เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งมีการประกาศกำหนดฉายและเปิดเผยโฉมแรกของภาพยนตร์ “Barbie” ฉบับคนแสดง โดยนักแสดงสาว มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) รับบทเป็น ‘บาร์บี้’ (Barbie) ที่มาในลุคผมบลอนด์สลวยสวยเก๋ และรอยยิ้มพิมพ์ใจผสานไว้ทั้งความสดใสและเซ็กซี่ มีที่คาดผมลายจุดและชุดสีฟ้าสดใสนั่งอยู่ในรถเปิดประทุนสีชมพูและฉากสีชมพูหวาน ๆ เห็นแค่นี้ก็ทำให้อยากดูซะแล้ว
แค่นี้ยังไม่พอยังมีการเปิดตัวพ่อหนุ่ม ‘เคน’ (Ken) สุดหล่อหวานใจของสาวบาร์บี้อีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนที่มารับบทนี้แต่เป็นพระเอกหนุ่ม ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) ที่มาในมาดเท่ในชุดยีนส์เปิดอกโชว์กล้ามล่ำพร้อมผมสีบลอนด์และแววตาขี้เล่น โดยบาร์บี้เวอร์ชันภาพยนตร์จะเป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับสาวเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง เกรต้า เกอร์วิก (Greta Gerwig) โดยเขียนบทร่วมกับคนรู้ใจที่ร่วมงานกันมานานอย่างผู้กำกับหนุ่ม โนอาห์ บอมบาค (Noah Baumbach) ภายใต้การผลิตของ Mattel Films และ Warner Bros. นอกจากนี้ร็อบบียังร่วมเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ด้วย ภาพยนตร์ Barbie พร้อมฉายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2023
และแน่นอนว่าพอคิดถึงบาร์บี้ หลายคนก็คงนึกไปถึงเพลงสุดฮิตแห่งยุค 90s อย่างเพลง “Barbie Girl” ของวงป๊อปแดนซ์จากเดนมาร์กนาม ‘Aqua’ ซึ่งหลายคนก็คงลุ้นว่าจะมีเพลงของวงนี้มาประกอบหนังรึเปล่า ซึ่งก็มีคำยืนยันจากทางผู้จัดการของวง Aqua ออกมาแล้วว่าเพลงสุดฮิตเพลงนี้ของวง Aqua จะไม่มาปรากฏอยู่ในหนัง Barbie อย่างแน่นอน ซึ่งทางวงก็ไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจน อาจเป็นไปได้ว่าน่าจะมาจากปัญหาที่ทางวง Aqua กับทาง Mattel แบรนด์ผู้ผลิตบาร์บี้เคยมีปัญหาขึ้นโรงขึ้นศาลกันมาแล้วในอดีตจากรณีเพลง “Barbie Girl” นั่นเอง
I’m a Barbie girl, in the Barbie world
Life in plastic, it’s fantastic
You can brush my hair, undress me everywhere
Imagination, life is your creation
ฉันเป็นสาวน้อยบาร์บี้ ในโลกแห่งตุ๊กตาบาร์บี้
ชีวิตในโลกพลาสติกที่มันช่างมหัศจรรย์
คุณสามารถแปรงผมของฉันและเปลื้องผ้าฉันได้ในทุก ๆ ที่
มันคือจินตนาการ ชีวิตของฉันคือการสรรค์สร้างของคุณ
ถึงแม้ว่าดูเผิน ๆ แล้วเนื้อเพลงของ “Barbie Girl” จะดูไม่มีอะไร นอกเสียจากพูดถึงโลกอันสวยสดงดงามและเปี่ยมไปด้วยจินตนาการสรรค์สร้างของตุ๊กตาของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างบาร์บี้ แต่หากมองให้ลึกลงไปในเนื้อหาของบทเพลงที่ไม่มีอะไรนี้ จะพบว่าในแต่ละท่อนของเพลงนั้นชวนให้คิดว่าบทเพลงนี้อาจกำลังสะท้อนถึงวัฒนธรรมของการให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาและความเย้ายวนทางเพศก็เป็นได้
หากมองไปที่ตัวตุ๊กตาบาร์บี้เอง จะพบว่าเธอถูกสร้างขึ้นมาให้มีรูปลักษณ์ที่เย้ายวนและเป็นสาวสวยในแบบพิมพ์นิยมของสังคมอเมริกันที่มีผิวขาว ผมสีบลอนด์ รูปร่างสะโอดสะอง เอวเล็ก หน้าอกใหญ่ ที่ถูกขับเน้นออกมาให้ดูเกินกว่าความเป็นจริงอยู่สักหน่อย ทำให้สัดส่วนของตัวตุ๊กตาดูมีความเกินจริงอยู่บ้าง ทำให้มีคำวิจารณ์ไปในทิศทางที่หลากหลายทั้งการมอมเมาให้เด็กสาวให้ความสนใจไปกับเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ต้องเป๊ะเวอร์จนเกินไป หรือไม่ก็ขาดความหลากหลายในความงามรูปแบบต่าง ๆ ของคนที่มีรูปร่างและสีผิวที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทางผู้ผลิตบาร์บี้คือบริษัท Mattel ก็ออกมาให้คำอธิบายว่าตุ๊กตาบาร์บี้ไม่ได้ตั้งใจสร้างมาให้มีความสมจริง และรูปร่างที่ดูเป๊ะเวอร์นี้ก็ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตุ๊กตาสามารถโพสและแต่งตัวได้ง่าย (แต่ในช่วงปลายปี 1997 2-3 เดือนหลังจากที่บทเพลง “Barbie Girl” ได้ไต่ขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ตเพลงของสหรัฐอเมริกา และติดชาร์ต Billboard Hot 100 Mattel ได้ออกมาประกาศว่าบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของบาร์บี้เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ โดยปรับให้บาร์บี้มีเอวที่ใหญ่ขึ้น ส่วนสะโพกและหน้าอกถูกปรับให้มีขนาดเล็กลงมีขนาดอยู่ที่ประมาณคัพ B)
‘Aqua’ เป็นวงดนตรีป๊อปแดนซ์จากเดนมาร์ก ประกอบไปด้วย 2 นักร้อง 2 โปรดิวเซอร์ ดีเจ ‘ลีน ไนสตอรม’ (Lene Nystrøm), ‘เรเน่ ดิฟ’ (René Dif), ‘ซอเรน แรสเตด’ (Søren Rasted) และ ‘คลอส นอร์รีน’ (Claus Norreen) ซึ่งแต่เดิมรวมตัวกันในนาม ‘Joyspeed’ เริ่มทำเพลงจนประสบความสำเร็จพอประมาณในถิ่นฐานบ้านเกิด และเริ่มแจ้งเกิดในเดนมาร์กประเทศบ้านเกิดและสวีเดนด้วยนาม ‘Aqua’ จากซิงเกิลแรก “Roses Are Red” ที่ขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในทั้งสองประเทศ และเริ่มเติบโตนอกบ้านจากผลงานเพลงอัลบั้มแรกและบทเพลง “Barbie Girl”
Aqua ได้เขียนเพลง “Barbie Girl” หลังจากที่สมาชิกวงได้มีโอกาสชมนิทรรศการ “Kitsch Culture” ซึ่งคำว่า “คิช” นี้เป็นคำในภาษาเยอรมัน ถูกใช้ในการวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยมและกล่าวถึงศิลปะหรือวรรณกรรมที่ไร้คุณค่า ไร้รสนิยมหรือทำขึ้นเพื่อการค้ามากกว่ารับใช้ศิลปะ เพลง “Barbie Girl” หากฟังเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรแต่หากลองมองลึกลงไปในเนื้อเพลง จะพบว่าในแต่ละท่อนเพลงนั้นมีนัยที่สื่อถึงภาพลักษณ์ทางสังคมของผู้หญิงที่ต้องมีหุ่นเป๊ะปังสมดังสาวงามตามแบบพิมพ์นิยมที่ต้องผอมเพรียว ผิวขาว สะโพกผาย หน้าอกใหญ่ ถึงจะมีความยวนเย้าเร้าใจชาย ในเนื้อเพลงแต่ละท่อนจึงมีถ้อยคำที่เชื้อชวนให้ชายหนุ่มเข้ามาสัมผัสจับต้องและ ‘เล่นสนุก’ กับเธอ เช่น
“ คุณสามารถแปรงผมฉันได้ เปลื้องผ้าฉันได้ในทุก ๆ ที่”
(You can brush my hair, undress me everywhere)
“ฉันเป็นสาวบลอนด์สมองกลวงในโลกแฟนตาซี แต่งตัวฉันสิ จัดให้แน่น ๆ ฉันเป็นตุ๊กตาของคุณ”
(I’m a blond bimbo girl in a fantasy world / Dress me up, make it tight, I’m your dolly)
[คำว่า ‘Bimbo’ เป็นคำสแลงที่ใช้เรียกสาวสวยเปี่ยมเสน่ห์น่าดึงดูดแต่ไม่มีความฉลาดหลักแหลม]“จูบฉันตรงนี้ จับฉันตรงนั้น พ่อคนซุกซน”
(Kiss me here, touch me there, hanky panky)
[คำว่า ‘hanky-panky’ เป็นสแลงที่ใช้กล่าวถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ซึ่งใช้ในบริบทของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศเป็นส่วนใหญ่]และ
“คุณจับฉันได้ เล่นฉันได้ ถ้าคุณบอกว่า ‘ผมเป็นของคุณเสมอมา’ (อู้ว โอ้)”
(You can touch You can play If you say, “I’m always yours” (ooh, oh))
หลังจากที่ Aqua ออกวางจำหน่ายอัลบั้มเปิดตัวที่มีชื่อว่า ‘Aquarium’ ในเดือนมีนาคม 1997 และปล่อยซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้มซึ่งก็คือ “Barbie Girl” ในอีก 2 เดือนต่อมา วงอินดี้จากประเทศแถบสแกนดิเนเวียวงนี้ก็ได้กลายเป็นวงดนตรีชื่อดังในทันทีหลังจากที่บทเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลาย ขึ้นสู่อันดับที่ 7 ในชาร์ต Billboard Hot 100 และมียอดขายกว่า 1 ล้านก็อปปี้ อีกทั้งยังขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในชาร์ตเพลงของอังกฤษเป็นเวลาหลายสัปดาห์
และด้วยความดังถล่มทลายนี้เรื่องจึงไปถึงทางผู้ผลิตบาร์บี้ บริษัท Mattel ที่หัวร้อนขึ้นมาทันทีที่เห็นว่า Aqua ได้เปลี่ยนบาร์บี้ให้กลายเป็น ‘วัตถุทางเพศ’ ทั้งถอด ทั้งจับ ทั้งจูบ ลูบคลำต่าง ๆ นานา อีกทั้งยังกล่าวถึงบาร์บี้ว่าเป็น ‘สาวบลอนด์สมองกลวง’ (Blonde Bimbo) อีกทั้งยังมีฉากในมิวสิกวิดีโอที่เคน (รับบทโดยแรปเปอร์ประจำวง เรเน่ ดิฟ) เผลอดึงแขนบาร์บี้ (รับบทโดยนักร้องสาว ลีน ไนสตรอม) จนหลุดออกมาและเอามาแกว่งเล่น ด้วยเหตุนี้ทาง Mattel จึงได้ดำเนินการฟ้องร้องในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของตุ๊กตาบาร์บี้ “แม้ว่าเราจะพบว่าเนื้อเพลงนั้นเป็นที่ยอมรับได้ แต่เราก็ยังจะยื่นฟ้องอยู่ดีเพราะเพลงนี้ถูกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเราและแน่นอนโดยที่เราไม่ได้รับการแจ้งเลยสักนิด” และยังกล่าวว่าการกระทำของ Aqua นั้นคือการขโมย “พวกเขากำลังพูดถึงเพลงนี้ว่าเป็นเพลงที่ไพเราะและสนุกสนาน แต่เราเชื่อว่าการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายจากทรัพย์สินของบริษัทอื่นเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของตนเองนั้นไม่ได้มีทั้งความสนุกสนานและร่าเริง แต่มันเป็นการขโมย !”
สุดท้ายในปี 2002 ศาลก็ได้ตัดสินให้วง Aqua พ้นข้อกล่าวหา เพราะว่าเพลง “Barbie Girl” นั้นแต่งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ของการ ‘ล้อเลียน’ และได้รับการคุ้มครองจากบทที่ว่าด้วยอิสระในการพูดหรือแสดงออกภายใต้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 1 (First Amendment) และยังได้ยกฟ้องในกรณีที่ MCA Records บริษัทต้นสังกัดของ Aqua ที่ฟ้องร้อง Mattel ในข้อหาหมิ่นประมาทอีกด้วย โดยวินิจฉัยว่าให้มีการยุติคดีความนี้ “ข้อฟ้องร้องของ Mattel นั้นเป็นการกล่าวที่เกินจริงและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ นอกจากนี้เพลงดังกล่าวยังเป็นเพียงการล้อเลียนทั้งตัวบาร์บี้และค่านิยมในโลกพลาสติกที่เธอเป็นตัวแทน” ซึ่งผลที่ตามมาก็คือบทเพลง “Barbie Girl” ได้รับความสนใจจากสื่อมากมายอันส่งผลดีต่อบทเพลงและชื่อเสียงของวง Aqua ด้วย
ทั้งนี้วง Aqua ไม่ได้เป็นกรณีแรกที่ทาง Mattel ฟ้องร้อง ก่อนหน้านี้ Mattel ก็เคยฟ้องผู้กำกับภาพยนตร์ ทอดด์ เฮย์นส์ (Todd Haynes) จากกรณีที่เอาตุ๊กตาบาร์บี้ไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง “Superstar: The Karen Carpenter Story” ในปี 1987
ถึงแม้เพลง “Barbie Girl” จะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนที่รู้สึกในทางตรงกันข้ามและรู้สึกยี้กับเพลงนี้ นิตยสาร Blender ได้จัดอันดับ 33 บทเพลงชวนยี้แห่งปี 2004 และเขียนบทความชื่อ “หนีไปซะ !! นี่คือ 50 เพลงที่ห่วยที่สุดตลอดกาล” (Run for Your Life! It’s the 50 Worst Songs Ever!) ซึ่งเรียกวง Aqua ว่าเป็น ‘pedo-pop’ หมายถึงวงป๊อปที่มีความเป็น ‘โรคใคร่เด็ก’ (Pedophilia) และได้กล่าวว่าในท่อนร้องเสียงทุ้มต่ำโดย เรเน่ ดิฟ ที่ร้องว่า ‘come on, Barbie, let’s go party’ นั้นเป็นท่อนที่เสื่อมที่สุดของเพลงเลย
สำหรับความเป็นมาของตุ๊กตาบาร์บี้นั้นเริ่มขึ้นในปี 1945 ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 รุธ แฮนด์เลอร์ (Ruth Handler) และสามีของเธอ เอลเลียต (Elliot) ได้ก่อตั้งบริษัท Mattel ร่วมกับเพื่อนสนิทของทั้งคู่คือ ฮาโรลด์ แม็ตต์สัน (Harold Mattson) โดยได้ไอเดียในการผลิตตุ๊กตาบาร์บี้หลังจากที่รุธเห็นลูกสาวของเธอกำลังนั่งตัดตุ๊กตากระดาษออกมาจากกองนิตยสารและค่อย ๆ เลือกชุดกับเครื่องประดับมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับตุ๊กตาเหล่านั้น ในยุคนั้นตุ๊กตาส่วนใหญ่ที่มีวางขายตามท้องตลาดมักเป็นตุ๊กตาเด็กน้อยทั่วไป รุธจึงได้มองเห็นโอกาสและช่องทางที่แตกต่างออกไปด้วยการสร้างตุ๊กตาที่มีความเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่ ที่ทำให้เด็ก ๆ ได้เล่นเพื่อเติมเต็มความฝันของพวกเขา ชื่อ ‘บาร์บี้’ นั้นจึงมีที่มาจากลูกสาวของรุธนั่นเอง บาร์บี้เปิดตัวครั้งแรกที่ New York Toy Fair ในเดือนมีนาคมปี 1959 และมียอดขายถล่มทลายกว่า 351,000 ตัวโดยขายตัวละ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ปัจจุบันบาร์บี้เป็นของเล่นที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก มียอดขายกว่า 1,000 ล้านตัวตั้งแต่ปี 1959 ในกว่า 150 ประเทศ และได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับความหลากหลายของผู้คนในโลก
ส่วนเพลง “Barbie Girl” ก็ยังคงเป็นเพลงยอดฮิตที่มีคนฟังอยู่เสมอแม้เวลาผ่านไปนานเกือบ 25 ปีแล้ว ในปัจจุบันเพลงนี้มียอดวิวบนยูทูบแตะ 1,000 ล้านวิวไปแล้ว และวง Aqua เองถึงแม้ “Barbie Girl” จะเป็น one hit wonder คือดังเพลงเดียวในสหรัฐอเมริกา แต่ว่าในอังกฤษ Aqua ก็มีเพลงที่ขึ้นสู่อันดับ 1 อีก 2 เพลงคือ “Doctor Jones” และ “Turn Back Time” และถึงแม้วงจะไม่ได้ออกอัลบั้มมานานแล้วตั้งแต่ ‘Megalomania’ ในปี 2011 แต่ก็ยังมีการรียูเนียนรวมตัวกันแสดงคอนเสิร์ตอยู่เสมอ
ที่มา
The Dark Meaning Behind Aqua’s “Barbie Girl”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส