ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคนี้สมัยนี้ความบันเทิงภายในครอบครัวอย่างการนั่งดูหนังอยู่บ้านจากจอทีวี หรือสมาร์ตทีวีผ่านสตรีมมิงหลาย ๆ ค่ายนั้นเป็นที่นิยมกว่าการไปเสียเงินดูหนังในโรงหนังมากมายนัก เนื่องจากด้วยวิกฤตการณ์โรคระบาด ‘COVID : 19’ ช่วง 3-4 ปีมานี้ ที่ร้ายแรงคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายหลายสิบล้านคนทั่วโลก ยิ่งทำให้ธุรกิจภาพยนตร์นั้นซบเซากันถ้วนหน้าทั่วโลกเลยทีเดียว
ค่ายหนังและสตูดิโอต่าง ๆ เริ่มเล็งเห็นว่าสมรภูมิแห่งใหม่ในการฟาดฟันทำสงครามแย่งคนดูกันนั้นคือ ‘โทรทัศน์’ นี่เอง หลังจากนั้นก็เริ่มพากันขยับตัว ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เริ่มลงทุนกับซีรีส์มากขึ้นเพื่อให้คนดูสนใจ และหันมาติดตามผลงานของพวกเขากัน ไม่ว่าจะเป็นการนำแฟรนไซส์จากภาพยนตร์ดังมาสร้างเป็นซีรีส์ภาคแยก หรือภาพยนตร์รีบูต ซึ่งกระแสตอบรับของผู้ชมก็เป็นที่น่าพอใจมาก และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จินตนาการของผู้สร้างก็ไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป เพียงแค่มีงบประมาณมากพอ ทุก ๆ ค่ายที่มีสถานะทางการเงินดีเยี่ยมก็ไม่ลังเลที่จะหว่านเม็ดเงินลงไปเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด เข้าถึงและทำให้แฟน ๆ ผู้รับชมพอใจสูงสุด เราจึงเห็นซีรีส์มากมายที่ใช้งบประมาณในการสร้างสรรค์สูงมาก จนบางครั้งภาพยนตร์ดังบางเรื่องยังต้องชิดซ้าย เราจะไปดูกันว่า ณ ปัจจุบันนี้ 10 อันดับซีรีส์ที่ใช้เงินไปมากที่สุดนั้นมีเรื่องอะไรกันบ้าง
10. ‘Halo’ (2022-xxxx) : 10 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
จากเกมในตำนานของไมโครซอฟท์มากลายเป็นซีรีส์ที่สร้างสรรค์โดย Paramount+ ซึ่งฐานแฟน ๆ ของเกมนั้นมากมายอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากถ้าหากซีรีส์นี้จะเป็นที่นิยม แต่ก็มีเสียงจากแฟน ๆ หลายคนบอกว่าถ้าจะใช้งบประมาณมหาศาลขนาดนี้ในซีซันหน้าขอให้เน้นเรื่อง CGI ให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าระหว่างการถ่ายทำนั้นอยู่ในช่วงโรคระบาดพอดี อะไร ๆ ก็เลยติดขัดไม่สมบูรณ์ แต่พอเห็นชื่อ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ตำนานผู้กำกับ พ่อมดแห่งฮอลลีวูดมานั่งแท่นเป็นผู้อำนวยการสร้าง แฟน ๆ ก็เบาใจได้เพราะยังไงเสียเดี๋ยวซีซันหน้าท่านพ่อมดก็จะจัดการให้ได้สมใจแน่นอน
9. ‘The Crown’ (2016 -xxxx) : 13 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
ซีรีส์ย้อนยุคของ Netflix ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด เสื้อผ้า หน้า ผม พรอป และการคัดเลือกนักแสดง รวมถึงพิจารณาการเข้าร่วมของทีมงานในด้านอาร์ตไดเรกชัน ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่ใช้งบประมาณไปอย่างมากมาย แต่ผลที่ได้มันก็ชัดเจนว่าแฟน ๆ นั้นพอใจกับทุกสิ่งที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างสมจริง สวยงามตามแบบฉบับราชสำนักในสมัยนั้น ๆ
เงิน 13 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอนที่จ่ายไป กับความนิยมมหาศาลของแฟน ๆ ทั่วโลก บวกกับรางวัลมากมายที่ได้รับมา ทำให้ Netflix รู้สึกคุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์ที่เสียไป และจะดำเนินการแบบนี้ต่อไปเพื่อผลิตผลงานคุณภาพเยี่ยมสมใจแฟน ๆ ที่รอคอยซีซันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
8. ‘Game of Thrones’ (2011-2019) : 15 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
ซีรีส์ที่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ของ HBO ที่มีผู้คนให้ความนิยมสูงมากว่าด้วยเรื่องการแย่งชิงบัลลังก์ การก่อสงครามเพื่อครอบครองดินแดนของหลาย ๆ ตระกูลในแผ่นดินเวสเทอรอส ก่อให้เกิดกระแสนิยมมากมาย ทั้งตัวซีรีส์เอง หรือตัวละครหลาย ๆ ตัว อย่าง ‘จอน สโนว’ หรือแม่มังกรคลั่ง ‘แดเนอริส ทาร์แกเรียน’ ในช่วงแรกงบประมาณนั้นมีเพียงแค่ 5-6 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอนเท่านั้นแต่พอความนิยมเริ่มมากขึ้น สตูดิโอก็เพิ่มงบประมาณให้จนในซีซันสุดท้ายใช้ไป 15 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน กองถ่ายทำจึงได้มีงบประมาณในการออกกองในหลาย ๆ ประเทศระหว่างสหราชอาณาจักร ไปที่โครเอเชีย, ไอซ์แลนด์, สเปน, มอลตา, และโมร็อกโก ทำให้คุณภาพของฉากต่าง ๆ สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น
7. ‘See’ (2019 -2022) : 15 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
ซีรีส์ของ Apple+ ที่ว่าด้วยเรื่องของโลกในอนาคตที่มนุษย์จะสูญเสียประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นไป ดำเนินเรื่องโดยเด็กสองคนที่เกิดมาแต่กลับมองเห็นได้แตกต่างจากคนอื่น ๆ จึงนำพามาด้วยเรื่องราวมากมาย และในส่วนของงบประมาณที่เสียไปนั้นส่วนนึงคือค่าตัวของนักแสดง และบุคลากรต่าง ๆ เช่น เจสัน โมโมอา (Jason Mamoa) และ ผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Francis Lawrence) เป็นต้น
แต่ถึงกระนั้นทางด้านโปรดักชันอื่น ๆ ก็ใช้เงินไปมหาศาลไม่แพ้กัน เช่นการสร้างฉากที่จะต้องสูบน้ำทั้งหมดออกจากทะเลสาบขนาดใหญ่ของจริงแห่งหนึ่งในแวนคูเวอร์ เพื่อสร้างหมู่บ้านในฉากที่ใช้ในการถ่ายทำ และเติมน้ำกลับคืนเหมือนเดิมเมื่อถ่ายทำเสร็จ !
6. ‘The Mandalorian’ (2019 -xxxx) : 15 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
ซีรีส์ภาคแยกของมหากาพย์แห่งดวงดาว ’Star Wars’ ที่ใช้คนจริง ๆ แสดงเป็นครั้งแรกของ Disney+ เล่าเรื่องราวหลังจากภาพยนตร์ ‘Star Wars VI : Return of the Jedi’ ของนักล่าค่าหัวคนหนึ่ง เพโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) ที่ออกเดินทางไปกับเบบี้โยดาเพื่อเดินทางตามหาเผ่าพันธ์ุที่ยังเหลืออยู่ของเขา
งบประมาณที่ส่วนใหญ่จะจ่ายไปกับเทคนิคพิเศษต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่วิธีการถ่ายกับกรีนสกรีนแล้วนำไปผ่านกระบวนการสร้างฉากแบบดิจิทัลในคอมพิวเตอร์แบบทั่วไป แต่จะเป็นการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘สเตจ คราฟต์’ ซึ่งขะใช้จอ LED ความละเอียดสูงขนาดใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนฉาก หรือภูมิประเทศในการถ่ายทำนั้น ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้นักแสดงรู้สึกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น ๆ จริง ๆ
5. ‘The Pacific’ (2010) : 20 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
มินิซีรีส์ที่คุณภาพไม่เล็กตามชื่อ เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการสู้รบของทหารญี่ปุ่น และทหารอเมริกันในสมรภูมิหมู่เกาะปาเลา กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยชื่อชั้นของ ทอม แฮงก์ส (Tom Hanks) และ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) รวมถึงคอมโพเซอร์ระดับตำนานอย่าง ฮันส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดบรรยากาศของสมรภูมิรบได้อย่างสมจริงเหมือนกับภาพยนตร์ที่ใช้งบประมาณสูง ๆ เลยทีเดียว
4. ‘House of the Dragon’ (2022 -xxxx) : 20 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
ซีรีส์ภาคแยกของ ‘Game of Thrones’ ที่ปังสุด ๆ เมื่อทำลายสถิติมียอดคนดูถึง 10 ล้านคนใน EP แรกซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HBO เลยทีเดียว ซีรีส์นี้เล่าถึงเรื่องราวของอาณาจักรเวสเทอรอสในอดีต 200 ปีก่อนเกิดเหตุการณ์ใน ‘Game of Thrones’ ซึ่งอยู่ใต้อำนาจการปกครองของราชวงศ์ ‘ทาร์แกเรียน’ ตระกูลเก่าแก่สายเลือดวาเลเรียนที่สามาถเพาะพันธุ์เลี้ยงดู และฝึกมังกรเพื่อใช้ในการศึกได้ แต่ก็เกิดการช่วงชิงบัลลังก์กันเกิดขึ้นระหว่างทายาทในตระกูลทาร์แกเรียนกันเอง เกิดเป็นมหาสงครามนองเลือดในตำนาน ‘สงครามมังกรเริงระบำ’ และงบประมาณส่วนใหญ่หมดไปกับกระบวนการ CGI ของมังกรทั้งหลาย และฉากที่อลังการสมจริง และมีข่าวแว่ว ๆ มาว่าซีรีส์นี้จะมีด้วยกัน 4 ซีซันเลยทีเดียว
3. ‘WandaVision’ (2021) : 25 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
หลังจาก Disney+ เปิดตัวลงสู่ตลาดสตรีมมิงในปี 2019 ก็ได้ประกาศศักดาลงทุนสร้างซีรีส์ที่ต่อยอดจากภาพยนตร์ใน MCU มากมาย และใช้งบประมาณไปพอ ๆ กันที่ 25 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน เช่นเรื่อง ‘WandaVision’, ‘The Falcon and the Winter Soldier’, ‘Loki’, and ‘Hawkeye’ และล่าสุดที่เพิ่งจบไปอย่าง ‘She-Hulk : Attorney at Law’ ที่ใช้งบประมาณไปราว ๆ เดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าฮีโรจากจักวาลมาร์เวลทั้งหลาย ได้เข้าถึงผู้ชมทั้งบนจอภาพยนตร์ และบนจอทีวีอย่างทั่วถึง และทั่วโลก
2. ‘Stranger Things’ (2016-xxxx) : 30 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
ซีรีส์ไซไฟของ Netflix ที่เพิ่มความสยองพองขนขึ้นเรื่อย ๆ ดำเนินมาถึงซีซัน 4 กับเรื่องราวของการหายตัวไปของเด็กคนหนึ่งในเมือง ฮอว์กินส์ รัฐอินเดียนา ซึ่งไปเกี่ยวพันกับการปฏิบัติการลับของหน่วยงานต่าง ๆ โดยใช้บรรยากาศย้อนไปสมัยยุค 80’s ที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ตื่นเต้น และน่าติดตามตลอดทั้ง 4 ซีซัน และแฟน ๆ ต่างก็รอคอยซีซันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน
1. ‘The Lord of the Rings : Rings of Power’ (2022 -xxxx) : 58 ล้านเหรียญต่อ 1 ตอน
เพียงแค่ซีซันแรก Amazon Prime ก็ต้องใช้เงินไปถึง 465 ล้านเหรียญสำหรับ ‘The Lord of the Rings : Rings of Power’ ซึ่งมากกว่าภาพยนตร์ไตรภาคในตำนาน ‘The Lord of the Rings’ ที่ทั้ง 3 ภาคใช้เงินไปเพียง 281 ล้านเหรียญเท่านั้น ซีรีส์นี้เล่าเรื่องราวถึง 4-5,000 ปีก่อนที่ซอรอนจะสร้างแหวนแห่งอำนาจขึ้นมา เป็นเรื่องราวที่เขียนบทขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยยกเอาตัวละครหลักอย่าง ‘กาลาเดรียล’ เอลฟ์สาวผู้เก่งกล้าที่พยายามตามหาและจัดการกับจอมมารเซารอน ซึ่งรายละเอียดของฉากสถานที่ต่าง ๆ ที่สวยงามตระการตา เครื่องแต่งกายของแต่ละเผ่าพันธุ์ และเทคนิคพิเศษต่าง ๆ ถูกขนมาใช้แบบไม่อั้น จึงทำให้ซีรีส์นี้สมบูรณ์แบบสมกับคำว่านิยายแฟนตาซี และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส