เมื่อ 25 ปีที่แล้วในปี 1997 บทเพลง “How Do I Live” อันเป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องเยี่ยม “Con Air” ได้กลายเป็นหนึ่งในบทเพลงสุดฮิตแห่งยุค 90s ในขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดสำคัญในชีวิตของสองนักร้องสาว ลีแอน ไรมส์ (LeAnn Rimes) และทริชา เยียร์วูด (Trisha Yearwood) ที่ต้องพบกับช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจจากการที่ต้องมาบันทึกบทเพลงเดียวกัน ที่ถูกปล่อยออกมาในวันเดียวกัน และต้องมาสู้ศึกชิงรางวัลบนเวทีเดียวกันอีกด้วย

เรื่องชวนอิหยังวะแห่งวงการดนตรีนี้เริ่มขึ้นเมื่อบทเพลง “How Do I Live” ซึ่งเขียนโดยนักแต่งเพลงมือฉมัง ไดแอน วาร์เรน (Diane Warren) เพื่อใช้ประกอบในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์แอ็กชันเรื่อง “Con Air” ผลงานการกำกับของ ไซม่อน เวสต์ (Simon West) และแสดงนำโดย นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) จะมีการบันทึกเสียงโดยให้นักร้องสาววัยใส ลีแอน ไรมส์ ที่ตอนนั้นมีอายุแค่เพียง 14 ปีและเพิ่งประสบความสำเร็จจากซิงเกิลเปิดตัว “Blue” มาทำการร้องบทเพลงนี้และถ่ายทำมิวสิกวิดีโอประกอบบทเพลงด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการรีบร้อนออกเสียหน่อยเพราะตัวเพลงยังไม่ได้รับการคอนเฟิร์มจากทางผู้บริหารเลยว่าจะเอาเพลงนี้ ซึ่งสุดท้ายผลก็วุ่นวายจริง ๆ เพราะในที่สุดโปรดิวเซอร์ เจอร์รี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) และผู้บริหารคิดว่าเสียงร้องของไรมส์ไม่เหมาะกับเนื้อเรื่องที่สุดจะแมน สุดจะมันส์ และเป็นเรื่องราวในโลกอันรุนแรงและเข้มข้นของผู้ใหญ่ ซึ่งคงไม่เหมาะที่จะถูกถ่ายทอดโดยสาวน้อยวัยใส มันควรที่จะเป็นคนที่ผ่านโลกผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่านี้สักหน่อย และตอนนั้นบรักไฮเมอร์เองก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันมีความป๊อปมากไปนิด คันทรีน้อยไปหน่อยก็เลยอยากจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างในเพลงและการร้องของไรมส์ แต่ทว่าพ่อของเธอคือ วิลเบอร์ ไรมส์ (Wilbur Rimes) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของเพลงนี้ด้วยปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงตามข้อเสนอของบรักไฮเมอร์ บรักไฮเมอร์เลยไม่ง้อและขอติดต่อนักร้องสาวแนวคันทรีวัย 33 ปี ทริชา เยียร์วูด เพื่อมาร้องเพลงนี้ วาร์เรนที่เป็นคนแต่งเพลงนี้ถึงแม้จะเห็นด้วยกับบรักไฮเมอร์ แต่เธอก็ไม่อยากให้ทิ้งเวอร์ชันของไรมส์ไปเพราะเธอมั่นใจว่ามันจะต้องปังแน่ สุดท้ายทั้งสองเวอร์ชันก็เลยถูกปล่อยออกมาในวันเดียวกันคือวันที่ 27 พฤษภาคม 1997 เวอร์ชันของไรมส์ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลของเธอ ส่วนของเยียร์วูดคือเวอร์ชันที่ถูกใช้ในการประกอบภาพยนตร์เรื่อง Con Air

ราวสองสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 14 มิถุนายน บทเพลงทั้งสองเวอร์ชันก็ได้ไต่ขึ้นชาร์ต Billboard all-genre Hot 100 เวอร์ชันของไรมส์อยู่บนชาร์ตเป็นเวลายาวนานกว่า 69 สัปดาห์ (ซึ่งถูกโค่นตำแหน่งโดยเพลง “I’m Yours” ของ Jason Mraz ในอีก 11 ปีต่อมา) นอกจากนี้ยังอยู่ในอันดับท็อป 5 เป็นเวลากว่า 25 สัปดาห์และขึ้นสู่อันดับสูงสุดคืออันดับที่ 2 ไม่เพียงแค่นั้นบทเพลงในเวอร์ชันของไรมส์ยังอยู่ในชาร์ตเพลงฮิตที่สุดของทศวรรษที่ 90s และมียอดขายกว่า 3 ล้านก็อปปี้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน บทเพลงในเวอร์ชันของไรมส์ได้ถูกบรรจุไว้ในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ของเธอ ‘You Light Up My Life: Inspirational Songs’ ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่สามารถเปิดตัวขึ้นอันดับ 1 พร้อมกันทั้งในชาร์ต Billboard 200, Top Country Albums และ Contemporary Christian

ลีแอน ไรมส์วัย 14 ปีกับซิงเกิล “How Do I live”

ส่วนทางฝั่งของเยียร์วูดบทเพลงกลับไม่ปังเท่า ขึ้นสูงสุดเพียงอันดับที่ 23 บนชาร์ต Billboard all-genre Hot 100 ทำให้ทางค่ายต้นสังกัดคือ MCA ปฏิเสธที่จะผลิตก็อปปี้ของซิงเกิลนี้เพิ่มขึ้นเพราะกลัวว่าลงทุนไปแล้วจะเข้าเนื้อ เวอร์ชันของเยียร์วูดอยู่บนชาร์ต Hot 100 ได้เพียง 12 สัปดาห์ แต่ว่ากลับได้รับความนิยมบนสถานีวิทยุที่เปิดเพลงแนวคันทรีมากกว่าและไต่ขึ้นไปสู่อันดับที่ 2 ของชาร์ตเพลงคันทรีและมียอดขายกว่า 2 ล้านก็อปปี้ซึ่งก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ทริชา เยียร์วูด

ในช่วงเวลาที่บทเพลงทั้งสองเวอร์ชันปล่อยออกมาปะฉะดะกัน ไรมส์เองมีความรู้สึกกดดันไม่น้อยและกลัวว่าเวอร์ชันของเยียร์วูดที่เชี่ยวประสบการณ์และผ่านโลกมามากกว่าจะกลบรัศมีของเวอร์ชันตัวเอง “ฉันรู้สึกกังวลกับมันมากเลย ตอนนั้นฉันอายุแค่ 14 ปีเองและนี่ก็เป็นรสชาติแห่งชีวิตครั้งแรกที่ฉันมีกับอุตสาหกรรมดนตรี ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีเลย ฉันจำได้ว่าฉันมัวแต่คิดว่าเวอร์ชันของฉันคงไม่มีใครฟังแน่และสุดท้ายฉันก็ดีใจที่ฉันคิดผิด เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย”

“มันเป็นเหมือนกับประสบการณ์ที่กะเทาะเปลือกตัวตนของฉันออกมา ทำให้ฉันหลุดพ้นจากกรอบที่มีคนคอยบอกว่า ‘โอ้, เธอเป็นอย่างนั้น เธอเป็นแค่เด็กสาวตัวน้อย ๆ ที่คอยร้องแต่เพลงคันทรี’ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันสามารถข้ามผ่านคำพูดพวกนี้มาได้ และมันเป็นบทเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดของฉันตลอดทั้งชีวิตนี้เลย”

ถึงตัวศิลปินเองจะมีความกังวล แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ตั้งท่าที่จะต่อสู้กันแต่อย่างใด จะมีก็แต่ค่ายเพลงและสถานีวิทยุที่สนุกกับศึกการประลองชิงชัยในครั้งนี้ สื่อทั้งหลายต่างออกโพลสำรวจถามแฟนเพลงว่าชอบเวอร์ชันไหนมากกว่ากัน และสุดท้ายบทเพลงทั้งสองเวอร์ชันจากสองศิลปินสาวก็ต้องมาประลองชิงชัยกันบนเวทีแกรมมี่ในสาขา Best Country Female Vocal Performance เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงเดียวกันมาเข้าชิงรางวัลเดียวกัน

ทำให้เป็นที่ลุ้นของแฟน ๆ กันว่างานนี้คงต้องมีใครสักคนอกหักกลับบ้านมือเปล่าแน่ ๆ แต่ราวกับเตี๊ยมกันมาว่าจะไม่ให้มีใครต้องอกหักเสียใจกลับบ้านไปและให้แต่ละคนได้เฉิดฉายและมีอะไรติดไม้ติดมือไปบ้าง สุดท้ายในวันนั้นคนที่ได้ขึ้นแสดงเพลงนี้ในงานประกาศผลก็คือไรมส์ ในขณะที่รางวัลตกเป็นของเยียร์วูดที่ขึ้นรับรางวัลหลังจากที่ไรมส์แสดงจบไป

เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น ไรมส์รู้สึกไม่ดีเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนหักหลังจากบรรดาผู้คนในธุรกิจดนตรีและเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้พรากอะไรไปจากเธอ ส่วนเยียร์วูดเองก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่ตัวเองจะมาร้องเพลงนี้ ไรมส์ได้ร้องมันไว้แล้ว มิเช่นนั้นเธอคงตัดสินใจที่จะให้มีการตกลงกันว่าเพลงนี้ควรเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้ามันจะเป็นของไรมส์เธอก็จะไม่ร้องมันอย่างเด็ดขาด

แต่สุดท้ายแล้วผลดีก็เกิดกับทั้ง 2 เวอร์ชันและ 2 นักร้องสาวที่ต่างก็ประสบความสำเร็จและเติบโตในแนวทางของตัวเอง หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นานในปี 2000 ไรมส์ก็ได้เฉิดฉายอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง “Coyote Ugly” และได้ร้องเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ บทเพลง “Can’t Fight the Moonlight” ได้กลายเป็นบทเพลงในดวงใจของแฟนหนังและคอเพลง และขึ้นชาร์ต Hot 100 ในอันดับที่ 11 และเป็นซิงเกิลที่มียอดขายสูงที่สุดในปี 2001 ของออสเตรเลีย และทำให้ไรมส์ได้รับรางวัล Blockbuster Entertainment Award สำหรับเพลงยอดฮิตจากภาพยนตร์

ส่วนเยียร์วูดก็ได้รับรางวัลและถูกเสนอชื่อเข้าชิงมากมาย โดยเป็นรางวัลแกรมมี่ 3 ครั้ง รางวัลจาก Academy of Country Music อีก 3 ครั้ง และจาก Country Music Association อีก 3 ครั้งเช่นกัน

ที่มา

countryhangdaily

songfacts

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส