ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ณ เวลานี้ ไม่มีซีรีส์เรื่องใดจะร้อนแรงเท่า ‘House of the Dragon’ และ ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ อีกแล้ว ซีรีส์เรือธงจากสองค่ายสตรีมยักษ์ใหญ่ HBO และ Amazon เรื่องความอลังการงานสร้างที่ทั้งสองค่ายต่างก็ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อให้งานออกมายอดเยี่ยมไม่ต้องพูดถึง เพราะสมดังใจแฟน ๆ ที่รอคอยไปเรียบร้อย ทั้ง CGI และ VFX ที่ทันสมัยทำให้จินตนาการของผู้กำกับไม่ถูกตีกรอบอีกต่อไป การดำเนินเรื่องที่แตกต่างสไตล์กัน ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบจากแฟน ๆ และผู้ชมทั่วไปว่าซีรีส์เรื่องไหนจะได้รับความนิยมชมชอบมากกว่ากัน โดยเฉพาะจากผู้ชมที่ไม่เคยชม และไม่รู้จัก ‘Game of Thrones’ และภาพยนตร์ไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ มาก่อน
ในต่างประเทศ ถึงขนาดมีการตั้งดีเบตของแฟนเดนตายทั้งสองฝั่ง ต่างฝ่ายต่างก็หยิบยกข้อเด่น ข้อดีของฝั่งตัวเองออกมาขิงอีกฝ่าย เราจะมาสรุปให้ว่าเขาเอาอะไรมาขิงใส่กัน
‘แฟนคลับแห่งมังกร’ พวกเขาบอกว่า…

‘House of the Dragon’ ออกอากาศทางช่อง HGO GO อัปเดตตอนใหม่ทุกเช้าวันจันทร์เวลา 08:00 น. ออกอากาศไปแล้ว 6 EP เรื่องราวกำลังเข้มข้น สงครามศึกสายเลือดชิงบัลลังก์เหล็กกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ และสิ่งที่แฟนเดนตายของซีรีส์นี้ในต่างประเทศ (ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่อ่านหนังสือในชุด ‘A Song of Ice and Fire’ จนจบหมดแล้ว และรู้เรื่องราวการดำเนินไปของเนื้อเรื่องทั้งหมด) ออกมาให้เหตุผลสนับสนุนว่าทำไมซีรีส์สุดที่รักของเขาจึงเหนือกว่า ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’
1. มาจากหนังสือที่เขียนจบแล้ว

พล็อตเรื่องดีกว่าเพราะมาจากหนังสือที่ถูกเขียนจบแล้ว ไม่ใช่การนำบางส่วนของเนื้อหาในหนังสือมาดัดแปลง หรือแต่งเนื้อเรื่องขึ้นใหม่เหมือน ‘The Ring of Powers’ และถึงแม้ว่าจะมีความดาร์ก ความโหดของเนื้อเรื่องอยู่ตลอด แต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้แฟน ๆ ชอบใจ และติดตามอย่างใจจดใจจ่อ
2. รวดเร็ว กระชับ แต่รายละเอียดไม่ตกหล่น

การดำเนินเรื่องรวดเร็ว กระชับ แต่ก็ไม่ตกหล่นในประเด็นสำคัญหรือรายละเอียดที่สำคัญของตัวละคร สามารถเล่าเรื่องราวได้สนุก และมีฉากแอ็กชันมันส์ ๆ มาให้ได้ตื่นเต้นตลอดในทุก EP ทำให้น่าติดตามมากกว่า และด้วยความที่หนังสือ ‘Fire & Blood’ ต้นฉบับต้นเรื่องที่ถูกนำมาทำบทภาพยนตร์นั้นได้ถูกเขียนจบลงเรียบร้อย แฟน ๆ ที่อ่านหนังสือจบแล้วจะดูหนังได้อย่างมีอรรถรสมากกว่า ‘The Ring of Powers’ ที่ถูกเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
3. ผู้แต่งเรื่องมีส่วนร่วมในทีมงานสร้าง

จอร์จ อาร์.อาร์. มาร์ติน (George R.R. Martin) มานั่งแท่นโปรดิวเซอร์ กำกับดูแลโปรเจกต์ด้วยตัวเอง แฟน ๆ จึงมั่นใจได้ว่า เขาจะไม่ให้ใครมากระทำย่ำยี ‘Fire & Blood’ จนผิดที่ผิดทางอย่างแน่นอน และด้วยเงินทุนที่มากกว่าสมัยที่สร้าง ‘Game of Thrones’ มาก ๆ ทำให้ทุกภาพในหัวของมาร์ตินถูกสร้างสรรค์ออกมาได้ใกล้เคียงจินตนาการของเขามากที่สุด จึงทำให้ซีรีส์นี้ขึ้นแท่นเป็น ‘เบอร์ 1’ ได้ไม่ยาก
‘ผู้ภักดีในแหวนแห่งอำนาจ’ กล่าวตอบกลับ …

‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ ออกอากาศทางช่อง Amazon Prime Video อัปเดตทุกวันศุกร์ ออกอากาศมาแล้ว 5 EP เรื่องราวบอกเล่าถึงต้นกำเนิดแห่งแหวน ก่อนจะมาถึงเหตุการณ์ในไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ โดยเนื้อเรื่องถูกแต่งใหม่ขึ้นมาทั้งหมด อ้างถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนจะเกิดพันธมิตรแห่งแหวนถึง 5,000 ปี
1. หยิบเหตุการณ์ก่อนที่จะสร้างตำนานแห่งแหวนมาขยายใหม่หมด


เรื่องราวถูกแต่งเติมขึ้นมาใหม่ โดยผ่านการคัดกรองจากบทภาพยนตร์ดัดแปลงที่เข้าร่วมนำเสนออื่น ๆ อีกหลายเรื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่านี่คือการเล่าเรื่องราวมิดเดิลเอิร์ธในยุคที่ 2 ก่อนเซารอนจะสร้างแหวนแห่งอำนาจได้อย่างสนุกสนานตื่นเต้น รายละเอียดของฉาก และสถาปัตยกรรมแห่งยุคกลางที่สวยงามอันยิ่งใหญ่สมในแฟน ๆ ที่รอคอย ด้วยการทุ่มทุนสร้างที่ทุบสถิติการใช้เงินสร้างซีรีส์ที่แพงที่สุดในโลก โดยไม่ต้องมีมังกรมาเป็นตัวดึงดูดผู้ชม
2. เรื่องราวดำเนินไปแบบช้า ๆ แต่มั่นคง

เน้นการดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปกับบทภาพยนตร์ที่ละเมียดละมัย อธิบายที่มาที่ไปของตัวละครได้ชัดเจน ปมหรือเนื้อเรื่องของตัวละครสำคัญแต่ละตัวถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียดที่สุด ไม่เหมือน ‘House of the Dragons’ ที่ดำเนินเรื่องข้ามเวลามากเกินไป เน้นบทภาพยนตร์ที่รุนแรงและสุดดาร์ก มีความโหดเหี้ยมอยู่ในทุกอณูของหนัง จนทำให้รู้สึกว่าเหมือนนั่งดูหนังสยองขวัญอยู่
3. ทุกเรื่องราววางแผนมาอย่างดี

จอห์น ดี. เพย์น (John D. Payne) และ แพทริก แม็กเคย์ (Patrick McKay) ผู้เขียนบท และโชว์รันเนอร์ของ Amazon เคยเปิดเผยว่า เรื่องราวทั้งหมดถูกวางแผนไว้อย่างดีเยี่ยมทั้ง 5 ซีซัน การกำหนดบทบาทของตัวละครทั้งหมดชัดเจน เรื่องราวจะดำเนินไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้แน่นอน และด้วยทุนสร้างมหาศาลจะสามารถเนรมิตรทุกสิ่งที่ผู้กำกับต้องการได้ ทำให้ซีรีส์นี้คือหนึ่งในความสมบูรณ์แบบของภาคแยก ‘The Lord of the Rings’
แล้วถ้าเป็นผู้ชมที่เพิ่งเคยชม และยังไม่รู้เรื่องราวการชิงบัลลังก์เหล็ก หรือเรื่องการผจญภัยของพันธมิตรแห่งแหวนเลยล่ะ

จากกระแสการตอบรับ รวมถึงบทวิจารณ์จากสื่อ และแฟน ๆ รวมถึงผู้ชมทั่วไป ‘House of the Dragon’ ออกจะได้เปรียบกว่าสักหน่อย เพราะการเดินเรื่องที่สั้นกระชับได้ใจความ ฉากการต่อสู้ที่โหดเลือดสาดมีมากมายทำให้กระตุ้นต่อมความมันส์ของผู้ชมได้มากกว่า และตัวละครสำคัญ “มังกร” ที่เป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้ชมหน้าใหม่ติดใจ และหลงเสน่ห์ของสัตว์ยักษ์เหล่านี้ได้ไม่ยาก ต่างจาก ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ ที่เดินเรื่องอย่างเชื่องช้า เพื่อให้ผู้ชมเก็บรายละเอียดเรื่องราวของตัวละครใหม่ให้มากที่สุด ฉากแอ็กชันสนุก ๆ ก็น้อยกว่าในตอนแรก ๆ จึงทำให้รสชาติของซีรีส์ทั้งสองเรื่องต่างกันอย่างมาก เหมือนต้มยำรสแซบ กับแกงจืดเต้าหู้หมูสับรสกลมกล่อม ที่แล้วแต่รสนิยม และความชอบของคนดู

ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนของซีรีส์ทั้งสองเรื่องคือเนื้อหาหลัก ‘House of the Dragon’ ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดยตรงจากหนังสือ ‘Fire and Blood’ พาเราย้อนไป 200 ปีก่อน‘Game of Thrones’ ดำเนินเรื่องไปในทิศทางของความขัดแย้งภายในตระกูลทาร์แกเรียน ที่ต่างก็หมายปองที่จะครอบครองบัลลังก์เหล็ก และสุดท้ายก็จบลงด้วยการนองเลือด และความตายที่น่าสยดสยอง ในขณะที่ ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ วาร์ปไป 4-5,000 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์พันธมิตรแห่งแหวน ไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ หยิบยกเหตุการณ์เพียงเสี้ยวหนึ่งมาเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ทั้งหมด และได้นำตัวละครเก่ามาใช้เป็นตัวดำเนินเรื่อง คือ กาลาเดรียน : มอร์ฟิดด์ คลาก (Morfydd Clark) เอลฟ์สาวผู้เก่งกาจออกตามล่าเซารอนผู้ชั่วร้าย โดยที่ยังคาดเดาความเป็นไป หรือจุดจบของเรื่องได้ยาก

แต่จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังจากที่ออกอากาศกันไปครึ่งซีซัน ‘House of the Dragon’ ถูกพูดถึงในแง่ความสนุก การดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว และกระชับ มีฉากแอ็กชันเรียกแขกมากมายตั้งแต่EP แรก มีมังกรที่น่าดึงดูด และเติมเต็มกับคำว่านิยายแฟนตาซีได้มากที่สุด ผู้ชมที่ติดใจก็จะกลายมาเป็นแฟน แฟน ๆ ก็จะไปศึกษาสืบค้นถึงที่มาที่ไปของตัวละคร หรืออาจจะย้อนกลับไปดู‘Game of Thrones’ เลยก็เป็นได้ นับว่าประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องรายได้ และได้แฟนพันธุ์แท้เพิ่มขึ้นอีกมากมายเลยทีเดียว

ในขณะที่ ‘House of the Dragon’ ฆ่ากันตายไปเป็นร้อย ๆ ศพเพียงแค่ 2-3 EP แต่ ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ ยังแนะนำตัวละครยังไม่ครบเลย ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อที่จะติดตาม บางคนถึงกับหยุดดูเพื่อที่จะรอดูรวดเดียวจนจบซีซันเลยก็มี แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีผู้ชมบางส่วนที่ยังคงให้ความสนใจและย้อนกลับไปศึกษาโลกของมิดเดิลเอิร์ธกันอยู่มากมาย อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า รสนิยมในการชมภาพยนตร์ของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน การที่จะเปรียบเทียบเพื่อหา ‘เบอร์ 1 ‘ ในยุทธภพนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะปัจจัยเรื่องกลุ่มเป้าหมายของผู้ชมนั้นแต่ละเรื่องล้วนมีไม่เหมือนกัน ส่วนที่เหมือนกันของทั้งสองเรื่องคือการนำสตรีเพศมาเป็นตัวเอก ตัวนำในการดำเนินเรื่อง ซึ่งจากที่ผ่านมาทุก EP ถือว่าสอบผ่านในระดับเกียรตินิยมกันทุกท่าน โดยเฉพาะเจ้าหญิงเรนีรา : มิลลี อัลคอก (Milly Alcock) ที่กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ชั่วข้ามคืนทันทีที่ EP แรกออกอากาศ


สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านมังกรสบายใจที่สุดคือเรื่องที่มาร์ตินมาคอยช่วยกำกับดูแลการผลิตให้เป็นไปตามทางของเขา เป็นที่ปรึกษาเวลาเกิดปัญหาบางอย่างในกองถ่ายในฐานะโปรดิวเซอร์ จึงทำให้แฟน ๆ สบายใจได้ว่าเรื่องราว และจินตนาการของพวกเขาไม่มีวันผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับแน่นอน แต่กับ ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ นั้น Amazon ทำได้เพียงนำ ‘The Lord of the Rings’ และ ‘The Hobbit’ มาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการเขียนบทเท่านั้น พวกเขาจะไม่สามารถนำหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกมากมายมาใช้ในการณ์นี้ได้เพราะเรื่องปัญหาลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง ‘The Silmarillion’ ซึ่งเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของจักรวาลโทลคีน และมีประวัติศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงในยุคที่ 2 ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ในซีรีส์พอดี นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง

บทสรุปสำหรับเรื่องนี้คือไม่มีใครเป็น ‘เบอร์ 1’ อย่างแท้จริง เพราะในโลกนี้คนชอบกินต้มยำแซบ ๆ กับ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ มีพอ ๆ กัน เรื่องรสนิยมความชอบเป็นเรื่องที่จะนำมาวัดกันไม่ได้เพราะหนังสองเรื่องนี้คนละสไตล์กันอย่างชัดเจนมาก ๆ บ้านมังกรเหมาะสำหรับผู้ชมที่ต้องการความตื่นเต้น แม้จะไม่เคยรู้จักจักรวาล ‘Game of Thrones’ มาก่อนก็สามารถสนุกสนานไปกับมันได้ แต่ ‘The Lord of the Rings : The Rings of Power’ ถ้าจะดูให้สนุกนั้นควรมีประสบการณ์กับหนังไตรภาคพันธมิตรแห่งแหวนมาก่อน ส่วนตัวผู้เขียนนั้นชอบกินทั้งต้มยำและแกงจืด เพราะฉะนั้นจึงชื่นชอบทั้งสองเรื่องอย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ ขอให้ชมภาพยนตร์กันด้วยความสนุกสนานครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส