ต้อนรับการกลับมาของ ‘Saw‘ ภาพยนตร์สยองขวัญในตำนาน ที่ Netflix จัดความสยองกลับมาเสิร์ฟให้แฟน ๆ สะพรึงกันอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้นำกลับมาทั้งหมด แต่ ’Saw‘ 1-5 และ ‘Spiral’ หนังภาคแยก ก็เพียงพอต่อการกระตุกต่อมผวาของแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี และเราจะมานำเสนอข้อมูลบางอย่างของภาพยนตร์ที่คุณอาจไม่เคยรู้ และมันอาจจะทำให้คุณประหลาดใจอย่างแรง
เปลี่ยนชื่อหนัง
‘Jigsaw’ ภาพยนตร์ในปี 2017 ที่ในตอนแรกเกือบจะได้ใช้ชื่อ ‘Saw: Legacy’ เนื่องจากหนังเรื่องนี้ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็นโบนัสตอบแทนให้กับแฟน ๆ เพราะในตอนแรกทางผู้สร้างตั้งใจจะปิดฉากแฟรนไซส์ด้วยภาพยนตร์เรื่อง ‘Saw 3D : The Final Chapter’ ปี 2010 นี้ แต่ในที่สุด ก็มี ‘Spiral’ ออกมาเมื่อปีที่แล้ว และยังมีแผนคลอด ‘Saw X’ ออกมาอีกในปี 2023 และดูทรงแล้ว ‘Saw’ คงมีหนังออกมาให้เราดูเรื่อย ๆ แน่นอน
ทางของ ‘Saw’
ในตอนแรกทีมงานสร้าง ‘Saw’ ภาคแรก คิดกันว่าจะใช้สไตล์ภาพให้เป็นเหมือนฟุตเทจที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิด เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังดัง ‘The Blair Witch Project’ ที่ใช้กล้องตัวเดียวถือด้วยมือถ่ายทำทั้งเรื่องถือว่าเป็นสไตล์ที่แหวกแนวมากในยุคนั้น จนมาถึง ‘Saw’ ถ้าได้ใช้สไตล์ใหม่ ๆ แบบนี้มันขายได้แน่นอน พวกเขาจึงเชื่อว่า ‘Saw’ ควรนำเสนอออกไปแบบนั้น ถึงแม้ว่าในที่สุดมันจะไม่ใช่สไตล์นั้นทั้งหมด แต่ ‘Saw’ ภาคแรกก็ขายได้จริง ๆ แถมยังขายดีเสียด้วย
ด้วยสไตล์ที่เปลี่ยนไปแต่ผู้ชมก็ยังแฮปปี้
ภาพยนตร์ ‘Saw’ จากความตั้งใจของผู้สร้างภาคแรกไม่ได้มีสไตล์ของหนังที่โหดเลือดสาด มีกับดักมฤตยูทั้งหลาย การแสดงออกถึงความรุนแรงเกินเบอร์แบบนี้อย่างที่เราเห็นจากหนังภาคต่อ ๆ มา ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันไม่ได้ตรงใจของผู้สร้างจากภาคแรกเท่าไร เพราะพวกเขาตั้งใจจะให้เป็นหนังที่เล่าเรื่องกดดันคนดูด้วยจิตวิทยา การบีบค้นทางสถานการณ์และอารมณ์ และมีตอนจบที่หักมุม แต่อย่างไรก็ตาม ‘Saw’ ก็คือ ‘Saw’ อยู่ดี เพราะไม่ว่าจะใช้การดำเนินเรื่องแบบไหน แฟน ๆ ก็ยังชื่นชอบและติดตามสนับสนุนมาโดยตลอด
สร้างสัมพันธ์เพื่อผลงานที่ดี
ใน ‘Saw 3’ โทบิน เบลล์ (Tobin Bell) และ ชอว์นี่ สมิธ (Shawnee Smith) ใช้เวลาหลายสัปดาห์ก่อนการถ่ายทำ ทำกิจกรรมด้วยกัน ออกทริปเที่ยวกินดื่มสนุกสนานร่วมกันมากมาย เพื่อความเนียนในความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่จะต้องถ่ายหนังด้วยกันนั่นเอง
ตั้งใจจะเปิดตัวแค่ออกวิดีโอเทปเท่านั้น
‘Saw’ ภาคแรกนั้นถ่ายทำด้วยงบประมาณที่จำกัดมาก ๆ ว่ากันว่าไม่เกิน 1 ล้านดอลลาห์เท่านั้น เพราะด้วยงบประมาณที่น้อยนิด และใช้เวลาถ่ายทำเพียง 18 วัน ทีมงานจึงไม่หวังสูงที่จะจัดการกับผลงานตัวเอง แต่สุดท้ายก็ปังไม่ไหว มีหนังภาคต่อตามมาอีกเพียบ
‘Saw’ ภาคที่โหดสุด ทั้งกับดักและความตาย!
‘Saw 3D : The Final Chapter’ ปี 2010 มี 11 กับดัก และมีคนตาย 27 ศพ นับว่าสูงที่สุดในแฟรนไซส์แล้ว
‘Saw’ ภาคที่ยาวที่สุด
‘Saw 3’ ปี 2006 มีความยาวของหนัง 108 นาที แต่คนตายยังไม่เยอะเท่า ‘Saw 3D : The Final Chapter’
แรงบันดาลใจในการสร้างตัวละคร
ลีห์ แวนเนลล์ (Leigh Whannell) ผู้เขียนบท และนักแสดงภาคแรก ผู้ในกำเนิดตัวละคร ‘Jigsaw’ กล่าวว่า มันเกิดจากการตื่นตกใจของเขาในการเข้าเครื่องสแกน MRI เพราะมันทำให้เขาคิดถึงคนที่จิตตกและสิ้นหวัง และกลับกลายมาเป็นคนจิตวิกลจริตเพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย
‘Saw 2’ กินนิ่ม
จากอานิสงส์ของ ‘Saw’ ภาคแรกทำให้ ‘Saw 2’ ปี 2005 เป็นหนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในแฟรนไซส์ทั้งในอเมริกา และที่แคนาดา คือลงทุนไปเพียง 4 ล้านดอลลาห์ แต่เรียกกลับมาได้ถึง 152 ล้านดอลลาห์!!!
ตุ๊กตาขี่จักรยานหน้าตาพิลึก ๆ คือ ออริจินัล
มันคือสิ่งที่ถูกกล่าวถึงและนำไปใช้ในทุกภาค ภาพจำตุ๊กตาปั่นจักรยานตัวเล็ก ๆ หน้าตาประหลาด ดูน่ากลัวน่าขนลุก แท้จริงแล้วคือไอเดียของ เจมส์ วาน (James Wan) ซึ่งเขาและทีมงานช่วยกันสร้างมันขึ้นมาจนเป็นไอคอนของหนังมาจนถึงทุกวันนี้
ภาคที่เตรียมงานสร้างยาวนานที่สุด
‘Saw 3D : The Final Chapter’ ปี 2010 ใช้เวลาไปทั้งหมดถึง 21 สัปดาห์ ในขณะที่ภาคอื่น ๆ เฉลี่ยแล้วใช้เวลาไปเพียง 9 สัปดาห์เท่านั้น เวลาที่เสียไปมากมายส่วนใหญ่จะหมดไปกับการใช้เทคนิคพิเศษสำหรับภาพ3มิติ ที่ต้องสอดคล้องและคิวเป๊ะกับการแสดงจริงของนักแสดงทั้งหมด
แฟรนไซส์ในแคนาดายืนหนึ่ง
มีแค่ ’Saw’ ภาคแรกในปี 2004 เท่านั้นที่ถ่ายทำในแคลิฟอร์เนีย ส่วนที่เหลือไปจัดการกันที่ ออนแทริโอ ประเทศแคนาดา
เปิดตัวมาก็ได้ ‘NC-17’ เลย
‘Saw’ ภาคแรกปี 2004 ถูกจัดเรตติ้งไว้ที่ NC-17 แม้ว่าทางทีมงานจะพยายามจะจัดการปรับปรุงเรื่องแสงและเสียงในหนังให้ได้เรต R แทนแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะฉากความรุนแรงเลือดสาดไม่ได้ถูกลดทอนลงไปเลย
‘Saw’ ภาค 1-5 และ ’Spiral’ ฉายแล้ววันนี้ทาง Netflix ใครอยากทบทวนความสยองก็เชิญทัศนากันได้ตามอัธยาศัย หริอใครที่ยังไม่เคยดูหรือดูยังไม่ครบทุกภาคแนะนำว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะใช้เวลาศึกษาความสยองขวัญขึ้นหิ้งเหล่านี้ แม้เวลาจะเปลี่ยนไปแต่ความคลาสสิกของ ‘Saw’ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ขอให้สนุกกับหนังในสุดสัปดาห์นี้ครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส