หลังจาก Man Of Steel และ Batman V Superman ของแซค ชไนเดอร์ ได้เสียงตอบรับไปไม่ดีนัก ฮีโร่ตัวอื่นอย่าง Green Lantern ก็คว่ำ ดีซี คอมมิคส์ ก็เลยลองหนีมาเอาดีกับเหล่าวายร้ายดูบ้างซิ แต่ปัญหาก็อยู่ที่เหล่าวายร้ายที่เป็นที่รู้จักบนจอภาพยนตร์ก็มีเพียงแต่ โจ๊กเกอร์ ตัวเดียวเท่านั้น เหล่าตัวละครที่เหลือจึงจำเป็นต้องมาแนะนำตัวกันใหม่ หนังจึงต้องใช้เวลาช่วงต้นในการแนะนำตัวละครใหม่เหล่านี้ ว่าเป็นใครมาจากไหน ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ แบทแมน และอีก 1 ซูเปอร์ฮีโร่ได้โผล่มาแว๊บ ๆ ในฐานะแขกรับเชิญ
รอบนี้ดีซี ได้เดวิด อายเยอร์ ผู้กำกับและมือเขียนบทฝีมือดี มีผลงานน่าเชื่อถือในเครดิต เคยเขียนบท Fast And Furious (2001) , Training Day (2001) , S.W.A.T. (2003) กำกับ Sabotage (2014) , Fury (2004) เดวิดก็เลยได้รับคำเชิญเข้าสู่โลกซูเปอร์ฮีโร่ ด้วยความหวังที่จะเป็นผู้เปิดประตูแห่งความหวังบานใหม่ให้ดีซี เดวิดก็เลยเหมาทั้งกำกับและเขียนบทเองเลย ซึ่งก็เป็นงานหินที่ต้องเล่นกับตัวละครใหม่เกือบทั้งหมด หนังก็ดูเริ่มต้นจุดความสนใจได้ดีตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างแรกออกมา
เดวิด สามารถใส่ Suicide Squad เข้ามาเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง Batman V Superman กับ Justice League ได้อย่างเหมาะเหม็ง วางสถานการณ์ของสหรัฐในวันที่ขาดที่พึ่งอย่างซูเปอร์แมน อแมนดา วอลเลอร์ สมาชิกสภาระดับสูงเลยเอาเหล่าร้ายที่ถูกจับโดยเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มาตั้งเป็นหน่วยปฎิบัติการพิเศษไว้คอยรับมือกับเหล่าร้ายที่อาจโผล่มาในอนาคต ตรงนี้เราสังเกตได้ว่าตัวอย่างหนังและเรื่องย่อจะไม่เปิดเผยให้เราเห็นเลยว่า ตัวร้ายของเรื่องนี้เป็นใคร เหล่า Suicide Squad จะต้องไปเผชิญกับใคร ร้ายแค่ไหน ยิ่งสร้างความกระสันต์และความคาดหวังต่อคนดู และนี่ละถือว่าเป็นจุดที่น่าผิดหวังตัวใหญ่ของเรื่องเลย ไม่รู้จะเอาใครมาเป็นตัวร้ายก็หยิบเอาแถว ๆ นั้น เป็นตัวร้ายของเรื่องที่ถูกยัดเยียดเข้ามาให้จังหวะพอดีกับวันที่ฟอร์มทีมวายร้ายพอดี และดูมีความเป็นลิเกสูง จุดประสงค์ในการครองโลกดูเบาบาง ซีจีหยาบดูห่างชั้นกับซีจีระดับหนังทีวีอย่าง Game Of Thrones อย่างเห็นได้ชัด
เดวิด มีวัตถุดิบอยู่ในมือให้เล่นมาก กับบรรดาสมาชิก Suicide Squad ที่มีบุคลิกและความสามารถแตกต่าง แต่สุดท้ายเดวิด ก็เลือกที่จะดัน เดดช็อต และฮาร์ลีย์ ควินน์ ให้ลอยเด่นออกมาจากทีมแค่ 2 คน เดดช็อต ของ วิล สมิธ มีสถานะเหมือนเป็นผู้นำทีม เหตุเพราะ ทอม ฮาร์ดี้ ปฎิเสธไม่กลับมารับบท “เบน” แต่เลือกจะไปเล่น The Revenant แทน จากฉบับการ์ตูนที่ เบน เป็นหัวหน้าทีม Suicide Squad ก็เลยกลายเป็น เดดช็อต ไปแทน , ตัวเดดช็อต ได้ฉากขายเท่ ๆ อยู่หลายครั้ง และเป็นตัวละครที่ได้เวลาบนจอมากสุดมีภูมิหลังที่ไปที่มาและได้เป็นตัวเชื่อมกับแบทแมน
ส่วนฮาร์ลีย์ ควินน์ ของมาร์ก็อต ร็อบบี้ เห็นได้ชัดว่าแบกรับหน้าที่สำคัญของเรื่อง เพราะเป็นตัวละครฝ่ายหญิงคนเดียวในทีม ความเซ็กซี่ของเธอเป็นแม่เหล็กตัวหนึ่งในการดึงคนดู ภาระนี้ก็ถือว่าเธอทำหน้าที่ได้สำเร็จนะ ลีลายั่วยวนบทพูดกวน ๆ ที่คอยกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนในทีมก็สร้างเสียงหัวเราะได้ แต่กับความสามารถของเธอที่เรียกได้ว่า “ไม่ได้มีความสามารถพิเศษ” อะไรเลย แต่กลับได้ฉากโชว์เดี่ยวไปหลายฉาก ยิ่งเห็นได้ชัดว่าบทพยายามช่วยดันอย่างมาก เพราะภาระสำคัญอีกอย่างของ ฮาร์ลีย์ ควินน์ คือเป็นตัวเชื่อมกับโจ๊คเกอร์
โจ๊คเกอร์ ของจาเร็ด ลีโต เป็นโจ๊คเกอร์ที่ถูกตีความใหม่ โดยจาเร็ด อิงมาจากการ์ตูน “Arkham Asylum” เป็นโจ๊คเกอร์ที่มีความสะโอดสะองมีความบ้าและที่สำคัญจาเร็ดต้องแสดงให้คนดูเห็นว่าในความบ้าของเขาก็มีความรักต่อฮาร์ลีย์ ควินน์ และพยายามที่จะช่วยเธอออกจากคุกอยู่เสมอ ส่วนสมาชิกในทีมคนอื่น ๆ ทั้ง ไดอะโบล , คิลเลอร์ครอค , กัปตันบูมเมอแรง และ คาตานะ ตกอยู่ในสถานะตัวประกอบโดยสมบูรณ์แบบ มีฉากให้โชว์คนละเล็กละน้อย โดยเฉพาะตัวกัปตันบูมเมอแรงนี่ถึงกับต้องบอกว่า “ทีมนี้อยู่ได้โดยไม่ต้องมีเอ็ง” ความสัมพันธ์ ความผูกพันระหว่างตัวละครในทีมมีน้อย เช่นเดียวกับพัฒนาการของตัวละครที่มีให้เห็นแค่ตัว เดดช็อต เท่านั้น
หนังใส่ฉากแอ็คชั่นเดินหน้าเรื่องราวได้อย่างต่อเนื่อง มีพักคุยกันเล็กน้อย บทพยายามเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมได้โชว์ความสามารถพิเศษตัวเองคนละนิดคนละหน่อย แต่สิ่งที่หนังทำไม่ได้ คือความลุ้นระทึกเหล่าวายร้ายไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแข่งกับเวลาที่เราจะได้ร่วมลุ้นไปด้วยว่าจะรอดไหม ด้วยวิธีการอย่างไร? ฉากต่อสู้ยาว ๆ เป็นฉากเหล่าวายร้ายต่อสู้กับพวกลูกกระจ๊อก ที่กระจ๊อกม้ากมาก แค่ฮาร์ลีย์ ควินน์ เอาไม้เบสบอลแพ่นหัวก็ตายแล้ว
หนังคัดสรรเพลงคลาสสิคมาใส่เยอะมากทั้ง Seven Nation Army , Without Me , House Of Rising Sun , I Started A Joke และ Bohemian Rhapsody ถ้ามองข้ามช่องโหว่จากที่กล่าวมาได้แล้วตั้งใจเสพในฐานะหนังแอ็คชั่นซูเปอร์ฮีโร่เรื่องหนึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน ดูเอาสนุกได้เพลิน ๆ ในระดับหนังแอ็คชั่นทุนสูงเรื่องหนึ่ง ไปดูก็ไม่เสียดายตังค์ แต่ถึงพลาดก็ไม่น่าเสียดายเช่นกัน หนังมีฉากหลังเอนด์เครดิตที่ส่งต่อเรื่องราวไป Justice League เป็นฉากที่ไม่ต้องรอนานครับแค่ 2-3 นาทีก็ได้ดูแล้ว