจะมีโรคร้ายเหมือนกับตัวเอง ชาร์ล็อตต์ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการใช้ยีนของไดโนเสาร์ ช่วยรักษาไม่ให้ลูกเป็นโรคและตายเร็วเหมือนตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้วครอบครัวล็อกวูดไม่ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะการคลอดลูกเองได้อาจจะทำให้ดูแปลกในสายตาคนอื่นหรือเป็นเรื่องใหม่ที่บางคนอาจจะยังไม่ยอมรับ ซึ่งนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เบนจามินต้องคอยปิดบังไม่ให้เมซีเห็นรูปแม่ของเธอเพราะเธออาจนำมาคิดจนเกิดปมในใจ และปล่อยให้คนอื่น ๆ เข้าใจผิดไปว่าเมซีเป็นร่างโคลนของลูกสาวของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว
ที่มา screenrant , Jurassic pedia
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส