สำนักข่าว The Guardian ได้รายงานว่า Walt Disney มีบัญชีผู้ใช้บริการสตรีมมิงของตนมากกว่า Netflix ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงยักษ์ใหญ่ของโลก
รายงานดังกล่าวระบุว่า Walt Disney มีบัญชีผู้ใช้บริการสตรีมมิง Disney Plus เมื่อไตรมาสที่ 3 ตามปีงบประมาณ 2022 ของบริษัทที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอีก 14.4 ล้านราย ซึ่งเป็นผลมาจากการฉายซีรีส์อย่าง ‘Obi-Wan Kenobi’ ของ Star Wars และ ‘Ms Marvel’ โดยเมื่อรวมกับ Hulu และ ESPN+ ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิงที่ Walt Disney เป็นเจ้าของ ทำให้รวมมีผู้ใช้ทั้งสิ้น 221.1 ล้านคน
จำนวนบัญชีบริการสตริมมิงดังที่กล่าวข้างต้นนี้ สูงกว่าจำนวนบัญชีของ Netflix ที่มีอยู่ 220.7 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขบัญชีของดิสนีย์และเน็ตฟลิกซ์มีวิธีการนับที่แตกต่างกัน ในอเมริกาดิสนีย์มีรูปแบบการสมัครสมาชิกที่เรียกว่า Disney Bundle คือสมัครทีเดียวได้ทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+ ซึ่งผู้ใช้ที่สมัครแพ็กเกจแบบนี้จะถูกนับเป็น 3 บัญชีตามข่าวข้างต้น ทำให้จำนวนผู้ใช้ทั้งหมดจริง ๆ ของดิสนีย์จะเป็นยอดที่ต่ำกว่าจำนวนบัญชีรวมกัน
นอกจากนี้ Variety ยังรายงานว่าในอเมริกา Disney+ สร้างรายได้ต่อผู้ใช้ (ARPU) ต่ำกว่า Netflix ราว 39% ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และในระดับโลก รายได้ต่อหัวของผู้ใช้ของดิสนีย์ก็ยิ่งต่ำลงไปอีก เพราะบริการ Disney+ Hotstar แบบที่เราใช้อยู่ในประเทศไทยนั้นเก็บค่าบริการต่ำกว่า Disney+ ต้นฉบับอีก โดย Disney+ Hotstar มีสัดส่วนผู้ใช้อยู่ราว 38% ของผู้ใช้ทั้งหมด ซึ่งเฉลี่ยแล้วสร้างรายได้ให้ดิสนีย์แค่ $1.2 หรือราว 44 บาทต่อคนต่อเดือน เทียบกับรายได้ที่เน็ตฟลิกซ์ได้ $8.83 หรือราว 322 ต่อคนต่อเดือนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะเห็นว่าต่างกันมาก
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Netflix ได้เปิดเผยว่าสูญเสียจำนวนผู้สมัครบริการไป 1 ล้านคน รวมถึงผลกำไรของบริษัทที่เติบโตน้อยลงเป็นครั้งแรก โดย Netflix นั้นมีแผนกระตุ้นรายได้ด้วยการเตรียมเปิดตัวบริการแบบมีโฆษณาที่มีราคาถูกกว่าบริการปกติของตน
อย่างไรก็ดี บริการสตรีมมิงของ Walt Disney นั้น สูญเงินไปราว 1,100 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 38,800 บาท เมื่อไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งได้ฉุดผลกำไรในภาคธุรกิจบันเทิงลงไป 32% ลงมาอยู่ที่ราว 1,400 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 49,400 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส