หลังจากที่ เบรนแดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) อดีตพระเอกหนุ่มหล่อกลับมาแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงที่ได้รับคำชื่นชมจากผลงานการรับบทนำใน ‘The Whale’ หนังดราม่าของค่าย A24 ที่นอกจากจะทำให้เขากลับมาในวงการฮอลลีวูดได้อย่างสง่างามแล้ว ผลงานและเรื่องราวของเขาในอดีตก็ได้รับความสนใจใคร่รู้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
โดยเฉพาะบทบาท ริก โอคอนเนล (Rick O’Connell) ที่ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพนักแสดงของเขาในไตรภาคหนัง ‘The Mummy’ ที่เขาทุ่มเทกับการรับบทนี้ในทุก ๆ ฉากในระดับที่เรียกได้ว่าเคยเฉียดตายมาแล้ว จนทำให้ไตรภาคหนังมัมมี่ชุดนี้กลายเป็นตำนานหนังมัมมี่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด
แต่หลังจากที่เขารับบทนี้เป็นครั้งสุดท้ายใน ‘The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor’ (2008) เขาก็ห่างหายจากบทนี้ไปอย่างถาวร ก่อนที่ยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์ส (Universal Pictures) เจ้าของลิขสิทธิ์มัมมี่จะเอากลับมารีบูตใหม่อีกครั้งใน ‘The Mummy’ (2017) หรือที่รู้จักกันในเวอร์ชัน ทอม ครูซ (Tom Cruise) ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าเวอร์ชันนี้ล้มเหลวทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์
ล่าสุด เฟรเซอร์ได้ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Variety ฉบับล่าสุด ซึ่งนอกจากเขาจะเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังของการถ่ายทำหนังเรื่องล่าสุดอย่าง ‘The Whale’ แล้ว เขาเองยังได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับบทบาท ริก โอคอนเนล จากแฟรนไชส์ ‘The Mummy’ ด้วย รวมถึงยังได้แสดงความคิดที่เห็นต่อ ‘The Mummy’ ฉบับรีเมกด้วยว่า ทำไมเวอร์ชันนี้จึงแตะไม่ถึงความสำเร็จอย่างที่ต้นฉบับทำได้ ทั้งที่ตัวหนังมีหน้าหนังโดดเด่นด้วยดาราเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม ครูซ และทำการโปรโมตด้วยงบมหาศาล โดยเหตุผลหนึ่งที่เขาคอมเมนต์ต่อตัวหนังก็คือ ตัวหนังมันไม่สนุกและเหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวเอาซะเลย
“มันยากนะครับที่จะทำหนังเรื่องนั้นน่ะ ส่วนผสมที่เราต้องการอยากให้เป็นในมัมมี่ของเรานั่นก็คือความสนุกที่หนังเรื่องนี้ยังขาด มันเป็นหนังสยองขวัญที่ตรงไปตรงมาเกินไปหน่อย ตัวหนังควรจะมีลูกเล่นบางอย่างที่แปลกใหม่ น่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่ต้องไม่น่าหวาดกลัวจนเกินไป ซึ่งผมก็รู้ดีครับว่ามันทำโคตรยากเลย ผมต้องพยายามทำมันถึงสามครั้งเลยนะ”
‘The Mummy’ (2017) หรือหนังมัมมี่ฉบับ ทอม ครูซ ผลงานการกำกับโดย อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน (Alex Kurtzman) โดยเป็นหนังที่วางแผนให้เป็นหนังเปิดจักรวาลมืด หรือ Dark Universe ซึ่งเป็นจักรวาลหนังอสุรกายของยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์สเอง และนำแสดงโดยดาราแถวหน้า ทั้ง ทอม ครูซ, โซเฟีย โบเทลลา (Sofia Boutella) และ รัสเซล โครว์ (Russell Crowe)
แต่ถึงแม้จะได้ดารานำระดับแม่เหล็ก แต่ตัวหนังหลังฉายกลับได้คำวิจารณ์เชิงลบจากผู้ชมและนักวิจารณ์ คะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้ไปเพียง 15% และอีกสาเหตุของความล้มเหลวคือตัวหนังขาดทุนยับ จากทุนสร้างเกือบ 200 ล้านเหรียญ แต่กลับทำเงินทั่วโลกได้เพียงแค่ 410 ล้านเหรียญ เรียกได้ว่าเป็นทั้งหนังเปิดและเป็นหนังปิดจักรวาล Dark Universe ในคราวเดียวกันไปเสียอย่างนั้น
ส่วนดารานำอย่าง ทอม ครูซ ที่ล้มเหลวในการปลุกปั้น Dark Universe จึงได้จังหวะในการหันมาปลุกปั้นโปรเจกต์ใหม่ที่ตอนแรกไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการดำเนินการอย่างจริงจังนัก โปรเจกต์นั้นก็คือ ‘Top Gun: Maverick’ หนังภาคต่อของ ‘Top Gun’ (1986) จนทำให้ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งคำวิจารณ์และรายได้ในภายหลัง
หากย้อนไปตอนที่เฟรเซอร์ได้รับบทอดีตทหาร ริก โอคอนเนล (Rick O’Connell) ในหนังภาคแรก ‘The Mummy’ ที่ออกฉายในปี 1999 ในเวลานั้น ผู้กำกับอย่าง สตีเฟน ซอมเมอร์ส (Stephen Sommers) ต้องการจะให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีความสนุกสนานและไม่ได้เป็นหนังสยองขวัญเกรดบี แต่ถึงแม้ว่าค่ายหนังยูนิเวอร์แซล พิกเจอร์สจะคัดนักแสดงระดับ A List เพื่อมารับบทพระเอกนักบู๊ล่ามัมมี่ตั้งแต่ ทอม ครูซ, แบรด พิตต์ (Brad Pitt), ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone), ลีโอนาโด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio), แมทธิว แม็กคอนนาเฮย์ (Matthew McConaughey), และ เบน เอฟเฟล็ก (Ben Affleck)
แต่ในเวลานั้น ซอมเมอร์สกลับเลือกนักแสดงหนุ่มสายคอมเมดี้ที่ยังไม่เคยผ่านงานหนังแอ็กชันอย่างเฟรเซอร์มารับบทนำ เพราะเขามองว่านักแสดงรายนี้เอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือ เป็นคนที่มีความตลกในตัว ซอมเมอร์สมองเฟรเซอร์ว่าเป็นคนที่อารมณ์ดี ไม่อวดดีเย่อหยิ่ง และพร้อมทุ่มเททำทุกอย่างที่เขาต้องการให้ทำ สิ่งเหล่านี้ทำให้ตัวหนังภาคแรกมีภาพของความเป็นหนังแอ็กชันต่อสู้ปีศาจที่มีความสนุกสนานที่ดูได้ทั้งครอบครัว และประสบความสำเร็จด้านรายได้อย่างงดงามจนมีโอกาสได้สร้างภาคต่ออีก 2 ภาค
แม้ว่าเฟรเซอร์จะปิดฉากการรับบท ริก โอคอนเนล ในภาคสุดท้ายอย่าง ‘The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor’ (2008) ไปแล้ว แต่หลายคนก็อยากรู้ว่าถ้ามีการสร้างภาคที่ 4 หรือแม้แต่รีบูตจักรวาลมัมมี่ขึ้นมาอีกครั้ง เขาเองยังอยากกลับไปร่วมแจมในหนังเรื่องนี้หรือไม่ โชคดีที่เขาเปิดเผยกับ Variety ว่า เขาเองก็ยังยินดีที่จะพิจารณาเพื่อกลับไปแจมในหนัง ‘The Mummy’ อีกครั้งหนึ่ง โดยเขากล่าวว่า “ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่ผมก็ยังอยากจะเปิดใจนะ ถ้ามีคนชวนและมีบทที่ดีพอ”
ที่มา: Variety, Screen Rant
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส