แม้ว่าจะยังไม่เข้าช่วงเวลาปลายปีแบบเต็มตัวนัก แต่ก็น่าจะพอสรุปได้ว่า ตลอดทั้งปี 2022 นี้เป็นปีที่มีความน่าสนใจร่วมกันอย่างหนึ่งคือ เป็นปีแห่งการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า รียูเนียน (Reunion) ของวงการบันเทิงฮอลลีวูดอย่างชนิดที่เรียกว่าน่าบังเอิญอย่างแปลกใจ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็คือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นใจที่ได้เห็นความทรงจำในอดีตกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งในยุคปัจจุบัน
ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเจอะเจอกันมาแล้วทั้งในหนังและซีรีส์ แต่ทุก ๆ การรียูเนียนนั้นถือว่ามีความหมาย และแม้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งวัย และสิ่งต่าง ๆ แต่พอได้เห็นพวกเขากลับมารวมกันอีกครั้งหนึ่ง แม้หลาย ๆ ครั้งจะเป็นการเจอกันแบบสั้น ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นโมเมนต์ที่มีความหมายและน่าจดจำทั้งสิ้น และนี่คือ 10 โมเมนต์การรียูเนียนของเหล่าคนในฮอลลีวูดที่น่าประทับใจของปีนี้ที่อยากประมวลให้ได้ประทับใจกันอีกหลาย ๆ ครั้ง
แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) กับ คีฮุยควน (Ke Huy Quan)
เรียกว่าเป็นการหวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 38 ปีเลยก็ว่าได้ ระหว่างนักแสดงรุ่นเก๋า แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) วัย 80 ปี กับ คีฮุยควน (Ke Huy Quan) หรือ โจนาธาน คี ควาน (Jonathan Ke Quan) อดีตนักแสดงเด็กชาวเวียดนาม-อเมริกันวัย 51 ปี ที่ทั้งคู่เคยร่วมงานกันในหนัง ‘Indiana Jones and the Temple of Doom’ ที่ออกฉายในปี 1984 โดย ฟอร์ด รับบทเป็น อินเดียนา โจนส์ ส่วน ควน รับบทเป็น ช็อตราวนด์ (Short Round) จนต่อมา ทั้งคู่ก็มีเส้นทางในวงการบันเทิงแตกต่างกันออกไป ฟอร์ดกลายมาเป็นนักแสดงในตำนาน ส่วนควนเองในเวลานั้นก็กลายมาเป็นนักแสดงเด็กในช่วงทศวรรษ 1980
38 ปีต่อมา ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้งในงาน D23 Expo งานอีเวนต์ของ Disney ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยฟอร์ดเดินทางมาโปรโมตหนัง ‘Indiana Jones 5’ ที่วางไว้ว่าจะเป็นภาคสุดท้ายของเขา ส่วนควนมาในฐานะนักแสดงของ Marvel ที่ได้มีโอกาสแสดงในซีรีส์ ‘Loki’ ซีซัน 2 หลังจากแจ้งเกิดในวงการอีกครั้งได้อย่างสวยงาม จากการรับบทในหนัง ‘Everything Everywhere All at Once’
เอไลจาห์ วูด (Elijah Wood), ฌอน แอสติน (Sean Astin), โดมินิก โมนาแฮน (Dominic Monaghan) และ บิลลี บอยด์ (Billy Boyd)
แม้ว่าซีรีส์ฟอร์มยักษ์ ‘The Rings of Power’ กระแสจะแผ่ว ๆ ลงไปสักหน่อย แต่ก็ต้องถือว่าเป็นซีรีส์ที่สานต่อความยิ่งใหญ่จากจักรวาลตำนาน ‘The Lord Of the Rings’ และ ‘The Hobbit’ นั่นเอง และส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่นั้นก็คงหนีไม่พ้นเหล่านักแสดงทั้ง เอไลจาห์ วูด (Elijah Wood) เจ้าของบท โฟรโด แบ็กกินส์, ฌอน แอสติน (Sean Astin) เจ้าของบท แซมไวส์ แกมจี, โดมินิก โมนาแฮน (Dominic Monaghan) เจ้าของบท เมอร์รี และ บิลลี่ บอยด์ (Billy Boyd) เจ้าของบท พิพพิน
แม้ว่า 4 นักแสดงเหล่าพันธมิตรแห่งแหวนจะไม่ได้กลับมาในซีรีส์ และยังไม่ได้มีข่าวว่าจะกลับมาในจักรวาล The Lord Of the Rings อีกหรือไม่และเมื่อไร แต่หลังจากที่ทั้งสึ่คนได้เจอกันครั้งแรกใน ‘The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring’ มาตั้งแต่ปี 2001 อีก 21 ปีต่อมา พวกเขาก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในมื้ออาหารเล็ก ๆ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีภาพถ่ายที่โพสต์ลงใน Instagram ของโมนาแฮนเป็นสักขีพยานความเหนียวแน่นของเพื่อนซี้ทั้ง 4 คน
ไบรอัน แครนสตัน (Bryan Cranston) และ แอรอน พอล (Aaron Paul)
เรียกได้ว่าเป็นการมาที่นอกจากจะเซอร์ไพรส์ เป็นแฟนเซอร์วิสสำหรับคนดูซีรีส์ ‘Better Call Saul’ ซีรีส์สปินออฟมาจากจักรวาล ‘Breaking Bad’ ที่ว่าด้วยตัวละครทนายอาชญากรขั้นเทพ ซอล กู้ดแมน ได้แบบว้าวสุด ๆ แล้ว ยังเป็นการมาที่ถือว่าเหมาะสม และสมแก่การรอคอยด้วยประการทั้งปวงจริง ๆ สำหรับ ไบรอัน แครนสตัน (Bryan Cranston) เจ้าของบท วอลเตอร์ ไวต์ และ แอรอน พอล (Aaron Paul) เจ้าของบท เจสซี พิงก์แมน จากซีรีส์ ‘Breaking Bad’
ทั้งคู่มามาปรากฏตัวในซีซันที่ 6 ตอนที่ 11 ที่มีชื่อตอน ‘Breaking Bad’ ซึ่งมีเนื้อหาเชื่อมโยงไปถึงซีรีส์ ‘Breaking Bad’ ซีซัน 2 ที่มีชื่อว่า ‘Seven Thirty-Seven’ นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังแยกย้ายกันไปปรากฏตัวกันอีกคนละตอนด้วย โดยเจสซี พิงก์แมน มาปรากฏตัวในตอนที่ 12 ‘Waterworks’ และ วอลเตอร์ ไวต์ ปรากฏตัวในตอนที่ 13 ตอนสุดท้ายของซีซัน ‘Saul Gone’ และการมาปรากฏตัวของทั้งคู่ในครั้งนี้ไม่ได้มาเฉย ๆ เพราะยังมีการนำเอาเทคโนโลยี De-Aging หรือเทคโลยีการลดอายุใบหน้าของทั้งคู่ เพื่อเชื่อมโยงจักรวาลของทั้งสองเรื่องราวให้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (Daniel Radcliffe), รูเพิร์ต กรินต์ (Rupert Grint) และ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson)
ปี 2022 นั้นถือเป็นวาระพิเศษของเหล่าพอตเตอร์เฮดทั้งหลาย เพราะปีนี้เป็นวาระครบรอบ 20 ปีของ ‘Harry Potter and the Sorcerer’s Stone’ ที่ออกฉายในปี 2001 ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดจักรวาลภาพยนตร์พ่อมดน้อย แฮร์รี พอตเตอร์ (Harry Potter) ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนกลายมาเป็นจักรวาล ‘Wizarding World’ อันเกรียงไกร และยังแจ้งเกิดเหล่านักแสดงเด็กในเวลานั้นให้โด่งดังเป็นพลุแตกด้วย ทั้ง แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (Daniel Radcliffe) ในบทพ่อมดน้อย แฮร์รี พอตเตอร์, รูเพิร์ต กรินต์ (Rupert Grint) ในบท รอน วีสลีย์ และ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) ในบท เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พวกเขายังเป็นเพียงแค่กลุ่มเด็ก ๆ วัย 11 ปีที่ยอมสละชีวิตวัยรุ่นของพวกเขาให้กับการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่า พวกเขานี่แหละที่เติมเต็มความสดใสให้กับหนัง 2 ภาคแรกจนกลายมาเป็นที่ประทับใจของคนทั้งโลก และในอีก 20 ปีต่อมา พวกเขาในวัยหนุ่มสาวก็ได้กลับมาพบกับนักแสดงคนอื่น ๆ อีกครั้งในรายการพิเศษ ‘Harry Potter 20th Anniversary: Return to Hogwarts’ ของทาง HBO Max ที่ออกฉายเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสามคนที่ในเวลานี้กลายเป็นนักแสดงคุณภาพ ได้มานั่งล้อมวงเล่าระลึกถึงบรรยากาศการถ่ายทำ และความประทับใจในการทำงานร่วมกันในเวลานั้นกันอีกครั้ง
คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (Christopher Lloyd) และ ไมเคิล เจ ฟอกซ์ (Michael J. Fox)
อีกหนึ่งความประทับใจที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ คริสโตเฟอร์ ลอยด์ (Christopher Lloyd) วัย 83 ปี และ ไมเคิล เจ ฟอกซ์ (Michael J. Fox) วัย 61 ปี สองดารานำจากไตรภาคหนังไซไฟไอคอนของยุค 80’s ‘Back to the Future’ ที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง กลางงาน The New York Comic Convention หรือ New York Comic Con นับเป็นเวลา 37 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่ทั้งคู่เจอกันใน ‘Back to the Future’ ภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 1985
โดยงานนี้ เจ้าของบทบาท “ด็อก บราวน์” ดร.เอ็มเมตต์ บราวน์ (Dr. Emmett Brown) และ มาร์ตี้ แม็กฟลาย (Marty McFly) ได้กลับมาเจอกันแบบตัวเป็น ๆ อีกครั้งในรอบหลายปี สร้างความประทับใจให้กับแฟนหนังเป็นอย่างมาก แม้ว่า ไมเคิล เจ ฟอกซ์ เองจะเดินเหินไม่สะดวกเพราะต้องเผชิญกับโรคพาร์กินสันมาตั้งแต่ปี 1991 จนรับงานแสดงคิวยาว ๆ ไม่ค่อยได้ แต่เขาเองก็ยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อระดมทุนสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับโรคพาร์กินสันต่อไป ซึ่งก็มีข่าวดีว่า เขาเองกำลังจะได้รับรางวัลออสการ์สาขารางวัลกิติมศักดิ์ (Governors Awards) ในฐานะที่เขาทุ่มเทชีวิตให้กับวงการ และความมุ่งมั่นในการรักษาโรคพาร์กินสัน ซึ่งนับว่าเป็นรางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิตของเขา
อัล ปาชิโน (Al Pacino) และ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro)
ถ้าไม่นับเหตุการณ์ช็อกโลกตอนที่ วิล สมิธ (Will Smith) เดินปรี่ขึ้นเวทีไปตบหน้า คริส ร็อก (Chris Rock) ในงานประกาศผลรางวัล Academy Awards หรือ ออสการ์ (Oscars) ครั้งที่ 94 เมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ถือว่ามีซีนรียูเนียนหลายอันให้จดจำเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการปรากฏตัวโดยพร้อมเพรียงกันของสองนักแสดงรุ่นใหญ่ระดับตำนานทั้ง อัล ปาชิโน (Al Pacino) และ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ที่มาพร้อมกับผู้กำกับรุ่นใหญ่ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola)
ทั้งสามคนมาในฐานะของนักแสดงและผู้กำกับหนังเจ้าพ่อไตรภาคในตำนานอย่าง ‘The Godfather’ โดยทั้งปาชิโนและเดอ นีโร นั้นเคยร่วมงานกันใน ‘The Godfather Part II’ (1974) ที่ปาชิโนรับบทเป็น ไมเคิล คอร์ลีโอเน (Michael Corleone) เจ้าพ่อคนใหม่ต่อจากภาคแรก ส่วนอีกเส้นเรื่อง เดอ นีโร ในวัยหนุ่มแน่น ณ ตอนนั้นมารับบทเป็น วีโต คอลีโอเน (Vito Corleone) วัยหนุ่มช่วงกำลังเป็นเจ้าพ่อวัยรุ่นสร้างตัว
จอห์น ทราโวลตา (John Travolta),แซมมวล แอล แจ็กสัน (Samuel L. Jackson) และ อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman)
อีกซีนรียูเนียนในงานประกาศผลรางวัล Oscars ครั้งที่ 94 ที่เรียกได้ว่าเล่นเอาหลายคนกรี๊ดก็น่าจะเป็นาการปรากฏตัวร่วมกันของ จอห์น ทราโวลตา (John Travolta),แซมมวล แอล แจ็กสัน (Samuel L. Jackson) และ อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman) สามนักแสดงนำจากหนังคัลต์ในตำนาน ‘Pulp Fiction’ (1984) ผลงานการกำกับลำดับที่ 2 ของป๋า เควนติน ตารันติโน (Quentin Tarantino)
จะเรียกว่าเป็นการกลับมาโคจรพบกันอีกครั้งของคู่หูมือปืน วินเซนต์ เวกา (ทราโวลตา) กับ จูลส์ วินน์ฟีลด์ (แจ็กสัน) และเมียเจ้าพ่อ มีอา วอลเลซ (เธอร์แมน) ในรอบ 36 ปีเลยก็ว่าได้ พอกลับมารียูเนียนร่วมกันทั้งที เรียกได้ว่าซีนหนังมาเต็ม ทั้งช็อตที่เธอร์แมนและทราโวลตาเต้นรำเลียนแบบซีนที่ทั้งคู่เต้นในหนัง แถมตอนประกาศรายชื่อผู้ชนะสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ก็ยังมีกิมมิกด้วยการใส่ซองรายชื่อมาในกระเป๋าเรืองแสงแบบเดียวกับในหนังอีกต่างหาก จะเสียดายก็ตรงที่ บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) เจ้าของบทบาท บุตช์ นักมวยจอมระห่ำไม่ได้มาร่วมงานด้วยเพราะอาการเจ็บป่วย
ยวน แม็กเกรเกอร์ (Ewan McGregor) และ เฮย์เดน คริสเตนเซน (Hayden Christensen)
การรียูเนียนที่สำคัญที่สุดในปีนี้ของบรรดาแฟน ๆ จักรวาล Star Wars คงหนีไม่พ้นการกลับมาเจอกันอีกครั้งของอดีตลูกศิษย์อาจารย์ และศัตรูคู่แค้นที่มีเรื่องราวบาดหมางจนต้องแยกเส้นทางกันเดินใน ‘Star Wars: Episode II – Attack of the Clones’ (2002) ทั้ง ยวน แม็กเกรเกอร์ (Ewan McGregor) เจ้าของบท โอบีวัน เคโนบี และ เฮย์เดน คริสเตนเซน (Hayden Christensen) นักแสดงเจ้าของบท อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (Anakin Skywalker) ในซีรีส์ ‘Obi-Wan Kenobi’ ที่ปิดซีซันแรกไปได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
จนกระทั่งในอีก 20 ปีถัดมา ทั้งคู่ก็ได้กลับมารับบทบาทเดิมที่ทั้งคู่เคยรับไว้อีกครั้งในซีรีส์ ‘Obi-Wan Kenobi’ ของ Disney+ ที่ถือว่าเป็นการเติมเต็มเรื่องราวในไตรภาคต้นของ Skywalker Saga ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ใช่แค่แม็กเกรเกอร์ที่หวนกลับมารับบทปรมาจารย์โอบีวัน เคโนบีที่โด่งดังของเขาอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาครั้งสำคัญของ เฮย์เดน คริสเตนเซน ที่ห่างหายไปนานมากด้วย ทั้งในซีนย้อนอดีตฝีกดาบไลต์เซเบอร์ และในช็อตที่คริสเตนเซน ที่ได้ปรากฏตัวในบทบาท ดาร์ธ เวเดอร์ (Darth Vader) เป็นครั้งแรกอีกด้วย แม้ ณ ตอนนี้จะยังไม่มีข่าววี่แววว่าจะมีการสร้างซีซัน 2 ต่อมาอีกหรือไม่ แต่ทั้งคู่ก็ได้ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า ถ้าโอกาสนั้นมาถึง พวกเขาก็อยากกลับมารับบทบาทเดิมนี้อีกครั้ง
ลอรา เดิร์น (Laura Dern), แซม นีล (Sam Neill) และ เจฟฟ์ โกลด์บลูม (Jeff Goldblum)
เมื่อ 29 ปีก่อน สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) พ่อมดของฮอลลีวูดได้นำเทคนิคงานสร้างภาพยนตร์ที่ล้ำสมัย เนรมิตโลกยุคไดโนเสาร์ให้เกิดขึ้นจริงได้ในหนัง ‘Jurassic Park’ ที่ออกฉายในปี 1993 จนกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เขย่าขวัญคนทั้งโลกด้วยไดโนเสาร์ที่สมจริง และที่สำคัญ ตัวหนังยังเป็นจุดเริ่มต้นตำนานของ 3 นักแสดงอย่าง ลอรา เดิร์น (Laura Dern) ในบท ดร.เอลลี แซดเลอร์, แซม นีล (Sam Neill) ในบทดร.อลัน แกรนต์ คู่หูนักบรรพชีวินไดโนเสาร์ และ เจฟฟ์ โกลด์บลูม (Jeff Goldblum) ในบท ดร.เอียน มัลคอล์ม นักคณิตศาสตร์มาดเข้ม
ตัวหนังกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สืบต่อเนื่องมาอีกหลายภาค และยังสืบต่อเรื่องราวออกมาเป็นไตรภาคจูราสสิก เวิลด์ (Jurassic World) ที่ดำเนินมาจนถึงภาคสุดท้ายของไตรภาคในชื่อ ‘Jurassic World Dominion’ ความพิเศษของภาคนี้คงหนีไม่พ้นการกลับมารียูเนียนของสามนักแสดงในตำนานจาก ‘Jurassic Park’ ที่กลับมากันครบถ้วน ซึ่ง โคลิน เทรวอร์โรว์ (Colin Trevorrow) ผู้กำกับในภาคนี้ได้เผยว่า เขาได้วางแผนให้นักแสดงชุดคลาสสิกทั้งสามคนนี้ ได้มีแอร์ไทม์เท่าเทียมกันกับนักแสดงนำหลักอย่าง คริส แพร็ตต์ (Chris Pratt) ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด (Bryce Dallas Howard) ซึ่งในหนังก็เป็นจริงดังว่า เพราะแม้ว่าทั้งสามคนจะเป็นส่วนเสริมของตัวหนัง แต่ก็ยังคงมีเส้นเรื่องและแอร์ไทม์เป็นของตัวเองที่ถือว่าเยอะพอสมควร น่าจะทำให้แฟน ๆ ‘Jurassic Park’ หายคิดถึงไม่ใช่น้อย
ฮิว แจ็กแมน (Hugh Jackman) และ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds)
แม้ ‘X-Men Origins: Wolverine’ (2009) จะเป็นภาคหนึ่งในบรรดาหนังแฟรนไชส์ ‘X-Men’ ที่แฟน ๆ ไม่ค่อยอยากจะจำนัก โดยเฉพาะบทบาท เดดพูล (Deadpool) ที่ช็อตฟีล สุด ๆ แม้ว่า ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds) จะชอบ Deadpool มากแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเดดพูลในหนังเรื่องนั้นมันช่างปู้ยี่ปู้ยำเสียเหลือเกิน แม้ว่าจะยังเหลือความโหดและความเก่งไว้ แต่มันดันเป็นเดดพูลเวอร์ชันใบ้หน้าโหด เพราะฉะนั้นพวกมุกตลก ความเกรียน ๆ กวน ๆ หรือจังหวะการทลายกำแพงที่ 4 นี่คือลืมไปได้เลย แถมในหนังยังถูกตัดหัวแบบอนาถใจ จนหลายคนแทบอยากจะลืมเดดพูลเวอร์ชันนี้ไปให้สิ้นซาก
แน่นอนว่าต่อมา เรย์โนลด์ก็ทำสำเร็จในการล้างภาพนี้ออกไปด้วยหนังเดี่ยวทั้งสองภาคที่สร้างภาพจำนักฆ่าสุดเกรียนไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็อยากเห็นเดดพูล ปะทะกรงเหล็กอะดาแมนเทียมของ วูล์ฟเวอรีน (Wolverine) อีกครั้ง และต้องเป็นวูล์ฟเวอรีน เวอร์ชันเพื่อนซี้ ฮิว แจ็กแมน (Hugh Jackman) เท่านั้นด้วย แต่ด้วยความที่เจ้าตัวประกาศวางมือจากบทนี้ไปแล้ว คุณพี่เรย์โนลด์ก็เลยต้องตามตื๊อกันยกใหญ่ ถึงขนาดไปกางเต็นท์นอนหน้าบ้านก็ทำมาแล้ว จนในที่สุด เราก็จะได้เห็นเดดพูลปะทะวูล์ฟเวอรีนอีกครั้งใน ‘Deadpool 3’ ที่วางโปรแกรมฉายในวันที่ 6 กันยายน 2024
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส