เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) เป็นนักแสดงอีกคนที่เรียกได้ว่ามาแรงมาก ๆ ในยุคนี้ ทั้งหนังอินดี้ที่การันตีรางวัลมากมาย และเคยได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง ‘Silver Linings Playbook’ (2012) มาแล้ว ส่วนผลงานในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ เธอเองก็ประสบความสำเร็จกับบทบาท แคตนิส เอฟเวอร์ดีน (Katniss Everdeen) ในภาพยนตร์แฟรนไชส์ ‘The Hunger Games’ ที่ครองใจคนดูมาอย่างยาวนาน และกวาดรายได้บนบ็อกซ์ออฟฟิศไปได้อย่างมหาศาล
และก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ความสำเร็จของเธอในหนัง ‘The Hunger Games’ และการคว้ารางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิตของเธอในเวลาต่อมา ก็ส่งผลให้เธอเองก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของฮอลลีวูด และเกิดความคาดหวังอย่างมากในบทบาทที่เธอเองเลือกที่จะรับ รวมทั้งความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาหาเธอ และบทบาทหนึ่งที่เธอเคยเปิดเผยว่าเป็นการเลือกที่ผิดพลาดบทบาทหนึ่งนั่นก็คือการรับแสดงภาพยนตร์โรแมนติกไซไฟอวกาศเรื่อง ‘Passengers’ (2016) ที่เต็มไปด้วยคำวิจารณ์ในแง่ลบ
ซึ่งล่าสุด ลอว์เรนซ์ได้เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเธอบนเว็บไซต์ The New York Times โดยเธอได้ว่า ก่อนหน้าที่เธอจะตกลงปลงใจรับเล่นบทบาท ออโรรา เลน (Aurora Lane) ลูกเรือบนยานอวกาศในหนังไซไฟฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ก็มีคนที่คอยเบรกไม่สนับสนุนให้เธอรับบทบาทนี้ด้วย นั่นก็คือนักร้องสาว อะเดล (Adele) เพื่อนซี้ของลอว์เรนซ์นั่นเอง โดยเธอกล่าวว่า :-
“อะเดลบอกกับฉันว่า อย่าเล่นหนังเรื่องนี้เชียว เธอบอกกับฉันว่า ‘ฉันรู้สึกว่าภาพยนตร์อวกาศ มันก็ไม่ต่างอะไรกับหนังแวมไพร์ในยุคนี้นักหรอก’ ซึ่งฉันน่าจะฟังเธอตั้งแต่แรกนะ”
‘Passengers’ เป็นหนังไซไฟอวกาศ ผลงานการกำกับโดย มอร์เทน ไทล์ดัม (Morten Tyldum) ที่ว่าด้วยยานอะวาลอน (Avalon) ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังดาวอาณานิคม พร้อมกับลูกเรือที่กำลังจำศีล แต่กลายเป็นว่า มีผู้โดยสารชายหญิงคู่หนึ่ง นั่นก็คือ จิม เพรสตัน ที่นำแสดงโดย คริส แพร็ตต์ (Chris Pratt) และ ออโรรา เลน ที่นำแสดงโดยลอว์เรนซ์ กลับตื่นขึ้นระหว่างทางก่อนกำหนดและกำลังเผชิญกับวิกฤติเมื่อยานที่โดยสารกำลังจะล่ม
แม้ตัวหนังจะมีพล็อตแปลกล้ำ และหน้าหนังเด่นด้วยนักแสดงนำทั้งแพร็ตต์และลอว์เรนซ์ แต่กลายเป็นว่าตัวหนังกลับได้รับคำวิจารณ์ไปในทางที่ไม่ค่อยดี แถมยังขาดทุนเพราะทำรายได้บนบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกได้เพียง 303 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ประมาณ 110-150 ล้านเหรียญ และคะแนนวิจารณ์บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ก็ทำคะแนนมะเขือเน่าได้เพียงแค่ 30% เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ลอว์เรนซ์มองว่าเป็นบทบาทที่ค่อนข้างน่าผิดหวังที่สุดเรื่องหนึ่งนับตั้งแต่แฟรนไชส์ ‘The Hunger Games’ เป็นต้นมา
ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเคยเปิดใจว่า เธอมีความรู้สึกอิ่มตัว และคลางแคลงใจถึงความสำเร็จที่เธอได้รับตลอดชั่วระยะเวลาที่เธอประกอบอาชีพนักแสดง ประกอบกับตัวเธอเองที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงแถวหน้าคนหนึ่งในฟากฝั่งหนังบล็อกบัสเตอร์ ทั้งใน ‘The Hunger Games’ และที่เธอรับบท มิสทีก (Mystique) ในแฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร ‘X-Men’ ที่เธอใช้คำว่า มันทำให้ตัวเธอเองเริ่มสูญเสียการควบคุม เริ่มรู้สึกถึงความสูญเสียการแสดงในบทที่ดีอย่างที่เธออยากจะเป็น เธอเปรียบตัวเองเหมือนกับสินค้าชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง
นั่นเลยทำให้เธอตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับบริษัท CAA (Creative Artists Agency) บริษัทเอเจนซียักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดที่เธอร่วมงานด้วยมานับสิบปี ในระหว่างที่เธอกำลังถ่ายทำหนัง ‘X-Men: Dark Phoenix’ (2019) ในปี 2018 เพื่อก้าวขาออกไปเล่นหนังเล็ก ๆ และหนังอินดี้อีกหลายเรื่อง ทั้ง ‘Mother!’ (2017), ‘Red Sparrow’ (2018), ‘Don’t Look Up’ (2021) ภาพยนตร์ของ Netflix และหนังเรื่องล่าสุด ‘Causeway’ ที่จะฉายทาง Apple TV+ ในวันที่ 4 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ซึ่งเธอรับบทเป็นลินเซย์ ทหารผ่านศึกหญิงที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองหลังไปรับใช้ชาติที่อัฟกานิสถาน โดยเธอได้มีโอกาสเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังเรื่องนี้อีกด้วย
ที่มา: The New York Times, Variety, CNN, The Hollywood Reporter
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส