เดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ น่าจะเป็นเดือนที่สำคัญของผู้กำกับรุ่นใหญ่ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) เพราะนอกจากปี 2022 นี้จะเป็นปีที่ผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุดอย่าง ‘Avatar: The Way of Water’ จะเข้าฉายในวันที่ 16 ธันวาคมที่จะถึงนี้แล้ว วันที่ 19 ธันวาคม ก็ยังตรงกับวันที่หนังเรื่อง ‘Titanic’ (1997) เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ปีที่แล้วด้วย
นอกจากวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของคาเมรอน ที่ทำให้หนังกลายมาเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดแล้ว องค์ประกอบต่าง ๆ ก็ล้วนแต่ส่งเสริมให้ตัวหนังกลายมาเป็นหนังรักโรแมนติกดราม่าโศกนาฏกรรมที่ตรึงตาตรึงใจผู้ชมทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะเหล่านักแสดงคู่พระนางชู้รักเรือล่มอย่าง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ในบท แจ็ก ดอว์สัน (Jack Dawson) และ เคต วินสเลต (Kate Winslet) ในบท โรส เดวิต บูเคเตอร์ (Rose DeWitt Bukater) โดยเฉพาะพ่อหนุ่มลีโอ ที่ในเวลานั้นยังเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่เริ่มมีชื่อเสียงมาแล้วในระดับหนึ่ง จากหนังเรื่อง ‘Romeo + Juliet’ (1996)
แต่กว่าที่เขาจะได้มาปรากฏตัวในบทบาทของชายหนุ่มยากจนผู้เด็ดดอกฟ้าจนกลายเป็นตำนานและส่งให้เขากลายเป็นดาราระดับ A-List ได้นั้น เชื่อหรือไม่ว่า เขาเองก็เกือบจะทำโอกาสนี้หลุดลอย แถมเวลานั้นยังเป็นการเจอกันระหว่างเขากับคาเมรอนที่ดูประดักประเดิด เต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุพอสมควร
คาเมรอนเปิดเผยเรื่องนี้กับ GQ ว่า ในเวลานั้น เขากำลังอยู่ในขั้นตอนการออดิชันนักแสดงเพื่อมารับบทนำในหนัง ‘Titanic’ คาเมรอนเล่าว่า ตอนนั้นเขาได้เลือกวินสเลตมารับบทในหนังแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อก็คือ ต้องออดิชันเพื่อคัดเลือกนักแสดงชายที่มีเคมีตรงกันเพื่อมาเข้าคู่พระนางกับเธอ ซึ่งดิแคพรีโอก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนักแสดงที่คาเมรอนเรียกตัวไปออดิชันบท แจ็ก ดอว์สัน
“ผมจำได้ว่า ตอนเรียกลีโอ (ดิแคพรีโอ) ไปคุย ผมรอเขาอยู่ในห้องประชุม ตอนนั้นตลกมาก ผมมองไปรอบ ๆ ก็เห็นผู้หญิงเดินมามุงกันใหญ่เลย คือ Executive Producer หญิงอันนี้โอเค เข้าใจได้ แต่พนักงานบัญชีนี่เข้ามาประชุมด้วยทำไม ? ที่พวกเธอเข้ามาก็เพราะว่าอยากเจอลีโอ บ้าชิบ…ลีโอทำให้ทุกคนต่างหลงเสน่ห์ รวมทั้งผมด้วย”
“อีกสองสามวันต่อมา ผมนัดลีโอมาอีกครั้งเพื่ออ่านบทร่วมกับวินสเลต เขาไม่รู้ว่าผมจะทำ Screen Test ด้วย เขานึกแค่ว่าเข้ามาเจอกับเคตเฉย ๆ ผมก็เลยบอกว่า โอเค งั้นไปอีกห้องนะ ผมจะให้ลองพูดบทและถ่ายวิดีโอไว้ด้วย เขาก็เลยถามว่า ‘หมายถึงว่า ผมต้องอ่านบทด้วยเหรอ ? ‘ ผมตอบว่า ‘ใช่สิ’ เขาเลยบอกว่า ‘ผมไม่อ่านบทหรอกนะ’ “
ปฏิกิริยาของคาเมรอนต่อนักแสดงหนุ่มน้อยในตอนนั้นถึงกับตกใจไม่ใช่น้อย คาเมรอนจึงเดินเข้าไปจับมือกับเขาและพูดกับดิแคพรีโอเพียงสั้น ๆ ว่า “งั้นก็ ขอบคุณที่มาละกันนะ…” ก่อนจะหันหลังใส่
ดิแคพรีโอจึงถามเขาไล่หลังว่า “เอ่อ…เดี๋ยวนะ หมายความว่า กะอีแค่ผมแค่ไม่อ่านบท ผมก็จะไม่ได้รับบทง่าย ๆ แค่นี้เลยเหรอ ? “
ผู้กำกับจึงตอบนักแสดงไปว่า “ใช่ เพราะว่ามันเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่จะกินเวลาชีวิตผมไป 2 ปีเต็ม ๆ ซึ่งตอนผมทำ Post-Production นายอาจจะไปเล่นหนังเรื่องอื่นได้อีกสัก 4-5 เรื่องมั้ง เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ยอมปล่อยให้หนังเหี้- เพียงเพราะแคสต์นักแสดงผิดหรอกนะ ฉะนั้น นายอ่านบทซะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องเล่น”
นักแสดงหนุ่มจึงต้องยอมอ่านบทแบบฝืน ๆ เพื่อทำ Screen Test ต่อหน้ากล้อง แต่เพชรยังไงก็เป็นเพชร เพราะทันทีที่ดิแคพรีโอทำการแสดง คาเมรอนก็รู้ได้ทันทีว่าการแสดงของนักแสดงหนุ่มคือ แจ็ก ดอว์สัน ที่เขาตามหา “ตอนนั้นเหมือนว่าร่างกายทุกส่วนของเขามีแต่แง่ลบ แต่พอผมสั่งว่า ‘แอ็กชัน’ การแสดงของเขากับเคตมันเหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆทะมึน อยู่ดี ๆ ก็มีแสงส่องลงมา ทำให้แจ็กเต็มไปด้วยความสว่างไสว ผมก็เลยบอกว่า ‘เอาคนนี้แหละ’ “
แต่กว่าที่ดิแคพรีโอจะได้มีโอกาสแจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ และกลายมาเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดมาจนถึงทุกวันนี้ เขาเองก็ต้องฝ่าอุปสรรคบรรดานักแสดงแถวหน้าที่เกือบจะได้รับบทนี้มากมายหลายคน แต่เดิมทีแล้ว สตูดิโอเจ้าของหนังอย่าง ทเวนตีเซนจูรีฟ็อกซ์ (20th Century Fox) นั้นอยากได้นักแสดงแถวหน้ามารับบท แจ็ก ดอว์สัน มากมายหลายคน ทั้ง แบรด พิตต์ (Brad Pit), ทอม ครูซ (Tom Cruise), บิลลี ครูดัป (Billy Crudup), สตีเฟน ดอร์ฟ (Stephen Dorff) ซึ่งนักแสดงหลายคนก็ถูกคาเมรอนปฏิเสธไปเพราะเหตุผลที่ว่าอายุมากเกินกว่าจะรับบทหนุ่มน้อยวัย 20 ปี ส่วนครูซเองทีแรกก็สนใจบทนี้ แต่ด้วยค่าตัวสูงเกินไปก็เลยชวด
และนักแสดงที่เกือบจะได้รับบทนี้แบบฉิวเฉียดก็มีทั้ง จาเล็ด เลโต (Jared Leto) ที่คาเมรอนเสนอบทให้พิจารณา แต่เขาก็ปฏิเสธการออดิชัน จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ก็เป็นอีกคนที่ปฏิเสธบทนี้ (ก่อนจะไปเป็นกัปตัน ‘แจ็ก’ สแปร์โรว์แทน) รวมทั้งเจเรมี ซิสโต (Jeremy Sisto) ที่เคยมีโอกาส Screen Test กับวินสเลตไปแล้ว และนักแสดงอีกคนที่มาแรงมากก็คือ แมทธิว แม็กคอนนาเฮย์ (Matthew McConaughey) ที่เคยออดิชันบทกับวินสเลตไปแล้ว และทางค่าย Fox เองก็ชอบเคมีระหว่างเขากับวินสเลตมาก ๆ
แต่สุดท้ายก็อย่างที่ทราบว่า ดิแคพรีโอก็ได้บทนี้ไปในที่สุด ด้วยเหตุเพราะเขาเองตอนนั้นเพิ่งอายุแค่ 21 ปี ใกล้เคียงกับอายุของแจ็ก ดอว์สันในเรื่อง และด้วยฝีมือการแสดงที่ฉายแสงโดดเด่น ทำให้ไม่ว่าค่ายจะเสนอดาราคนไหน คาเมรอนก็ขอยืนกรานว่า บทนี้ต้องเป็นของดิแคพรีโอเท่านั้น และอย่างที่ทราบอีกว่า ตัวหนังประสบความสำเร็จในระดับมหาศาล ทำรายได้รวมมากถึง 2,200 ล้านเหรียญ ติดทำเนียบหนังทำเงินสูงที่สุดในโลกอันดับ 3 กวาดรางวัลออสการ์ได้มากถึง 11 สาขา ดิแคพรีโอและวินสเลตกลายเป็นคู่ขวัญ ‘แจ็ก-โรส’ ที่โด่งดังไปทั่วโลก
นอกจากความหล่อของเขาในบทบาทหนุ่มน้อยบนเรือไททานิก ที่ทำให้สาว ๆ ทั่วโลกต่างกรี๊ดกร๊าดและหลงไหลจนเป็นปรากฏการณ์ ‘Leomania’ ในเวลานั้นแล้ว ฝีมือการแสดงของเขาก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม จนได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ทั้งเวทีรางวัลออสการ์ และลูกโลกทองคำ แม้ว่าจะไม่ได้คว้ารางวัล แต่ก็เรียกได้ว่า ‘Titanic’ คือหนังที่แจ้งเกิดให้เขากลายมาเป็นนักแสดงคุณภาพของฮอลลีวูดได้จนถึงทุกวันนี้
ที่มา: GQ, CNN, Variety, Wikipedia
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส