ใกล้ถึงบทสรุปเข้าไปทุกทีสำหรับซีรีส์ ‘His Dark materials’ ที่ดำเนินมาถึงซีซัน 3 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายแล้ว Beartai Buzz ได้รับโอกาสพิเศษสัมภาษณ์นักแสดงนำหลักครบถ้วนทั้ง เจมส์ แม็กอวอย (James McAvoy) แดฟเน่ คีน (Dafne Keen) รูธ วิลสัน (Ruth Wilson) และ เอเมียร์ วิลสัน (Amir Wilson) เพื่อเจาะลึกกับบทสรุปของเรื่องราวแฟนตาซีสุดเข้มข้นครั้งนี้

เจมส์ (เจมส์ แม็กอวอย) ในซีซัน 2 เราไม่ได้เจอคุณเลย ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่าคาแรกเตอร์ของคุณมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากซีซันแรก

เจมส์ : ในซีซันแรกคุณได้รู้จักกับลอร์ดแอสเรียลในฐานะนักวิทยาศาสตร์สุดบ้าที่ไม่ยอมก้มหัวให้พวกศาสนจักรและเป็นนักสำรวจที่ไม่ยอมให้ใครมาลบล้างสิ่งที่เขาค้นพบ ในซีซัน 3 คุณจะยังเห็นเขาเป็นแบบนั้นอยู่ครับแต่ก็จะเพิ่มมุมมองของการเป็นน้กรบและคนที่มีอุดมการณ์แน่วแน่เข้าไปด้วยครับ ซึ่งเราจะเห็นลอร์ดแอสเรียลพยายามก่อสงครามกับเหล่าศาสนจักรและเขาก็เป็นทหารที่ออกรบในศึกครั้งนี้ด้วย

Beartai Buzz สัมภาษณ์นักแสดงซีรีส์ His Dark Materials

เหมือนซีรีส์จะพยายามพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบันของโลกใบนี้ คุณช่วยให้ความเห็นในประเด็นนี้หน่อยได้ไหม

รูธ : แน่นอนค่ะว่าในปัจจุบันเราจะเห็นสงครามเกิดขึ้นสักแห่งบนโลกใบนี้อย่างชัดเจน เป็นการสู้เพื่ออิสรภาพและสู้เพื่อสิทธิในการออกเสียงให้ความเห็น เพื่อประชาธิปไตยดังเช่นที่เราเห็นสงครามเกิดขึ้นกับยูเครน ซึ่งเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะที่เนื้อหาในซีรีส์ของเราจะฉายภาพสะท้อนเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งก็เป็นธีมสากลที่อยู่ในนิยายต้นฉบับอยู่แล้วด้วยค่ะ เลยทำให้ทั้งซีรีส์และตัวนิยายสะท้อนความเป็นไปของโลกใบนี้ได้ดีมากค่ะ

ในช่วงหลายปีมานี้ มีซีรีส์และภาพยนตร์แฟนตาซีมากมายคุณคิดว่ามันเป็นแนวหนังที่คนดูในพ.ศ.นี้ต้องการหรือเปล่า

รูธ : ฉันคิดว่าความแฟนตาซีมันอนุญาติให้เราวิพากษ์สังคมได้อย่างมีชั้นเชิงค่ะ เรานำประเด็นความขัดแย้งในโลกใบนี้มานำเสนอในธีมแฟนตาซีเพื่อให้เป็นมิตรกับผู้ชมและให้ข้อคิดกับเด็ก ๆ ได้ หนังหรือซีรีส์แฟนตาซีถึงได้วิเศษมากเพราะมันทำให้เราสนุกสนานกับเรื่องราวและยังฉายภาพของสังคมโลกได้ด้วย อย่างตอนนี้หากเราจะทำหนังดราม่าเกี่ยวกับสงครามยูเครนอาจจะยิ่งเพิ่มความหดหู่หรือหนักอึ้งให้หัวใจผู้ชมมากเกินไปแต่ผลลัพธ์จะต่างออกไปเมื่อเรานำเหตุการณ์นี้มาสู่โลกแห่งจินตนาการค่ะ

เจมส์ : ผมเห็นด้วยกับรูธเลยครับ เพราะผมก็โตมากับนิยายแฟนตาซีที่ลุงอ่านให้ฟัง นิยายหนังหรือซีรีส์แฟนตาซีทำให้การพูดเรื่องยาก ๆ ทั้งความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียม เศรษฐกิจ หรือความเท่าเทียมทางเพศถูกพูดออกมาในวิธีทางที่ทลายกำแพงทั้งวัยและคุณวุฒิได้เลยครับ

ในซีรีส์ตัวละครแต่ละตัวจะมีความซับซ้อนมาก พวกคุณได้เรียนรู้อะไรจากการแสดงซีรีส์เรื่องนี้บ้าง

เจมส์ : อย่าฆ่าเพื่อนรักของลูกสาวตัวเองครับ (หัวเราะ) อย่าฆ่าเด็กครับ (หัวเราะ)

รูธ : การฆ่าเด็กนี่มันเลวร้ายจริง ๆ ค่ะ จริง ๆ คือสิ่งที่อยู่ในหนังสือได้บอกเราเลยค่ะว่ามุมมองชีวิตที่ได้เรียนรู้ตอนเด็กจะย้อนกลับมาสะท้อนความคิดของเราในวัยผู้ใหญ่ค่ะ น่าจะประมาณนี้ค่ะ

Beartai Buzz สัมภาษณ์นักแสดงซีรีส์ His Dark Materials

ข้อคิดอะไรจากนิยาย ‘His Dark Materials’ ที่พวกคุณชอบที่สุด

เจมส์ : สติปัญญา จิตวิญญาณและเสรีภาพครับ เจตจำนงเสรีของมนุษย์ครับโดยเฉพาะเมื่อมันถูกบอกเล่าผ่านการต่อสู้ของเด็กสองคนที่พยายามจะเปลี่ยนโลก ความหัวขบถของตัวละครวัยเยาว์กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ชมที่จะร่วมลุ้นไปกับพวกเขาซึ่งต่างจากตัวละครของผมกับรูธที่ต่อสู้กันในมุมมองของผู้ใหญ่ครับ

รูธ : ฉันเห็นด้วยเลยค่ะ และยังมีเรื่องของเจนเนอเรชันมาเกี่ยวข้องด้วยระหว่างเจนของวัยเยาว์ที่กำลังมากำหนดทิศทางของโลกจากเจตจำนงเสรีและเจนผู้ใหญ่ที่พยายามบงการว่าโลกควรเป็นยังไงรวมถึงอะไรที่เราจะเหลือเป็นมรดกทิ้งไว้ให้โลกใบนี้ด้วยค่ะ ฟิลลิปแต่งนิยายเรื่องนี้ได้ล้ำลึกมากนอกจากเรื่องที่กล่าวไปยังมีประเด็นครอบครัวความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวที่เหมือนภาพสะท้อนวัยเยาว์ของตัวเองที่ต้องเรียนรู้และจัดการความสัมพันธ์ให้ดี ดังนั้นนิยายเรื่องนี้ของฟิลลิปส์เลยมีทั้งการตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและประเด็นด้านจิตวิญญาณสอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่องเลยค่ะ

แดฟเน่ : มีคติธรรมมากมายแฝงในซีรีส์เรื่องนี้ค่ะ จนบางทีเวลาจะพูดประโยคเด็ดจากหนังสือฉันเกิดกลัวว่าจะทำมันพังขึ้นมาเลยค่ะ อย่างประโยคที่ว่า ‘คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดีหรือไม่ เพราะเขาไม่รู้ว่าทางไหนที่ตัวเองควรเลือกเดิน’ ก็เป็นประโยคที่คมคายมากเลยค่ะ

(ถามแดฟเน่และเอเมียร์ ) ในซีรีส์พวกคุณเล่นเป็นเด็กที่ต้องเผชิญกับโลกที่โหดร้ายเพราะผู้ใหญ่ การมาทำงานในซีรีส์เรื่องนี้ทำให้พวกคุณกลัวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือไม่

แดฟเน่ : ฉันมองว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็เหมือนการทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนค่ะ ฉันคิดว่าเราโชคดีที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่หน้ากล้อง

เอเมียร์ : ข้อดีของการเติบโตก็คือไม่กลัวสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องเจอเท่าไหร่ครับ จะทำงานมากแค่ไหนก็ดีจะเป็น 5 หรือ 9 ชั่วโมงในกองถ่าย ทานข้าวครึ่งชั่วโมง พัก 15 นาที พออายุ 16 ปีเราจะทำงานแค่ไหนก็ได้ครับการทานอาหารกลางวันครึ่งชั่วโมงนี่ชิลล์เลย

แดฟเน่ : แต่ต้องรักษาความต่อเนื่องด้วยนะ

เอเมียร์ : แบบพอสั่งแอ็กชันคือเล่นต่อได้เลยครับ

แดฟเน่ : แต่ที่จะช็อกจริง ๆ คือการต้องมาดูตัวเองใน 1 ปีที่แล้วนี่แหละค่ะ เพราะตอนถ่ายคือปีก่อนก็เหมือนเราเติบโตขึ้นแล้วไปย้อนดูตอนที่เราเด็กกว่านี้ 1 ปี ยิ่งย้อนกลับไปดูรูปตัวเองตอนซีซันแรกยิ่งรู้สึกว่าเราโตเร็วเกินไปไหมเนี่ย

มีความท้าทายในอาชีพนักแสดงด้านไหนบ้างกับการทำงานในซีซันสามของซีรีส์

รูธ : สำหรับฉันตัวละครมิสโคลเตอร์ (Mrs.Coulter) เป็นสาวแสบสุดเริ่ดค่ะ เป็นความสนุกมากที่เฝ้ามองความร้ายของเธอที่ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วพอซีซันสามที่ตัวละครเริ่มเกิดธรรมะในใจฉันนี่คิดว่า โอ้พระเจ้าอะไรจะกลับตาลปัตรอย่างนี้ (หัวเราะ) ซึ่งฉันต้องรักษาสมดุลย์ของคาแรกเตอร์ให้ดี ซึ่งถือเป็นความท้าทายในงานแสดงของฉันเลยค่ะ

เจมส์ : สำหรับผมความท้าทายคือการได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่ได้ทำในซีซันแรกที่ทำงานแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้นครับ ตัวละครลอร์ดแอสเรียลมีความคิดที่ซับซ้อน ผมต้องทำความเข้าใจความคิดและอุดมการณ์ของเขาที่ต่างจากคนอื่น ต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่ฟิลลิปเขียนไม่เพียงฉีกหนังสือมายัดปากตัวละครให้พูดตามนิยายซึ่งทำอย่างนั้นกับงานของฟิลลิปไม่ได้ครับ ต้องเข้าใจแก่นแท้ของตัวละครให้ดีแล้วถ่ายทอดแมสเสจจากนิยายมาสู่สื่อที่เป็นซีรีส์ให้ได้

รูธ : ความยากอีกอย่างคือหนังสือไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างลอร์ดแอสเรียลกับมิสโคลเตอร์มากเท่าไหร่ด้วยค่ะ จำเป็นที่เราต้องมาทำความเข้าใจจากตัวอักษรในหนังสือร่วมกันทั้งที่มาพวกเขาเจอกันยังไง รักกันยังไง เลิกกันเพราะอะไร โดยเฉพาะในซีซันที่ผ่านมาเราเห็นการเดินทางของมิสโคลเตอร์มากกว่าก็จำเป็นต้องมาทำความเข้าใจว่าในขณะเดียวกันลอร์ดแอสเรียลได้ผ่านอะไรมาในช่วงเวลานั้นบ้าง ความท้าทายเลยเกิดขึ้นในการทำงานเบื้องหลังก่อนจะถ่ายทอดเรื่องราวมาสู่ผู้ชมให้เห็นว่าท้ายที่สุดพวกเขามาเจอกันได้ยังไงและการปะทะทางอารมณ์มีที่มาที่ไปอย่างไรด้วยค่ะ

เจมส์ : อีกสิ่งคือการทำความเข้าใจในความสัมพันธ์ที่หนังสือไม่ได้กล่าวถึงโดยเฉพาะความสัมพันธ์กับลูกสาวตัวเองทั้งในฐานะลูกและฐานะอีฟในคำทำนาย โดยเราจะเห็นว่าลอร์ดแอสเรียลไม่ได้แยแสลูกสาวตัวเองเลย เป็นผู้ชายที่โคตรแย่เลยครับซึ่งในหนังสืออาจไม่ได้ให้ความสำคัญแต่ผมดีใจที่ซีรีส์ของเรามีพูดถึงความสัมพันธ์พ่อลูกตรงนี้เพิ่มเข้ามาว่าเมื่อลอร์ดแอสเรียลสำเหนียกได้ว่าเฮ้ย ! เอ็งมีลูกอยู่นะเว้ย ! เขาจะสำนึกกับความผิดบาปทั้งหมดยังไงบ้างครับ

เอเมียร์ : เห็นการเติบโตของเราทั้งคู่แน่นอนครับ นอกจากเรื่องที่ว่าเราอายุมากขึ้นตามการถ่ายทำแต่ละซีซันแล้ว ในขณะเดียวกันตัวละครของเราก็ต้องพัฒนาขึ้นอย่างวิลจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดทำไปเพื่ออะไรเพื่อใคร การใช้มีดกรีดมิติที่เก่งขึ้น ประสบการณ์จะสอนให้เขาเติบโตขึ้นทั้งเรื่องดีและร้ายจะสอนเขาให้ทำสิ่งดี ๆ มากขึ้น และในซีซัน 3 จะเป็นโลกที่ต่างออกไปจากซีซันที่แล้วและหล่อหลอมให้วิลกลายเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการและเติบโตขึ้นครับ

โดยเฉพาะการใช้มีดครับที่ต้องแสดงว่าเรามีปัญหากับการใช้มีดในการกรีดเพื่อเปิดประตูข้ามมิติแล้วสักพักก็ฟึ่บ (ทำท่าแหวกมิติกลางอากาศ) เราก็เข้าไปได้มันสนุกมากครับ รวมถึงการแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของวิลที่ไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้วแต่เป็นเด็กหนุ่มที่โตขึ้นเตรียมเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวก็เป็นสิ่งสำคัญและทำให้การทำงานท้าทายและสนุกขึ้นมากครับ

แดฟเน่ : ฉันคิดว่าการได้แสดงกับรูธในบทมิสโคลเตอร์ท้าทายและสนุกมากค่ะ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวที่ซับซ้อนมาก โดยเฉพาะการต้องแสดงว่าฉันเกลียดนางในฐานะมนุษย์ที่ชั่วร้ายแต่ก็รักเธอในฐานะแม่ เกลียดตัวเองที่รักเธอมากมันซับซ้อนและสนุกที่ได้เล่นจริง ๆ แล้วก็ได้ถ่ายทอดมุมมองตัวละครในฐานะผู้ใหญ่มากขึ้นค่ะ

เอเมียร์ : ผมอยากพูดถึงรูธครับเธอเป็นนักแสดงที่เก่งมากและเป็นคนน่ารักมาก ตอนทำงานเธออินกับบทที่ซีเรียสแต่พอสั่งคัตเธอจะกลายเป็นพี่สาวที่แสนดีกับพวกเรามาก

แดฟเน่ เทียบกับใน ‘Logan’ แล้ว ซีรีส์ ‘His Dark Materials’ มีประเด็นอะไรที่เชื่อมโยงไปสู่ผลงานก่อนหน้าของคุณได้บ้าง

แดฟเน่ : สำหรับฉันคือการเห็นผลกระทบจากการกระทำของผู้ใหญ่ที่ส่งผลต่อเด็กค่ะ ทั้งเรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ส่วนการทำงานใน ‘Logan’ ก็เป็นความทรงจำที่ดีมากค่ะ นอกจากทีมงานที่น่ารักแล้วฮิว (Hugh Jackman) ดูแลฉันดีประหนึ่งลูกสาวในไส้ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) เป็นผู้กำกับที่เก่งมาก ส่วน จอห์น แมธีสัน (John Mathieson) ก็ให้แรงบันดาลใจเรื่องการถ่ายภาพกับฉันด้วย ฉันโชคดีมากเลยค่ะ เป็นงานที่ดีสนุกมาก ได้โรดทริปไปทั่วประเทศด้วย สำหรับฉันมันเลยเป็นโอกาสดีมากที่ได้ร่วมงานกับทีมงานมืออาชีพแบบนี้ แถมได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับตำนานอย่าง แพทริก สจวร์ต (Patrick Stewart) ตอนนั้นฉันอาจจะยังเด็กมากแต่เมื่อนึกดูแล้ว ฉันภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้มากเลยค่ะ

Beartai Buzz สัมภาษณ์นักแสดงซีรีส์ His Dark Materials

การทำงานกับตัวละครที่เป็นดิจิทัลเอฟเฟกต์มันท้าทายยังไงกับพวกคุณบ้าง

แดฟเน่ : ขอเริ่มก่อนแล้วกันนะคะ เราโชคดีมากที่มีทีมนักเชิดหุ่นที่มีความเป็นมืออาชีพมาก ๆ มาคอยช่วยเหลือนักแสดงให้มองและแสดงในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับการไปทำวิช่วลเอฟเฟกต์ต่อไป อย่างยอริก เจ้าหมีนักรบคนเชิดก็จะต่อบทและให้เสียงใกล้เคียงกับ โจ แทนด์เบิร์ก (Joe Tandberg) ที่มาให้เสียงพากย์เลยค่ะ

เอเมียร์ : การมีหุ่นเชิดช่วยเรามาก ๆ เลยครับ เพราะมันช่วยให้เราได้แสดงกับพื้นที่ว่างและทำความคุ้นเคยได้ดีขึ้นครับ คือพวกเขาจะเชิดหุ่นให้เราได้แสดงร่วมสักระยะเวลาหนึ่งแล้วนำออกไปแต่มันก็ยังช่วยให้เราคุ้นเคยกับทิศทางที่จะต้องมองและจินตนาการกับความว่างเปล่าได้อย่างคุ้นเคยและสมจริงมากขึ้น

Beartai Buzz สัมภาษณ์นักแสดงซีรีส์ His Dark Materials

เมื่อจบการถ่ายทำซีซันสุดท้ายของซีรีส์ชุดนี้ พวกคุณคิดถึงอะไรมากที่สุดในการทำงานในโปรดักชันนี้

เจมส์ : ผมรักการทำงานกับทีมเชิดหุ่นครับ เพราะเรามีช็อตที่ต้องถ่ายคู่กับภูติของเราเยอะมาก และส่วนใหญ่ก็มักจะมีราคาแพงมาก เราต้องมีนักเชิดหุ่นเพื่อให้จินตนาการนักแสดงทำงานได้ถูกต้องผมเลยคิดถึงการทำงานในกองถ่ายกับพวกเขามากครับ

รูธ : เช่นกันค่ะ ฉันก็ประทับใจการทำงานกับคนเชิดหุ่นของฉันชื่อไบรอันที่มาให้การแสดงของเจ้าลิงจอมบงการและทีมงานส่วนอื่นด้วยค่ะท้้งทีมวิชวลเอฟเฟกต์ ทีมคอสตูมคือทุกฝ่ายทำงานด้วยแพสชั่นจริง ๆ ค่ะ และที่สำคัญคือทุกคนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนที่จำทำให้โลกในนิยายปรากฎบนจอได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจจริง ๆ ฉันเลยคิดถึงทีมงานในโปรดักชันนี้ทุกคนเลยค่ะ

แดฟเน่ : ความจริงแล้วมันเศร้ามากเลยค่ะที่เราต้องลาจากทีมงานที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี แต่ฉันก็ดีใจที่จะได้เห็นบทสรุปของเรื่องราวที่เราตั้งใจทำกันมาตลอด 3 ซีซัน

เอเมียร์ : เป็น 6-7 เดือนที่มีความหมายกับพวกเรามากครับที่ได้ทำงานร่วมกับทีมงานดี ๆ มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาแต่ก็ดีใจที่ผู้ชมจะได้เห็นผลงานความทุ่มเทของพวกเราครับ

หากมีการประกาศสร้าง ‘Book of Dust’ คุณจะกลับมารับบทไลราไหม แดฟแน่

แดฟเน่ : แน่นอนค่ะ

สามารถรับชมซีรีส์ ‘His Dark Materials’ ได้แล้วทาง HBO Go

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส