beartai BUZZ จะพาทุกคนไปคุยกับ เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ และ พลอย-ภัทรากร ตั้งศุภกุล 2 นักแสดงไทย จาก ‘Thirteen Lives’ หนัง 13 หมูป่า เวอร์ชันผู้กำกับรางวัลออสการ์ รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard) โดยวันนี้ทั้งคู่จะมาเผยประสบการณ์การเข้าฉากร่วมกับนักแสดงฮอลลีวูดตัวท็อปอย่าง วิกโก มอร์เทนเซน (Viggo Mortensen) และ โคลิน ฟาร์เรล (Colin Farrel) รวมถึงมาบอกเล่าโมเมนต์ประทับใจที่พวกเขาได้รับจากหนังเรื่องนี้
จำได้ไหมว่าตอนทั้ง 13 ติดถ้ำ พวกคุณทำอะไรอยู่
ศุกลวัฒน์: ตอนนั้นผมทำงานอยู่ จริง ๆ ผมไม่ได้ติดตามหรือว่าเป็นแฟนแบบตลอดเวลา แต่พอเริ่มมีคนเสียชีวิต ผมก็เริ่มสนใจแล้วว่า เฮ้ย! มันไม่ง่ายนะเนี่ย มันยากใช่ไหมเนี่ย หลังจากนั้นก็เริ่มเอาใจช่วย เริ่มดูว่าเขาจะช่วยกันอย่างไร ด้วยความเป็นเด็กวิศวกร ก็อยากจะรู้แบบว่าขั้นตอนต่อไปเขาจะทำกันอย่างไร?
ภัทรากร: ตอนนั้นพลอยจำได้ว่า พลอยก็อยู่กรุงเทพฯ กับคุณแม่แล้วค่ะ แล้วก็มีข่าว เด็ก ๆ ติดถ้ำขึ้นมา หนูกับแม่ยังคิดอยู่เลยว่าแบบ มันไม่น่าเป็นไปได้ที่จะช่วยเด็กออกมาทุกคนโดยที่มีชีวิตอยู่ เพรามันน่ากลัวมาก ซึ่งรอนก็ถามคำถามนี้ตอนออดิชันเหมือนกัน ว่า “เกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นทำอะไรอยู่” หนูก็บอกรอนว่า แบบจริง ๆ มันไม่มีหวัง 3 วันแรกมันก็น่าจะแบบมันต้องมีคนตายแล้ว แต่พอทุกคนเข้ามาช่วย แล้วทุกคนรอดมาหมดทุกคน มันเหมือนปาฏิหาริย์
มาอยู่ใน ‘Thirteen Lives’ ได้ยังไง
ศุกลวัฒน์: ผมก็ยังงงอยู่ตอนนี้ ว่าผมไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร คือมันเริ่มจากที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีการแคสต์นักแสดงอยู่ ด้วยความโชคดีที่ผมกำลังถ่ายทำซีรีส์อยู่กับพี่ปู สหจักร กับพี่อ้น นพพันธ์ แกก็มากระซิบผมว่า “เนี่ยทีมงานเขาอยากจะให้พี่เวียร์ไปแคสต์มาก” ผมก็ เอ้า! ได้ดิพี่ แล้วเขาก็ส่งบทมาว่าให้ผมไปแคสต์เป็นบทจ่าแซม ผมก็ เฮ้ย! นั่นคือคนที่เสียชีวิต ที่เรารู้กัน แล้วอย่างไร ต้องทำอะไร สุดท้ายผมก็มาแคสต์ แบบไม่รู้เรื่องเลยครับ มาด้วยบทที่เราได้รับแค่ไม่กี่ไดอะล็อก ตอนนั้นยังไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะได้ยินมาว่าคนไปแคสต์เยอะมาก เราก็คิดว่า ถ้าเขาอยากได้เราหรือว่าเราทำได้ดีพอเขาก็คงเลือก สรุปก็คือผมได้รับการตอบกลับ เขาขอคุยกับผม แล้วก็ให้ผมเล่นบทนี้อีกครั้งหนึ่งให้รอนดู
ภัทรากร: ตอนไปแคสต์ครั้งแรกตอนนั้นเหมือนพี่ผู้จัดการมาตามแบบ “เดี๋ยวมีหนังฝรั่งนะ รอน ฮาวเวิร์ด กำกับเขาเรียกไปออดิชัน” เราก็ ห๊ะ! อะไรนะ หนูจำได้ว่า หนูเคยดูหนังเขาเรื่อง ‘A Beautiful Mind’ ตอนนั้นก็แบบว่าหนังฝรั่ง ก็รีบไปเลยค่ะ
การทำงานร่วมกับ รอน ฮาวเวิร์ด
ภัทรากร: ตอนออดิชันครั้งแรก เจอเขาผ่าน Zoom ค่ะ เขาก็ชวนคุยก่อนว่า “ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง มีแฟนหรือยัง มีลูกหรือเปล่า” หนูก็แบบรอนที่ถามมานี่ ไม่มีสักอย่างเลย ขอโทษด้วย รอนก็เลยถาม “เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไหม” เราก็แบบ อ๋อ ไม่มีเหมือนกัน เขาก็ชวนคุยไปเรื่อย ๆ มันทำให้เราไม่ตื่นเต้นเลย เหมือนเราเจอคุณตาเหมือนคนในครอบครัวที่น่ารักอะ
เขาเป็นคนใจดีกับเรามาก เขาถามเราทุกอย่าง ถามแล้วก็รับฟังเราเสมอ แบบว่า โดยเฉพาะเรื่องในสคริปต์ เขาก็จะแบบว่า “พลอย แบบนี้ถูกไหม วัฒนธรรมไทยที่เป็นแบบนี้ เล่าแบบนี้ ถูกไหม” ถ้าเกิดมีไรผิด รีบแย้งเขาทันที รีบบอกเขาทันที แล้วก็เราอยากจะใส่อะไรเพิ่มเข้าไป บอกเขาได้เลย เขาจะจดไว้ให้ แล้วทำตามที่เราเสนอจริง ๆ อย่างเช่น ด้ายแดง กำไรสีแดง อันนี้แบบ หนูก็เสนอเขาไปเขาก็ทำ
ศุกลวัฒน์: เขาน่ารักมาก ไนซ์ เอะอะก็อะเมซิง พวกเราอะเมซิงทุกคนเลย แล้วก็เพิ่งจะได้มารู้ทีหลังว่า จริง ๆ แล้วเขาเลือกพวกเรามาอยู่แล้ว คือความรู้สึกแรกของผมก็คือมันใหม่กับผมมากเลย กับการทำงานใน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราชอบดูเบื้องหลังการทำงาน เราชอบดูหนัง เราก็คิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ๆ ตอนนั้นที่เรารู้สึกที่สุดก็คือ เราต้องทำตัวเองให้พร้อมที่สุดเพื่อให้เขาหยิบจับไปใช้ได้เลย นั่นคือสิ่งที่ผมคิด ด้วยความที่ไม่รู้จะไปคุยกับใคร เราก็คุยกับรอน รอนบอกดีเลย ผมก็คิดว่าอยากให้เวียร์คุยกับผมโดยตรงนี่แหละ ว่าเราจะพัฒนาบทของจ่าแซมไปในทิศทางไหน เรามองตรงกันว่าตัวละครเขาเป็นอย่างไร แล้วที่เหลือก็คือ หน้ากองเดี๋ยวเราว่ากัน ง่ายมาก แล้วพอไปเจอตัวจริง ๆ โอ้โฮ โคตรง่าย แล้วก็มืออาชีพ เร็ว ชัดเจน
เบื้องหลังบท ‘จ่าแซม’ และ ‘บัวหอม’
ศุกลวัฒน์: รอนบอกเลยว่าเขาอยากให้เราสร้างมันขึ้นมา เพราะเขาเห็นว่าบางอย่างที่คุณจะเป็น คนจริง ๆ ได้ อยู่แล้ว ไม่ต้องไป คือ ไม่จำเป็นต้องไปหาข้อมูลจริงมาทั้งหมด เวียร์ไม่ต้องไปคุยกับทางครอบครัว ผมไม่มีโอกาสได้คุยกับทางครอบครัวของจ่าแซมเลย แต่ผมจะเรียนรู้จากสิ่งที่เราเห็น ข่าวต่าง ๆ ผมเข้าไปดู โห เขายิ้ม เขาเป็นคนไนซ์ ผมบอกรอน ผมคิดว่าเขาเป็นคนไนซ์ รอนก็บอก “ยูก็เป็นไนซ์ เนี่ยยิ้มสิ ผมชอบรอยยิ้มคุณแบบนี้มาก ผมต้องการรอยยิ้มแบบนี้ในหนัง แค่นั้นแหละ” คุณเป็นคนที่พร้อมที่จะทำอะไรให้คนอื่นตลอดเวลา นั่นแหละคือจ่าแซมในรูปแบบของ ‘Thirteen Lives’
ภัทรากร: จริง ๆ เป็นไรที่ท้าทายมาก เป็นไรที่ห่างไกลจากตัวจริงของพลอยมาก เพราะว่าตัวบัวหอมเป็นคนไม่มีสัญชาติ และก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เราเตรียมตัวแบบว่า พลอยก็ไปไล่ดูข่าวที่มันเกิดขึ้น แล้วก็ดูทุกคลิป ทุกวิดีโอ ว่าแบบรีแอ็กชันตั้งแต่วันแรกจนถึงวัน สุดท้าย พ่อแม่ที่อยู่ตรงนั้นจริง ๆ เขามีรีแอ็กชัน เขามีความรู้สึกมีอารมณ์อะไรบ้าง? เราก็เก็บทุกโมเมนต์อันนั้นมาใช้ แล้วเราก็คุยกับแม่เรา คุยกับเพื่อนสนิทที่มีลูกก็แบบคุยกับเขาว่า ถ้าเกิดลูกติดถ้ำจะรู้สึกยังไง อธิบายให้พลอยฟังได้ไหมว่าแบบความรู้สึกมันเป็นยังไง เพราะเรื่องนี้มันลิงก์ได้ทุกคน ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะว่าถ้าเราลองคิดแบบว่า ไม่ใช่แม่ไม่ใช่ลูก แต่ว่าเป็นคนที่เรารักที่สุดในชีวิตคนหนึ่งของเราที่เขากำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาจะตายแล้ว ลองคิดว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย จะเข้าไปช่วยก็ไม่ได้ จะเข้าไปอยู่ด้วยเป็นเพื่อนก็ไม่ได้ จะไปตายด้วยก็ไม่ได้ ทำได้แค่แบบอยู่ไกล ๆ สุดท้ายเราก็ต้องทำการบ้าน ทำรีเสิร์ชทุกอย่างแล้วก็มาคุยกับรอน คุยกับพี่เรย์มอนด์ พัฒนวีรางกูล กับพี่บิลลี-วรกร ฤทัยวาณิชกุล ที่เป็นโปรดิวเซอร์คนไทย แล้วก็มาสร้างตัวละครนี้ร่วมกัน
เบื้องหลังการถ่ายทำซีนใต้น้ำ
ศุกลวัฒน์: ทุกวันที่เราเจอกันที่กองถ่ายกับรอน เขาก็จะพูดถึงซีนนี้ตลอด ว่าเราจะมาทำสิ่งนี้ด้วยกัน เขาพูดตลอดว่ามันสวยงาม ผมก็บอกว่ารอนอย่ากดดันผมนะ เขาจะชอบถามว่า “ยูโอเคกับการดำน้ำเองใช่ไหม?” ผมบอก ใช่ แล้วเขาก็เข้าไปคุยกับเซฟตี้ทีมว่า “เวียร์เขาโอเค เขาสบาย เขาดำน้ำเป็นกิจวัตรของเขาอยู่แล้วใช่ไหม” แล้วเราก็มานั่งคุย คือตอนที่เราถ่ายมันมี main unit กับ second unit ซีนที่ดำน้ำมันจะอยู่ใน second unit แล้วก็จะมี ชาร์ลี โครเวล (Charlie Croughwell) อีกคนหนึ่งที่เป็นผู้กำกับใต้น้ำทั้งหมดคู่กับรอน แล้วด้วยความที่ฉากมันถูกเซตขึ้นมาเสมือนจริงมาก น้ำอาจจะใสกว่าของจริง ตอนนั้นเขาก็บอกผมว่า “ยูทำยังไงก็ได้เหมือนยูหลับตาดำน้ำอะ เพราะยูไม่เห็นอะไร ชนก็คือชน เรามีเซฟตี้อะไรอยู่แล้ว” แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ รอนเขาบอกอยากให้เล่นเองทั้งซีน ผมบอกว่า ผมก็อยากจะเล่นเองทั้งหมด ก็โอเคงั้นเราเข้าใจตรงกัน เราก็ลุย 3 วันครับ วันละ 12 ชั่วโมง แค่ฉากการตายอันนี้ที่เราเห็นกันประมาณ 1 นาที
ฉากที่กดดันที่สุด
ภัทรากร: ฉากที่พลอยไปยืนเห็นลูกที่โรงพยาบาล ไปเกาะกระจก แล้วก็แบบ เห็นลูกเราปลอดภัยแล้ว นั่นคือฉากแรกที่พลอยถ่าย แล้วพลอยก็แบบเงอะงะแล้วอะ เริ่มแบบ เฮ้ยทำไมมันใหญ่มันดูแบบคนเยอะ สมาธิ สติไม่มีแล้ว จนแบบรอนก็สังเกตุเห็น จำได้ว่า ถ่ายไปประมาณ 2-3 เทคแรก เขาเดินมาบอกพลอยเลยว่า “พลอย ถ้าเกิดแบบ อยากพัก ไปใช้ห้องมอนิเตอร์เขาได้เลย” เพราะมันเป็นห้องเล็ก ๆ มืด ๆ เขาก็บอกไปทำสมาธิในนั้นได้ เรียกบิลลีไปด้วยได้ พลอยก็แบบพี่บิลลีช่วยพลอยหน่อย พี่บิลลีก็มาช่วย รอนก็บอกว่า อยู่ในนั้นได้เลยจนกว่าจะพร้อม รอนเขาใส่ใจ เขาสนใจ เขาแคร์ความรู้สึกเรามาก จนแบบพลอยก็แบบ จากที่แบบประมาทตื่นเต้นตกใจอะ มันหายไปเลย พอถ่ายได้เสร็จก็แบบเราก็ทำได้ รอนก็มาขอบคุณว่า “เธอก็ทำได้ดีมากเลยนะ ขอบคุณนะ” แล้วทุกครั้งที่พลอยถ่ายเสร็จก่อนจะกลับบ้านกลับที่พัก รอนก็มักจะเดินมาพูดว่า “ขอบคุณนะสำหรับ การทำงานหนักของเธอ เธอเหนื่อย ทำงานหนัก” เขาจะขอบคุณทุกครั้ง ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกแบบจากที่เราแบบเฮ้ย เราจะไปจะเป็นยังไง ฝรั่งจะดุไหม ฝรั่งจะอะไรอย่างนี้ไหม มันดีมากเลย เหมือนแบบ เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเขา แล้วเขาแคร์เราทุกอย่างเลย
โมเมนต์ประทับใจ
ภัทรากร: พลอยจำได้ว่า โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน (Joel Edgerton) เป็นคนหยิบยากันยุงให้พลอย แล้วพลอยไปฉีด พลอยก็คิดในใจว่าทำไมเขาใจดีจัง ส่วน วิกโก มอร์เทนเซน กับ โคลิน ฟาร์เรล ครั้งแรกที่เจอพลอยนี่แบบ เฮ้ยคิง อารากอร์น แล้วโคลินก็คือแบบว่าเป็นพ่อแบดบอยตั้งแต่ฉันเด็ก ๆ แล้ว ซึ่งพอเจอเขาครั้งแรก เขาน่ารักมาก เขาก็แบบชวนคุย “เป็นยังไงบ้าง มาเหนื่อยไหม รับบทเป็นอะไรเหรอ เอาน้ำไหม หิวน้ำหรือเปล่า” แล้วเราเป็นผู้หญิงคนเดียว ทุกคนก็จะดูแลเราเหมือนเป็นเจ้าหญิง แล้วพลอยได้เข้าฉากตอนจบกับพวกเขา ตอนนั้นรอนก็บอกว่า เนี่ยรู้สึกยังไงอยากกอดหรือเปล่า แล้วโคลินก็บอกว่า “why not” แล้วเขาก็แบบกางแขนให้พลอยเข้าไปกอดเขา พลอยก็แบบ โอ้ย ทำไมเขาน่ารักจัง แล้วก็ฉากหนึ่งที่ เอาด้ายแดงมาให้เขา จริง ๆ เขาไม่ต้องพูดซ้ำชื่อพลอยก็ได้ เพราะในบทไม่มี เขาก็แบบ อิมโพรไวซ์ขึ้นมา คือโคลินเขาเป็นคนที่ชอบอิมโพรไวซ์ตลอดเวลา ถ้าเกิดจะเลือกใช้ ไม่ใช้ไม่เป็นไร แต่เขาจะพัฒนาบทไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์นั้น ตามเซตนั้น ๆ เราก็ได้เรียนรู้จากเขาเยอะ
ศุกลวัฒน์: ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่ รอน วิกโก โคลิน โจเอล ทุกคนพูดกับนักแสดงไทยในวันที่เราไปกินข้าว เราทำอาหารไทยให้เขากิน พวกคุณแบบ พวกคุณสุดยอดนะ คือเขาบอกว่ามันเกินคาด เขาคิดว่าเขาน่าจะต้องใช้พลังงานในการที่จะทำให้เราเป็นนักแสดง แต่เขากลับบอกว่า “พวกคุณให้ผมได้เกินกว่าที่ผมต้องการ ผมขอบคุณ” แล้วก็ เขาบอกว่าพวกเรามีความสามารถจริง ๆ เขาได้เห็นแล้วว่านักแสดงไทยสามารถที่จะไปยืนเทียบเคียงในภาพยนตร์ฮอลลีวูด แล้วอยู่ในนั้นแบบดูไม่เคอะเขินเลย
เรียนรู้อะไร หลังจากแสดงหนังเรื่องนี้
ศุกลวัฒน์: พูดเป็นภาษาบ้าน ๆ คือ ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าผมจะได้ไปฮอลลีวูดหรืออะไร ผมแค่รู้สึกว่าพอผมกระโดดเข้ามาในอาชีพนี้แล้ว ตอนแรก ๆ ผมไม่ได้มีความสุขกับมันขนาดนี้ ผมยังแบบงง ๆ ว่าผมมาทำอะไร จากแบบเกือบไปเป็นวิศวกร ผมก็มาดุ่ย ๆ ของผม ผมไม่ได้พยายามที่จะเป็น แต่ผมแค่มีความสุขที่จะเป็น บางทีผมก็ไม่ได้สนุกนะ บางเรื่องผมเล่น ผมก็เล่นไป แต่ ณ ตอนนี้ หรือแม้แต่วันหนึ่งที่ผมได้ไปอยู่ในจุดที่หลาย ๆ คนคงฝันเอาไว้ แต่ผมไม่ได้ฝัน ผมว่าสิ่งที่ผมทำมา ที่ผมดูตัวเองว่าผมชอบไม่ชอบ ผมคอยสังเกตตัวเองตลอด มันเลยทำให้ผมไม่พลาดที่จะให้โอกาสตัวเอง ผมให้โอกาสตัวเอง ผมก็เลยได้โอกาสไปอยู่ตรงนั้น
ภัทรากร: มันมีอุปสรรคตลอดในการทำงาน มันขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด มันก็มีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นปกติ การทำงานของคน หลายครั้งก็คิดว่า “หรือเราแบบเราอาจจะไม่เหมาะที่จะอยู่ตรงนี้?” เราออกไปทำอย่างงานอื่นดีไหม กลับไปเส้นทางกฎหมายดีไหม หรือว่ากลับไปช่วยที่บ้านขายของดีไหม วันหนึ่งก็มานั่งถามตัวเองว่า งานที่เราชอบที่สุด ที่เราแบบ มีความสุขที่สุด คืองานการแสดง หนูอยากเป็นนักแสดงที่ดี เพราะว่าเราเลือกที่ทำงานนี้แล้ว เราก็ต้องทำให้ดี ไม่อยากไปกองแล้วก็แบบว่า เล่นไม่ได้ เพราะมันเคยเป็นแบบนั้นแล้ว แล้วหนูก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก หนูไม่อยากเป็นตัวถ่วงของกอง เราพยายามพัฒนาตัวเองมาตลอด เจอนักแสดงเก่ง ๆ ก็จะไปถามเขาว่า “เล่นยังไงเหรอคะ พี่สอนหนูได้ไหม” เราพยายามพัฒนาตัวเองมาตลอด เพราะฉะนั้นเราจึงมีความคิดว่าหนูต้องอยู่ให้ได้ และหนูจะรอให้ได้จนกว่าหนูจะเจอบทที่ใช่กับตัวเอง หรือหนูจะแบบไปไขว่คว้าสิ่งที่หนูต้องการให้ได้ เพราะฉะนั้น หนูต้องทำทุกอย่างเพื่อมาสนับสนุนในสิ่งนี้
ฝากผลงาน
ภัทรากร: หนังเรื่องนี้ จะถูกถ่ายทอดจากมุมมองของ รอน ฮาวเวิร์ด ผู้กำกับมือออสการ์ ที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ของโลก เราก็จะได้เห็นมุมมองว่าวัฒนธรรมไทยและการช่วยเหลือเด็ก ๆ ผ่านสายตาของคุณรอนจะเป็นอย่างไร ฝาก ‘Thirteen Lives’ บน Prime Video ด้วยค่ะ
ศุกลวัฒน์: ยังไงผมก็ฝากจ่าแซมด้วยนะครับ ตั้งใจดูนะครับผม มีหลาย ๆ ซีนมาก ๆ ที่ผมว่าเข้าถึงใจทุก ๆ คนแน่นอน ก็ฝากด้วยครับ ‘Thirteen Lives’
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส