แอนเจลีน่า โจลี่ (Angelina Jolie) เผยสาเหตุที่แท้จริงในการหย่ากับ แบรด พิตต์ (Brad Pitt) หลังเก็บเงียบมานาน อีกทั้งพร้อมสู้ต่อในคดีฟ้องร้องการขายหุ้นและกรรมสิทธิ์ Château Miraval โรงกลั่นไวน์ในตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่ทั้งคู่เป็นเจ้าของร่วมกัน

ที่ผ่านมาโจลี่มักจะหลีกเลี่ยงการตอบสาเหตุที่แท้จริงในการหย่ามาตลอด ด้วยคำตอบว่า “ฉันตัดสินใจแยกทางกับสามีก็เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวของเรา และก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และทุกวันนี้ฉันก็ยังคงให้ความสำคัญต่อการเยียวยาจิตใจลูก ๆ ของฉันต่อไป”

แต่ในที่สุดโจลี่ก็ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่แท้จริงของการหย่ากับพิตต์เมื่อปี 2016 แล้วว่า ตอนที่อยู่บนเครื่องบินเธอกับพิตต์ทะเลาะกันและเริ่มมีการใช้กำลังเกิดขึ้น พิตต์เริ่มตะโกนใส่เธอ เขย่าหัวของเธอ จากนั้นก็จับไหล่แล้วเขย่าอีกครั้ง ก่อนจะผลักเธอใส่ผนังห้องน้ำ และพิตต์ยังบีบคอและตบหน้าลูก ๆ ของเธอ จนทำให้เธอและลูก ๆ มีบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ทางฝั่งของพิตต์นั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคนใกล้ชิดกับพิตต์ได้ออกมาปฎิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และบอกว่านี่เป็นเพียงความพยายามของโจลี่ที่ต้องการให้พิตต์เจ็บปวดและเสื่อมเสียชื่อเสียง ล่าสุดตัวแทนของพิตต์ได้กล่าวว่า “เรื่องราวมันมีวิวัฒนาการในทุก ๆ ครั้งที่เธอ (โจลี่) เล่าถึงมัน คำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูล แบรดจะรับผิดชอบความผิดทุกอย่างที่เขาทำ แต่เขาไม่มีทางยอมรับผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ข้อกล่าวหาใหม่นี้มันไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด”

เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากทั้งคู่หย่ากันไปได้ไม่นานก็เกิดการฟ้องร้องการขายหุ้นและกรรมสิทธิ์โรงกลั่นไวน์ขึ้น เนื่องจากโจลี่ได้ขายหุ้นในส่วนของเธอส่วนหนึ่งให้กับบริษัท Tenute del Mondo ในปี 2021 ทำให้ต่อมาพิตต์ได้ฟ้องโจลี่กลับ โดยอ้างว่าเธอได้ละเมิดข้อตกลงที่ว่า ‘จะไม่มีการขายหุ้นโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับทราบก่อน’

ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่โจลี่ก็ออกมาโต้กลับว่าไม่เคยตกลงกันแบบนั้น แถมเธอยังเคยพยายามที่จะขายหุ้นในส่วนของเธอแก่พิตต์แล้ว แต่กลับถูกพิตต์ขอให้ลงนามในข้อตกลงที่จะ ‘ไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศและการใช้อารมณ์ของพิตต์ต่อเธอและลูก ๆ ของพวกเขานอกชั้นศาล’ ซึ่งนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โจลี่ต้องเก็บเงียบถึงสาเหตุที่แท้จริงมาอย่างยาวนาน

คงต้องติดตามกันต่อไปว่าเรื่องการกระทบกระทั่งของอดีตสามีภรรยาคู่นี้จะจบลงที่ตรงไหน

ที่มา: CNN, The New York Times

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส