ในชีวิตคนเราย่อมพบเจอช่วงเวลาที่ผิดพลาด จากการทำอะไรที่ต้องเสียใจในภายหลังหรือการตัดสินใจทำอะไรที่ผิดพลั้งลงไป สุดท้ายหากเราไม่ดื้อจนเกินไปเรื่องเหล่านั้นก็คงจบลงในฐานะบทเรียนอันมีค่าให้เราได้เรียนรู้ เรื่องราว 10 เรื่องสุดพลั้งพลาดในประวัติศาสตร์ดนตรีนี้อาจเป็นอุทาหรณ์ดี ๆ ให้กับบรรดานักดนตรีหรือเรา ๆ ให้ได้เรียนรู้
ประโยคเด็ด The Beatles “เรายิ่งใหญ่กว่าพระเยซู” (1966)

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1966 จอห์น เลนนอน (John Lennon) กำลังให้สัมภาษณ์กับมอรีน คลีฟ (Maureen Cleave) นักข่าวของหนังสือพิมพ์ในลอนดอน ‘ดิอีฟนิงสแตนดาร์ด’ (The Evening Standard) เลนนอนได้คะนองปากและไปแตะประเด็นเรื่องศาสนาเข้า “ศาสนาคริสต์จะหายไปในวันหนึ่ง” เขากล่าว “มันจะเสื่อมความนิยมลงและหายไปในที่สุด ผมไม่จำเป็นต้องเถียงเรื่องนี้ ผมพูดถูกและผมจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง แค่ตอนนี้เราเป็นที่นิยมมากกว่าพระเยซูแล้ว ผมไม่รู้ว่าอะไรจะไปก่อนกัน ระหว่างร็อกแอนด์โรลหรือศาสนาคริสต์” ความคิดเห็นนี้อาจไม่ได้กระตุ้นความปั่นป่วนในอังกฤษมากนัก แต่ในอเมริกาแล้วถือว่าหายนะเลยทีเดียว เมื่องานเพลงของพวกเขาข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาที่อเมริกา สถานีวิทยุทั่วภาคใต้สั่งแบนเพลงของเดอะบีทเทิลส์ และยังมีงานหนึ่งที่เวย์ครอส รัฐจอร์เจีย ซึ่งแผ่นเสียงของบีเทิลส์ถูกเผาในกองไฟ และเมื่อพวกเขามาถึงอเมริกาในอีกไม่กี่เดือนต่อมา พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงครั้งใหญ่ นอกจากนี้การแสดงบางรายการยังมีที่นั่งว่างเต็มไปหมด ไม่มีใครยอมซื้อตั๋วมาดูวงดนตรีที่ดังกว่าพระเยซูวงนี้เลย มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสลดสังเวชใจสำหรับทั้งวง และตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ไม่ได้ออกทัวร์อีกเลย
The Rolling Stones จ้าง Hells Angels มาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเทศกาลร็อกของพวกเขา (1969)

The Rolling Stones ทำผิดพลาดมากมายเมื่อพวกเขาตัดสินใจปิดการทัวร์อเมริกาในปี 1969 ด้วยฟรีคอนเสิร์ตในแคลิฟอร์เนียซึ่งตั้งใจจัดออกมาสไตล์แบบเทศกาลดนตรี Woodstock ความพลาดของพวกเขานั้นมีหลายประการตั้งแต่พยายามจองสถานที่จัดที่ Golden Gate Park โดยที่ไม่มีทั้งเวลาหรือกำลังคนที่เพียงพอ ทำให้ต้องย้ายที่จัดในนาทีสุดท้ายไปที่ Altamont Speedway แต่ปัญหาก็ยังไม่จบและตามมาด้วยปัญหานานาประการทั้งไม่มีห้องน้ำหรืออาหารที่เพียงพอเพื่อรองรับฝูงชน และสร้างเวทีสูงจากพื้นเพียง 39 นิ้วเท่านั้น ความผิดพลาดประการสุดท้าย (ซึ่งเป็นประการใหญ่ที่สุด) นั่นคือการที่พวกเขาจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาล้อมเวที และสิ่งนี้นำไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือการนำแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดเถื่อนที่สุดในวงการอย่าง ‘Hell Angles’ มาดูแลความปลอดภัยซึ่งกลายเป็นผู้สร้างความไม่ปลอดภัยขึ้นมาเสียเอง การตัดสินใจดังกล่าวถูกแย้งจาก Grateful Dead หรือ Jefferson Airplane แต่ The Rolling Stones ก็ไม่สนใจคำเตือนและทำตามแผน สิ่งนี้นำไปสู่การเสียชีวิตของแฟนคลับ เมเรดิธ ฮันเตอร์ (Meredith Hunter) ด้วยน้ำมือของเหล่าแก๊งซิ่งสุดเถื่อน และตามมาด้วยบทความกว่า 50,000 บทความที่เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นจุดสิ้นสุดของความฝันของผู้หลงใหลในเสียงดนตรีแห่งยุค 60s
David Bowie มีท่าทีในการสนับสนุนนาซี (1975)

โคเคนเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตนักดนตรี หลายครั้งมันนำไปสู่หายนะ เดวิด โบวี่ (David Bowie) ร็อกไอคอนแห่งวงการดนตรี อาจเคยบอกว่าตนเองประสบความสำเร็จจากการใช้ยาเสพติดชนิดนี้เพราะ มันได้จุดไฟให้กับผลงานชิ้นเอกของเขาในปี 1976 ‘Station to Station ‘ แต่มันก็ส่งผลเสียอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเขาด้วยเหมือนกัน เนื่องจากทำให้เขาตาตื่นอยู่หลายวัน และตารางการนอนที่ไม่เหมือนใครของเขาอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเผลอพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าในการสัมภาษณ์กับนิตยสาร Playboy ในปี 1976 “ผมเชื่ออย่างยิ่งในลัทธิฟาสซิสต์” โบวี่กล่าว “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นหนึ่งในร็อกสตาร์คนแรก ๆ” แค่นี้ยังไม่พอ โบวี่ยังถูกถ่ายภาพในขณะที่กำลังทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นท่าแสดงความเคารพของนาซีที่สถานีวิกตอเรียในลอนดอน แน่นอนว่าโบวี่ปฏิเสธเรื่องนี้ และดูเหมือนว่าท่าที่โบวี่ทำจะเป็นเพียงท่าโบกมือให้กับแฟน ๆ แต่พอมันรวมเข้ากับบทสัมภาษณ์ที่เพิ่งพูดไป อะไร ๆ มันก็ชวนคิดให้ไปทางนั้น และนี่ก็คือบทเรียนราคาแพงที่โบวี่ได้รับ ‘อย่าเสพโคเคน อย่าพูดต่อหน้าสาธารณะเกี่ยวกับความรุ่งเรืองของลัทธิฟาสซิสต์ และอย่าโบกมือให้แฟน ๆ ในลักษณะที่ดูเหมือนเป็นการทักทายในท่า ‘ไฮล์ ฮิตเลอร์’ มันไม่ได้ดูดีเลย
Neil Young โดนฟ้องเนื่องจากทำผลงานที่ฟังดูไม่เป็น Neil Young (1983)
เมื่อ เดวิด เกฟเฟน (David Geffen) เซ็นสัญญากับ นีล ยัง (Neil Young) เพื่อบันทึกข้อตกลงในช่วงต้นทศวรรษที่ 80s เขาคิดว่าเขาจะสามารถปลุกปั้นผลงานอัลบั้มที่ถูกใจฝูงชนตามแนวของอัลบั้ม ‘Rust Never Sleeps’ และ ‘Come a Time’ ออกมาได้ในอนาคตอันใกล้ แต่นี่เป็นยุคใหม่ของยังที่นอกจากดนตรีแล้วยังมีสิ่งที่เขาโฟกัสอีกนั่นคือการดูแล เบน (Ben) ลูกชายคนเล็กของเขาที่เกิดมาพร้อมภาวะสมองพิการ เขาจึงเริ่มบันทึกเสียงเพลงด้วยการใช้เทคนิคที่บิดเบือนเสียงของตัวเองเพื่อพยายามถ่ายทอดสิ่งที่เหมือนกับการสื่อสารกับคนที่คุณรักซึ่งไม่สามารถเข้าใจภาษาได้ ผลลัพธ์คือ ‘Trans’ ซึ่งเป็นอัลบั้มแนวทดลองที่มีความเหมือนกันกับงานเพลงของ Kraftwerk มากกว่าสิ่งใดก็ตามที่ยังเคยทำมาจนถึงจุดนั้นในเส้นทางสายดนตรีของเขา แน่นอนว่ามันขายได้ไม่ดีนัก แต่ที่ไม่มีใครขัดขวางยังคงปล่อยอัลบั้มในแนวทางต่าง ๆ ที่แปลกออกไปจากที่เคยทำมา เช่น ‘Everybody’s Rockin’ ’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวดนตรีร็อกอะบิลลีและ ‘Old Ways’ กับงานดนตรีในสไตล์คันทรี่ สิ่งนี้ทำให้เกฟเฟนโกรธจนถึงจุดที่เขาได้ยื่นฟ้องยัง ด้วยเหตุผลว่าเขาทำเพลงที่ ‘ไม่เป็นตัวเอง’ มันนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่น่าขำ ต่อมาเกฟเฟน ได้ออกมายอมรับในภายหลังว่ามันเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายของเรา ‘ถ้าคุณเซ็นสัญญากับนีล ยัง คุณต้องให้เขาเป็นนีล ยัง’
Prince เคยเปลี่ยนชื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ออกเสียงไม่ได้ (1993)

Prince มีสิทธิทุกประการที่จะผิดหวังกับค่ายเพลง Warner Bros. Records ของเขาในปี 1993 ซึ่งเขากำลังอัดเพลงด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและทำมันอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทก็ไม่ได้ปล่อยเพลงออกมา นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่าสัญญาที่เขาเซ็นกับค่ายมาตั้งแต่ในปี 1977 นั้นไม่ยุติธรรมและทำให้เขาเป็น “ทาส” เขาตัดสินใจว่าวิธีที่ดีที่สุดในการตอบโต้คือการเปลี่ยนชื่อของตัวเองให้เป็นสัญลักษณ์ที่ออกเสียงไม่ได้โดยคิดว่ามันจะทำให้สัญญาของเขาเป็นโมฆะ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ Warner Bros. ได้ส่งแผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์หลายพันแผ่นที่มีสัญลักษณ์ประหลาดนี้ไปยังสื่อต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถพิมพ์ชื่อใหม่ของ Prince ได้ นอกจากนี้พวกเขายังเรียก Prince ว่า “ศิลปินที่เคยรู้จักกันในชื่อว่า Prince” สุดท้ายมันก็ทำให้แฟน ๆ ของเขาสับสนและไม่ได้สร้างผลดีอะไรให้กับเขาเลย ท้ายที่สุดเขาก็เปลี่ยนชื่อกลับมาในปี 2000
Justin Timberlake ฉีกเสื้อของ Janet Jackson ใน Super Bowl (2004)

เส้นทางอาชีพของ เจเน็ต แจ็กสัน (Janet Jackson) ได้รับผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2004 เมื่อหน้าอกขวาของเธอถูกเปิดเผยในระหว่างการแสดงช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ต่อหน้าผู้ชมทั่วโลกจำนวนนับไม่ถ้วน ผลที่ตามมาคือเพลงของเธอถูกขึ้นบัญชีดำโดยสถานีวิทยุ และผลงานอัลบั้มใหม่ของเธอ ‘Damita Jo’ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน มันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายอันยาวนานของแจ็กสัน ปัญหาคือเธอไม่ใช่คนที่ตัดสินใจเปิดเผยหน้าอกของเธอ หากแต่เป็น จัสติน ทิมเบอร์เลค (Justin Timberlake) ที่ทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของเขาที่อยู่เบื้องหลังการกระทำแผลง ๆ นี้ เขาบอกว่าเขาคิดว่าเธอใส่บิกินี่อยู่ข้างใน ในขณะที่คนอื่น ๆ รู้สึกว่ามันเป็นการทำเพื่อเรียกกระแส แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด อาชีพของเขายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้ปัญหา เขาได้รับเชิญให้กลับมาแสดงในช่วงพักครึ่งของซูเปอร์โบวล์ในปี 2018แต่เจเน็ตนี่สิเธอกลับเป็นคนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักมาจนถึงทุกวันนี้ และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผู้คนตั้งคำถามถึงความเท่าเทียมกันทั้งในความเท่าเทียมทางเพศและเชื้อชาติสีผิว
Britney Spears ปฏิเสธเพลง “Umbrella” (2007)

ในตอนที่ ทริกกี้ สจ๊วต (Tricky Stewart) ร่วมเขียนเพลง “Umbrella” ในปี 2007 เขาจินตนาการว่า บริตนีย์ สเปียส์ (Britney Spears) จะเป็นคนร้องเพลงนี้ พวกเขาเคยร่วมงานกันในเพลงคู่ของสเปียส์กับมาดอนน่า “Me Against the Music” ในปี 2003 แต่สเปียส์กำลังต่อสู้กับปีศาจร้ายที่คุกคามชีวิตและจิตใจของเธออยู่ในตอนนั้น เมื่อเพลงนี้ถูกส่งไปให้ทีมของเธอ และพวกเขาตัดสินใจว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะให้สเปียส์บันทึกเสียงเพลงนี้ ในที่สุด “Umbrella” ก็มาถึงค่ายเพลง Def Jam Recordings และศิลปินสาวชื่อ รีแอนนา (Rihanna) ก็ได้พาบทเพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 ทั่วโลกและเปลี่ยนนักร้องสาวให้กลายเป็นหนึ่งในป๊อปสตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเธอ หากสเปียส์ได้บันทึกเพลง “Umbrella” ประวัติศาสตร์เพลงป๊อปในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาอาจแตกต่างออกไปจากที่เป็น
Kanye West เริ่มต้นยุค “ไอ้งั่ง” ของเขาด้วยการขัดจังหวะ Taylor Swift ที่ VMA (2009)

หากนักประวัติศาสตร์ดนตรีในอนาคตพยายามระบุช่วงเวลาที่ คานเย เวสต์ (Kanye West) เริ่มเปลี่ยนจากฮีโรกลายเป็นวายร้าย พวกเขามีแนวโน้มที่จะระบุว่าจุดเริ่มต้นของมันเกิดขึ้นในงานประกาศรางวัล MTV Video Music Awards ประจำปี 2009 นั่นเป็นคืนที่เขาบุกขึ้นเวทีในขณะที่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) กำลังกล่าวสุนทรพจน์รับรางวัลวิดีโอของศิลปินหญิงยอดเยี่ยมจากเพลง “You Belong to Me” “โย่ เทย์เลอร์ ผมดีใจกับคุณจริง ๆ” เวสต์กล่าว “ผมจะให้คุณพูดให้จบ แต่ผมอยากบอกว่าวิดีโอของบียอนเซ่เป็นหนึ่งในวิดีโอที่ดีที่สุดตลอดกาล ! หนึ่งในวิดีโอที่ดีที่สุดตลอดกาล!” เวสต์ถูกไล่ออกจากรายการ และแม้แต่ประธานาธิบดีโอบามาก็เรียกเขาว่า “คนโง่” สำหรับการทำตัวเสื่อม ๆ แบบนี้ นี่ดูเหมือนเป็นเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เมื่อคำนึงถึงความบ้าคลั่งทั้งหมดที่จะตามมาหลังจากนี้ เราจะพบว่านี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น เพราะบนหนทางอันยาวไกล มืดมน และคดเคี้ยวนั้นมีทั้งสนับสนุนทรัมป์แบบไม่ลืมหูลืมตา การโชว์คลิปหนังโป๊ การเหยียดเชื้อชาติและอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งหลายทั้งมวลล้วนแล้วแต่เริ่มต้นที่นี่
บทเรียนของ Scooter Braun ‘อย่าแหยมกับแม่เทย์ !’ (2019)

สกู๊ตเตอร์ บรอน (Scooter Braun) คงไม่รู้ว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับใคร ย้อนกลับไปในปี 2019 เมื่อเขาซื้อ Big Machine Label Group ซึ่งครอบครองลิขสิทธิ์ผลงานของศิลปินชื่อดังมากมายรวมถึงผลงานของนักร้องสาว เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) บรอนคือผู้จัดการเพลงที่อยู่เบื้องหลังศิลปินอย่าง Justin Bieber, Ariana Grande และ Usher และเขาอาจคิดว่าสามารถตักตวงจากผลงานมาสเตอร์ของศิลปินเหล่านี้และบีบพวกเขาเพื่อเงินได้ แต่เขาคงไม่คิดว่าสวิฟต์ไม่ใช่หมูในอวยที่เขาจะทำอะไรก็ได้ ด้วยความโกรธของเธอต่อสถานการณ์ที่โดนบีบนี้ เธอจึงตัดสินใจบันทึกเสียงงานเพลงทั้งหมดของเธอใหม่เพื่อที่เธอจะได้เป็นเจ้าของมาสเตอร์เพลงใน “Taylor’s Version” ที่บันทึกเสียงใหม่นี้ และผลลัพธ์ที่ออกมาในทุกวันนี้ที่เราได้สัมผัส Taylor’s Version มาหลายอัลบั้มแล้ว บอกเลยว่าบรอนจะต้องนั่งฟังเพลงเวอร์ชันบันทึกเสียงใหม่นี้ทั้งน้ำตาและบอกกับตัวเองว่าไม่ควรไปแหยมกับแม่เทย์ !
Adam Levine กับ DM สุดสยิว (2022)

มีหลายวิธีที่หนุ่ม ๆ จะทำลายชีวิตแต่งงานและอาชีพของพวกเขาลง ไม่ว่าจะเป็นการแอบนอกใจ โทรหรือแชตคุยกับสาว ๆ หรือจะเป็นการส่งข้อความ DM ก็ใช่เหมือนกัน อดัม เลอวีน (Adam Levine) ฟรอนต์แมนหนุ่มแห่งวง Maroon 5 ก็เป็นหนึ่งในหนุ่มที่ร่วมขบวนส่ง DM หาสาว ๆ ด้วยข้อความชวนสยิวอย่าง “การได้เห็นก้นของคุณกระตุกส่ายไปมานั่นมันช่างบาดลึกเหลือทน” หรือ “ผมอยากจะเห็นบั้นท้ายของคุณเสียเหลือเกิน” ด้วยทำไปจากความคะนองและไม่ได้จริงจังอะไร สุดท้ายก่อนที่จะสายเลอวีนก็รู้สึกสำนึกผิดในภายหลังต่อการส่งข้อความชวนสยิวหาใครก็ตามที่ไม่ใช่ภรรยาของตนและยืนยันว่ามันไม่ได้ตามมาด้วยความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไร เราไม่รู้ว่าภรรยาของเขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอก็ยังอยู่กับเขาและเรายังเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันในที่สาธารณะ แต่อินเทอร์เน็ตไม่เคยลืมเรื่องนี้ มันยังจะเป็นสิ่งที่ชาวเน็ตอาจใช้ล้อหนุ่มเลอวีน ‘ผู้ปรารถนาที่จะดูบั้นท้ายสาว ๆ’ คนนี้ไปตลอดกาล และทุกครั้งที่เขาร้องเพลง “Moves Like Jagger” เราก็อดที่จะคิดถึงข้อความชวนสยิวพวกนี้ไม่ได้เลย
ที่มา
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส