กว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) จะกลายมาเป็นศิลปินชื่อดังอย่างเช่นทุกวันนี้ เธอต้องผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ทั้งคู่อริที่เพิ่มขึ้นตามชื่อเสียงหรือเหล่าแอนตี้แฟน ที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไร พวกเขาก็สามารถจับเรื่องราวนั้น ๆ มานินทาได้เสมอ จนเธอได้รับฉายาว่า ‘นางงูพิษ’ ในสายตาของคนเหล่านั้น
แม้จะถูกกระแสโจมตีจากคนที่ไม่ชอบ แต่สวิฟต์ก็โนสนโนแคร์ก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป ในเวลาต่อมาเธอได้ปล่อยมิวสิกวิดีโอ “Look What You Made Me Do” ที่บอกเล่าเรื่องราวของเธอ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นนักร้องคันทรี่ จนกลายเป็นนักน้องที่มีชื่อเสียงและที่ได้รับรางวัลมากมายในปัจจุบัน
ภายในมิวสิกวิดีโอจะใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้มากมาย และบทความนี้จะเป็นการหยิบยกเอาฉากเด่น ๆ ที่สวิตฟ์แอบแฝงความหมายเอาไว้ มาขยายความให้ทุกคนได้ติดตามเรื่องราวไปพร้อม ๆ กัน
เริ่มเพลงมาเราจะเจอกับป้ายในสุสานที่เขียนไว้ว่า “ชื่อเสียงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ถูกฝังอยู่ที่นี่” เป็นการสื่อว่าสวิฟต์คนเก่าได้ตายไปแล้ว
หลังจากนั้นซอมบี้สวิฟต์จากเพลง “Out of the Woods” ในอัลบั้ม ‘1989’ ก็คลานออกมาจากหลุมศพเพื่อฝังสวิฟต์ที่อยู่ในชุดงานเดินพรมแดง Met Gala ปี 2014 และมีอีกหนึ่งจุดที่หากไม่เพ่งมาก ๆ ก็อาจจะไม่เห็นเลยอย่างป้ายหลุมศพที่เขียนชื่อเอาไว้ว่า ‘Nils Sjoberg’ นามปากกาที่เธอใช้ในการเขียนเพลง “This Is What You Came For” ร่วมกับอดีตแฟนหนุ่ม แคลวิน แฮร์ริส (Calvin Harris) แต่พอเลิกกันไปเธอก็ออกมาบอกว่าเธอเองก็มีส่วนในการแต่งเพลงนี้เช่นกัน
ฉากที่สวิฟต์นอนในอ่างที่มีแต่เครื่องประดับและเพชร เพียงแค่เห็นครั้งแรกเหล่าสวิฟตี้ก็อาจจะนึกออกทันทีว่า ฉากดังกล่าวล้อมาจากเพลง “This is How We Do” ของ เคที เพอร์รี (Katy Perry) แถมในอ่างยังมีธนบัตร 1 ดอลลาร์อยู่หนึ่งใบ สืบเนื่องมาจากสวิฟต์ชนะคดีล่วงละเมิดทางเพศกับอดีตดีเจวิทยุ เดวิด มุลเลอร์ (David Mueller) ซึ่งเธอก็เรียกค่าเสียหายแค่เพียง 1 ดอลลาร์ เพื่อสื่อว่าที่เธอฟ้องไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่ต้องการปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองต่างหาก
พูดถึงเพื่อนรักทั้งที ก็ต้องจัดหนักหน่อย! นอกจากฉากก่อนหน้านี้แล้ว สาวสวิฟต์ก็นำฉากรถชนเสาไฟ ที่คล้ายกับเพลง “Unconditionary” ของเพอร์รี มาใส่ในมิวสิกวิดีโอนี้อีกด้วย ซึ่งฉากทั้งสองต่างกันตรงที่สวิฟต์เปลี่ยนจากคนเป็นเสาไฟเท่านั้นเอง
หลังจากรถชนเสาไฟไปแล้ว สวิฟต์ก็นอนโพสท่าสวย ๆ ให้นักข่าวถ่าย แต่ทรงผมของเธอดันไปคล้ายกับเพอร์รีอีกแล้ว และที่แสบไปกว่านั้นคือการถือถ้วยรางวัลแกรมมี่ที่เธอเคยกวาดมามากมาย แต่เพอร์รีไม่เคยได้มันมาก่อน
สวิฟต์ชุดแดงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์และมีงูรายล้อม เป็นการสื่อถึงฉายาที่มีคนตั้งให้เธอว่า ‘นางงูพิษ’ ตอนที่มีดราม่ากับแรปเปอร์หนุ่ม คานเย เวสต์ (Kanye West) ก่อนหน้านี้สวิฟต์ไม่เคยออกมาปฏิเสธฉายานี้มาก่อน พอกลับมาคราวนี้ก็หยิบมาใช้โปรโมตเพลง ว่าฉันนี่แหละนางพญางูพิษตัวจริง อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือที่วางแขนมีการสลักประโยคภาษาละตินว่า “Et Tu Brute” ที่มาจาก จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ถูกเพื่อนรักหักหลัง
ฉากที่มีการปล้นธนาคาร ‘Stream.co’ แต่กลับเอาเงินมาเผา สื่อเป็นนัยไปถึงตอนที่มีข่าวว่า เธอถอนเพลงทั้งหมดออกจาก Spotify เพราะไม่พอใจเรื่องรายได้ กลับมารอบนี้สวิฟต์เลยเอาคืนข่าวลือนั้นว่า “ฉันนะเหรอพวกหิวเงิน งั้นก็เผาเงินทิ้งซะเลย” และบริเวณชายเสื้อที่เขียนว่า ‘BLIND FOR LOVE’ ก็มาจากช่วงที่เธอโดนเมาท์ว่า เวลาที่มีความรักจะหน้ามืดตามัวอยู่บ่อย ๆ
ห้องสีชมพูที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาหุ่นสวย หน้าปัง มาจากข่าวว่าเธอเลือกคบแค่เพื่อนที่เป็นนางแบบและเซเลบเพื่อสร้างภาพแก๊งนางฟ้า สาวสวิฟต์ก็เลยใส่ชุดหนังแล้วทำตัวเป็นจอมเผด็จการ เพื่อสื่อถึงอำนาจในการบงการของตัวเอง
ก่อนหน้านี้มีคนชอบแซะสวิฟต์บ่อย ๆ ว่าเธอเก่งแค่เรื่องการร้องเพลง กลับมารอบนี้เธอเลยเต้นโชว์บนส้นสูงให้ดูซะเลย แถมแดนเซอร์ด้านหลัง 8 คน แทนแฟนเก่าของเธอทั้ง 8 คน ได้แก่ โจ โจนาส (Joe Jonas), เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ (Taylor Lautner), จอห์น เมเยอร์ (John Mayer), เจค จิลเลินฮาล (Jake Gyllenhaal), คอเนอร์ เคนเนดี (Conor Kennedy), แฮร์รี สไตลส์ (Harry Styles), แคลวิน แฮร์ริส (Calvin Harris) และ ทอม ฮิดเดิลสตัน (Tom Hiddleston) และได้หยิบเสื้อที่ฮิดเดิลสตันเคยใส่ตอนไปเที่ยวทะเลจนกลายเป็นข่าว มาดัดแปลงเป็นเสื้อของแดนเซอร์ขำ ๆ กันไป
ส่งท้ายก่อนจบ จะมีฉากที่สื่อถึง เทย์เลอร์ สวิฟต์ คนเก่าได้ตายไปแล้วอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือฉากที่สวิฟต์ยืนอยู่เหนือสวิฟต์ในเพลงเก่า ๆ เพื่อสื่อว่านี่คือสวิฟต์คนใหม่ ไม่ใช่เจ้าแม่เพลงคันทรี่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ย้ำครั้งที่ 2 ด้วยฉากรับโทรศัพท์แล้วตอบกลับไปว่า
“ขอโทษนะคะ ตอนนี้ฉันคนเดิมมารับสายไม่ได้แล้วค่ะ”
“ทำไมหน่ะหรอ”
“อ๋อ ก็เธอตายไปแล้วน่ะสิ”
ก่อนจบมิวสิกวิดีโอก็ยังไม่พ้นแซะตัวเองในยุคก่อน ๆ แต่ที่เด็ดสุดคือสวิฟต์ที่มาจากงาน VMA 2009 ในงานนี้สวิฟต์ได้รับรางวัล Album of The Year แต่คานเยก็ขึ้นไปแย่งไมค์ในขณะที่เธอกำลังพูดขอบคุณ และพูดว่า “บียอนเซ่สมควรที่จะได้รับรางวัลนี้มากกว่าเธอ” ส่วนสวิฟต์ในเพลงก็พูดล้อข้อความที่เธอเคยโพสต์ไว้ในไอจีว่า “ฉันขอไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ได้ไหม” สุดท้ายแล้วสวิฟต์ทุกคนก็ตะโกนใส่เธอว่า “หุบปาก!!”
สวิฟต์ร้อยเรียงเรื่องราวดราม่าของตัวเอง ผ่าน “Look What You Made Me Do” ได้อย่างลงตัว นอกจากจะเป็นมิวสิกวิดีโอที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ชวนตั้งคำถามให้กับคนดูแล้ว ในอีกมุมหนึ่งยังเป็นผลงานที่สวิฟต์เอาคืนเหล่า haters ได้เจ็บแสบสุด ๆ ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส