แม้ว่าจะนับเป็นหนังรหัสคดีที่เป็นภาคต่อของหนังโรงสุดฮิต ‘Knives Out’ (2019) แต่หนังเรื่องใหม่ของ Netflix อย่าง ‘Glass Onion: A Knives Out Mystery‘ ผลงานการกำกับและเขียนบทของผู้กำกับเจ้าเก่า ไรอัน จอห์นสัน (Rian Johnson) กลับมีรสชาติและสีสันที่ต่างจากภาคแรกอยู่มากพอสมควร เพราะแม้ว่าเขาจะดึง แดเนียล เครก (Daniel Craig) กลับมารับบท เบอนัวต์ บลองก์ (Benoit Blanc) นักสืบอัจฉริยะมาดกวน กลับมาไขคดี ปะทะกับบรรดานักแสดงระดับ A-List ชุดใหม่ ที่มาร่วมสร้างสีสันปั่นฮากันอย่างคับคั่ง แต่สิ่งที่จอห์นสันทำกับภาคนี้นั้นแตกต่างออกไป นั่นก็คือเขาเองยังสนุกคิดในการสร้างสรรค์ตัวหนังให้มีความเป็นรหัสคดี ให้คนดูได้สังเกตและสะกิดจนรู้สึกตะหงิด ๆ ระหว่างชมไปด้วยในตัว
ทั้งการวางเบาะแส (Clue) ที่เกี่ยวข้องกับตัวเนื้อเรื่องเอาไว้อย่างเปิดเผยเพื่อรอให้คนดูสังเกตเห็นด้วยตัวเอง การพลิกความคาดหวังของคนดูด้วยการเปิดเส้นเรื่องลับ ๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้ในเส้นเรื่องหลัก ก่อนจะมาขมวดปมทุกอย่างในตอนท้ายได้อย่างลงตัว และสิ่งที่ผู้ชมอาจไม่ทันสังเกตเห็นก็คือ ในครั้งนี้จอห์นสันยังได้ใส่เหล่าบรรดา Cameo จากหลากหลายวงการมาให้คนดูได้จับผิดด้วย ทั้งการใส่มาแบบตรง ๆ และการใส่มาแบบแอบ ๆ จนไม่ทันสังเกต แต่ก็ทำให้คนดูอย่างเรา ๆ เซอร์ไพรส์แบบงงแตกตอนดู End Credits ว่า พวกแกแห่มากันตอนไหน (วะ!)
คำเตือน : บทความนี้เปิดเผยเนื้อเรื่องและบทสรุปของภาพยนตร์ ‘Glass Onion: A Knives Out Mystery’
เจค แท็ปเปอร์ (Jake Tapper)
รับบทเป็น ผู้ประกาศข่าวช่อง CNN
เจค แท็ปเปอร์ปรากฏตัวสั้น ๆ ในช่วงแรกของเรื่อง โดยเขารับบทเป็นผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ CNN ที่กำลังจะสัมภาษณ์ออนไลน์กับ แคลร์ เดเบลลา (Claire Debella) ผู้ว่าการรัฐคอนเน็ตทิคัต ที่กำลังลงสมัครเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกที่ให้สัมภาษณ์จากที่บ้าน ซึ่งในชีวิตจริงเขาเองก็ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ CNN และเป็นหัวหน้าผู้ประกาศข่าวและรายการอื่น ๆ ของ CNN อีกด้วย
ฮิว แกรนต์ (Hugh Grant)
รับบทเป็น ฟิลิป (Phillip) หุ้นส่วน (ชีวิต) ของ เบอนัวต์ บลองก์
Cameo ที่หลายคนอาจแปลกใจนิดหน่อยตอนโผล่มา นั่นก็คือ ฮิว แกรนต์ (Hugh Grant) โดยในช่วงแรกเขาปรากฏเฉพาะเสียงตะโกนคุยกับ กับบลองก์ที่กำลังแช่น้ำในอ่างในขณะเล่นเกม Among Us ว่าอย่ามัวแต่แช่น้ำในอ่าง และปรากฏตัวให้เห็นในฉากที่ เฮเลน แบรนด์ (Helen Brand) ได้นำเอากล่องปริศนาใส่บัตรเชิญ (ที่ถูกทุบกระจาย) เพื่อให้บลองก์ช่วยไขคดีฆาตกรรม แคสแซนดรา แบรนด์ (Cassandra Brand) หรือ แอนดี (Andi) น้องสาวของเธอ
การปรากฏตัวของแกรนต์อาจเป็นการโผล่มาแบบสั้น ๆ แต่ก็พอจะบอกได้จากซีนนี้ว่า เขาน่าจะเป็นคนทำขนมแบบเดียวกับที่หลายคนมักจะทำกันในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งก็ค่อนข้างจะสอดคล้องกับสิ่งที่จอห์นสันได้ตอบคำถามยืนยันกับสื่อก่อนจะโปรโมตหนังเรื่องนี้ว่าเพศสภาพของ เบอนัวต์ บลองก์ นั้นเป็นเกย์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “ใช่ครับ เขาเป็นเกย์ แต่ผมเองก็ยังนึกไม่ออกนะว่าผู้ชายคนไหนที่จะอยู่กับ เบอนัวต์ บลองก์ แล้วสร้างความสนุกสนานให้ผมได้มากกว่าเดิม” ซึ่งตัวหนังก็เฉลยแล้วว่า คนนี้แหละคือคนที่ใช่ ทั้งสำหรับจอห์นสันและ เบอนัวต์ บลองก์
โย-โย หม่า (Yo-Yo Ma)
รับบทเป็นตัวเอง
โย-โยหม่า (Yo-Yo Ma) นักเชลโลชื่อดังระดับโลก มาปรากฏตัวในงานปาร์ตี้ของ เบอร์ดี เจ (Birdie Jay) ในระหว่างที่เธอกำลังไขปริศนาบนกล่องไม้ส่วนที่เป็นกล่องดนตรี โย-โย มา ได้บอกกับ เพ็ก (Peg) ผู้ช่วยของ เบอร์ดี เจ ว่า เพลงที่กำลังเล่นอยู่คือเพลง “Little Fugue in G Minor” ของโยฮัน เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ที่ถ้าหากนำโน้ตเพลงมาซ้อนทับกัน ก็จะได้ทำนองใหม่ที่มีความสวยงาม
หม่าเป็นนักเชลโลชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในวงการดนตรีคลาสสิกมายาวนานกว่า 50 ปี มีผลงานบันทึกอัลบั้ม 90 อัลบั้ม ได้รับรางวัลจากเวทีแกรมมี่อวอร์ด (Grammy Award) มากถึง 19 รางวัล และเคยแสดงเชลโลต่อหน้าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 9 คน และเคยได้รับการเสนอชื่อเป็น 1 ใน 100 บุคคลทรงอิทธิพลแห่งปี 2020 จากนิตยสาร Time อีกด้วย
นาตาชา ลีออนน์ (Natasha Lyonne)
รับบทเป็น นาตาชา (Natasha) เพื่อนร่วมเกม Among Us กับ เบอนัวต์ บลองก์
ในระหว่างที่บลองก์กำลังโวยเพราะหัวร้อนเพราะถูกเตะออกจากยานอวกาศในเกม Among Us 1 ใน 3 ผู้ชนะอย่างนาตาชาได้เอ่ยถามบลองก์ว่าอยากเล่นเกมอื่นแทนไหม ซึ่งผู้ที่รับบทนาตาชาก็คือ นาตาชา ลีออนน์ (Natasha Lyonne) นักแสดงและโปรดิวเซอร์ที่โด่งดังจากบท เมแกน วอร์ฮีส์ (Megan Voorhees) ในหนังตลกล้อเลียน ‘Scary Movie 2’ (2001) และเป็นที่รู้จักในซีรีส์ Netflix ทั้ง ‘Orange Is the New Black’ (2013–2019) และ ‘Russian Doll’ (2019) โดยเธอกับจอห์นสันได้ร่วมงานกันในผลงานซีรีส์แนวฆาตกรรมเรื่อง ‘Poker Face’ ที่จอห์นสันเป็น Creator และผู้กำกับ ที่จะออกฉายทางสตรีมมิง Peacock ในปีหน้าด้วยนั่นเอง
โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt)
ให้เสียง สัญญาณนาฬิกาบอกชั่วโมง
โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ เป็นนักแสดงมากฝีมือที่ไม่ได้ร่วมแสดงและไม่ได้ปรากฏตัวในหนังเลยแม้แต่น้อย แต่ผู้ชมได้ยินเสียงเขาหลายต่อหลายครั้ง ในรูปของเสียงสัญญาณนาฬิกาบอกชั่วโมงในบริเวณคฤหาสน์ส่วนตัวของมหาเศรษฐี ไมล์ส บรอน (Miles Bron) ซึ่งเสียงระฆัง “ดองงงงงง!” ที่ดูลึกลับแต่แอบเพี้ยน ๆ นั่นคือเสียงของนักแสดงหนุ่มหล่อคนนี้นี่แหละ
กอร์ดอน-เลวิตต์ เป็นนักแสดงคู่บุญของจอห์นสันก็ว่าได้ เพราะเขาเคยมีผลงานวนเวียนป้วนเปี้ยนกับหนังของจอห์นสันทุกเรื่อง ทั้งในฐานะนักแสดงนำ นักแสดงรับเชิญ หรือขอให้ได้มาแค่เสียงก็ยังเอา ตั้งแต่การรับบทนำในผลงานแรก ‘Brick’ (2005) เลื่อนมาเป็นขาประจำบาร์ใน ‘The Brothers Bloom’ (2008) กลับมารับบทนำใน ‘Looper’ (2012) แอบไปพากย์เสียงเป็นเอเลียน สโลเวน โล (Slowen Lo) ใน ‘Star Wars Episode VIII’ : The Last Jedi’ (2017)
หรือแม้แต่ใน ‘Knives Out’ (2019) ภาคแรก เขาก็ไปโผล่ให้เสียงตัวละคร นักสืบฮาร์ดร็อก (Detective Hardrock) ในทีวีซีรีส์ ซึ่งปรากฏในฉากที่พยาบาลมาร์ทา (Marta) นั่งดูซีรีส์เรื่องนี้ผ่านโน้ตบุ๊กอยู่นั่นเอง
ซึ่งเหตุผลที่จอห์นสันมักชอบพา กอร์ดอน-เลวิตต์ มาร่วมงานในหนังของเขาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะมาเป็นนักแสดงหลัก นักแสดงรับเชิญ หรือมาแค่เสียงก็ยังเอา เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเขาเผยแค่เพียงว่า “ผมอยากร่วมงานกับเขาทุกครั้งที่เขาว่างครับ ขอให้ผู้ชมเปิดใจกับบท Cameo ของเขาก็พอ”
อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke)
รับบทเป็น นายสุดเก่ง (Efficient Man)
Cameo อีกรายที่ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่ทันได้เห็นแน่นอน เพราะรายนี้เขาแอบมาแบบเนียน ๆ ชนิดที่ว่าแม้จะกรอกลับไปดูซ้ำแล้วแต่ก็ยังสงสัยว่าใช่ อีธาน ฮอว์ก จริง ๆ หรือไม่ ในเครดิตระบุว่า อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ได้รับบทเป็น Efficient Man ซึ่งเป็นเพียงการยกย่องแบบขำ ๆ โดยตามบทแล้วนาย Efficient Man คือผู้ช่วยของ มหาเศรษฐี ไมล์ส บรอน นั่นเอง เขาเป็นผู้ที่ฉีดสเปรย์บางอย่างที่คล้ายกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทางปากให้แก่ เบอนัวต์ บลองก์ และเพื่อนร่วมทริปก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเรือเดินทางไปยังเกาะ
เบื้องหลังการได้ดาราดังระดับ 4 รางวัลออสการ์มาเล่นเป็น Cameo ปริศนาที่แทบจะเห็นหน้าตาน้อยมาก จอห์นสันได้เปิดเผยกับทาง Entertainment Weekly ว่า ตอนที่กองถ่ายกำลังตั้งกองอยู่ที่ประเทศกรีซ ในระหว่างนั้น ฮอว์กก็กำลังถ่ายทำซีรีส์ ‘Moon Knight’ ของ Marvel อยู่ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการีที่อยู่ใกล้ประเทศกรีซด้วยเช่นกัน จอห์นสันเลยเทียบเชิญให้ฮอว์กแวะบินมาที่กรีซ 1 วันเพื่อมาถ่ายทำฉาก Cameo ฉากนี้ให้โดยเฉพาะ
การีม อับดุล-จับบาร์ (Kareem Abdul-Jabbar)
รับบทเป็น การีม (Kareem) เพื่อนร่วมเกม Among Us ของ เบอนัวต์ บลองก์
การีม อับดุล-จับบาร์ (Kareem Abdul-Jabbar) ปรากฏตัวช่วงสั้น ๆ ในฐานะผู้เล่นเกม Among Us ร่วมกับ เบอนัวต์ บลองก์ โดยปรากฏตัวผ่านโปรแกรม Zoom การีมเป็นอดีตนักบาสเก็ตบอล NBA ในตำนานที่มีชื่อเสียง เคยเล่นให้กับทีม มิลวอกี บักส์ (Milwaukee Bucks) และ ลอส แองเจลิส เลกเกอร์ (Los Angeles Lakers) ซึ่งการที่เขามีบทพูดว่า “นี่เหรอที่เขาว่าเป็นนักสืบที่เก่งที่สุดในโลก” ก็อาจหมายถึงการที่บลองก์นั้นเป็นนักสืบชื่อดัง และก็ย่อมต้องรู้จักกับบุคคลระดับโลกเป็นธรรมดา และอีกเกร็ดสำคัญคือ เขายังเป็นนักเขียนเจ้าของผลงานร่วมหนังสือนิยายแนวรหัสคดีฆาตกรรม มายครอฟต์ โฮล์มส์ (Mycroft Holmes) ตัวละครในจักรวาลเดียวกับ เชอร์ล็อก โฮล์ม (Sherlock Holmes) อีกด้วย
เซเรนา วิลเลียมส์ (Serena Williams)
รับบทเป็นตัวเอง
เซเรนา วิลเลียมส์ (Serena Williams) อดีตนักเทนนิสอันดับ 1 ของโลกที่เพิ่งประกาศเลิกเล่นเทนนิสอาชีพไปหมาด ๆ ได้มาปรากฏตัวในบทบาทเทรนเนอร์ออกกำลังกายเสมือนจริง ในฉากบลองก์และเฮเลนแอบลอบเข้าไปในโรงยิมส่วนตัวของบรอนในระหว่างสืบคดี ระหว่างนั้น วิลเลียมส์ที่อยู่ในจอ อยู่ดี ๆ ก็ทำงานขึ้นพร้อมชวนให้ออกกำลังกาย เมื่อบลองก์บอกไปว่ายังไม่พร้อม เธอจึงตอบกลับว่า “ก็ตามใจ นี่เงินคุณ ไม่ใช่เงินฉัน”
นักเทนนิสซูเปอร์สตาร์ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Cosmopolitan เกี่ยวกับการได้ไปร่วมแสดงเป็น Cameo ในหนังเรื่องนี้ว่า “ตอนแรกพวกเขาเพิ่มฉันลงในสคริปต์ด้วยค่ะ พวกเขาคิดถึงฉัน พอฉันรู้ ฉันก็เลยแบบว่า มันเจ๋งดีนะ แต่คงไม่น่าจะเป็นไปได้ จนพวกเขาถามว่า ‘คุณอยากลองดูไหมล่ะ ? ‘ ฉันก็เลยตอบว่า ‘แน่นอน ทำไมจะไม่ทำล่ะ เจ๋งดีออก’ ฉันจึงตื่นเต้นที่ได้ถ่ายทำสิ่งนี้ มันเป็นอะไรที่สนุกมากจริง ๆ ค่ะ”
แองเจลา แลนส์เบอรี (Angela Lansbury)
รับบทเป็น แองจี (Angie) เพื่อนร่วมเกม Among Us ของ เบอนัวต์ บลองก์
แองเจลา แลนส์เบอรี (Angela Lansbury) ปรากฏตัวในชื่อว่า แองจี (Angie) หนึ่งในผู้เล่นเกม Among Us กับ เบอนัวต์ บลองก์ และพูดคุยผ่านโปรแกรม Zoom คนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้น เธอคือ แองเจลา แลนส์เบอรี (Angela Lansbury) นักแสดงภาพยนตร์ ทีวีซีรีส์ และละครเวที ซึ่งจอห์นสันได้เผยกับ Entertainment Weekly ถึงเหตุผลที่ที่เขาชวนเธอมาปรากฏเป็น Cameo ในหนัง นั่นก็เพราะว่าเขาชื่นชอบทีวีซีรีส์แนวฆาตกรรม ‘Murder, She Wrote’ (1984–1996) ที่เธอร่วมแสดงในบทบาท นักสืบ เจสสิกา เฟลตเชอร์ (Jessica Fletcher) เป็นอย่างมาก และซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของตัวหนังอีกด้วย โดยจอห์นสันได้นำโน้ตบุ๊กไปถ่ายช็อต Zoom ของเธอถึงที่บ้าน
นอกจากนี้เธอกับ สตีเฟน ซอนด์ไฮม์ (Stephen Sondheim) หนึ่งในไอดอลของจอห์นสันอีกคน ยังมีความเชื่อมโยงกันอีกด้วย เนื่องจากเธอเคยร่วมแสดงในละครเวทีมิวสิคัลหลายเรื่อง อาทิ ‘Anyone Can Whistle’ และ ‘Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street’ ที่ซอนด์ไฮม์รับหน้าที่ประพันธ์เนื้อร้องด้วย แต่ก็ถือเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะเธอได้เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม หลังจากถ่ายทำได้ไม่นาน ทำให้การรับบท Cameo ในหนังเรื่องนี้กลายเป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเธอ
“การได้บอกกับ แองเจลา แลนส์เบอรี ว่างานของเธอมีความหมายต่อผมอย่างไร ได้เล่าให้เธอฟังตอนที่ผมดูเทปบันทึกการแสดงละครเวที ‘Sweeney Todd’ ที่ออกอากาศทางเคเบิลตอนที่ผมยังเด็ก ๆ ที่ทำให้ผมหลงรักละครเวที มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีสิทธิพิเศษอย่างมากที่ได้ทำสิ่งนี้”
สตีเฟน ซอนด์ไฮม์ (Stephen Sondheim)
รับบทเป็น สตีฟ (Steve S.) เพื่อนร่วมเกม Among Us ของ เบอนัวต์ บลองก์
สตีเฟน ซอนด์ไฮม์ (Stephen Sondheim) มาร่วมในหนังเรื่องนี้ในบท สตีฟ (Steve S.) หนึ่งในผู้ร่วมเล่นเกม Among Us ผ่านโปรแกรม Zoom ด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายคนอาจจะไม่คุ้นหน้า แต่บรรดาแฟน ๆ ละครเวทีน่าจะคุ้นชื่อของเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาคือนักประพันธ์เพลงทั้งคำร้องและทำนองชาวอเมริกันในตำนานอีกคนที่จอห์นสันชื่นชอบ
โดยเฉพาะการประพันธ์เนื้อเพลงให้กับละครเวทีมิวสิคัลระดับตำนานหลายเรื่อง ทั้ง ‘West Side Story’, ‘Gypsy’, ‘Follies’, ‘Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street’, และ ‘Into the Woods’ และยังถูกนำไปใช้เมื่อหนังเหล่านั้นถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และทีวีซีรีส์อีกด้วย และยังเป็นเจ้าของรางวัลโทนีอวอร์ด (Tony Awards) 8 รางวัล รางวัลแกรมมีอวอร์ด (Grammy Awards) 8 รางวัล และรางวัลออสการ์ สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเพลงประกอบภาพยนตร์ ‘Dick Tracy’ (1990)
นอกจากนี้ซอนด์ไฮม์ยังมีความเชื่อมโยงกับโลกของวรรณกรรมสายรหัสคดี เนื่องจากเขามีความชื่นชอบในนิยายสืบสวนสอบสวน และมีความสนใจในเกมไขปริศนา ทำให้เขาได้ร่วมกับนักแสดงชื่อดังอย่าง แอนโธนี เพอร์กินส์ (Anthony Perkins) เขียนบทภาพยนตร์แนวฆาตกรรม Whodunnit เรื่อง ‘The Last Of Sheila’ (1973) ซึ่งถือเป็นหนังเรี่องเดียวของซอนด์ไฮม์ที่ไม่ได้เล่าเรื่องแบบมิวสิคัล ตัวหนังกลายเป็นหนังแนว Whodunnit คลาสสิกในตำนานอีกเรื่อง โดยจอห์นสันชื่นชอบตัวหนังมากจนนำมาเป็นแรงบันดาลใจหลัก ๆ ในการเขียนบทหนังเรื่องนี้ และเขาเองก็เป็นแฟนละครเวทีมิวสิคัลของซอนด์ไฮม์ด้วยเช่นกัน ซึ่งเขาใช้คำว่า “ผมเป็นพวกคลั่งไคล้ละครเวทีครับ และ ซอนด์ไฮม์คือไอดอลของผมตลอดมา”
เบื้องหลังที่จอห์นสันเล่าใน Entertainment Weekly คือ เขาติดต่อกับซอนด์ไฮม์ผ่านตัวแทนของเขา และตัวแทนได้เล่าให้จอห์นสันฟังว่า ซอนด์ไฮม์ได้มีโอกาสชม ‘Knives Out’ ภาคแรกแล้ว และเขาก็ชอบมาก “วันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากซอนด์ไฮม์ เขาถามว่าผมจะเริ่มใช้ Zoom ได้เมื่อไหร่ มันเร็วและง่ายแบบดื้อ ๆ อย่างนั้นเลยครับ เขาอยู่ที่บ้าน ผมก็เลยเข้าห้อง Zoom กับเขา เราคุยกันประมาณ 15 นาที ผมรู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสบอกกับเขาว่า งานของเขามีความหมายอย่างไรกับชีวิตของผม เขาน่ารักโคตร ๆ และเขาก็มาเป็น Cameo เล็ก ๆ ในหนัง มันทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ ที่ได้เห็นเขาอยู่ในหนัง”
ความเป็นแฟนตัวยงพันธุ์แท้ซอนด์ไฮม์ของจอห์นสันไม่ได้มีแค่ในภาคนี้ เพราะใน ‘Knives Out’ ภาคแรก เขาได้ใส่ Easter Egg เกี่ยวกับซอนด์ไฮม์ไว้ด้วย นั่นก็คือฉากที่บลองก์ร้องเพลงในรถ ซึ่งเพลงที่เขาร้องก็คือเพลง “Losing My Mind” เพลงประกอบละครเวทีมิวสิคัลเรื่อง ‘Follies’ (1971) นั่นเอง (ส่วนถ้าใครดูพากย์ไทย จะได้ฟัง เบอนัวต์ บลองก์ ร้องเพลง “รักติดไซเรน” แทน)
ซึ่งซอนด์ไฮม์และแลนส์เบอรี กลายเป็นสองตำนานละครเวทีมิวสิคัลที่ได้ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากที่ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ ซอนด์ไฮม์ก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี 2021
“พวกเขาทั้งคู่อยู่ในหนัง เป็นช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่สนุกสนาน ผมไม่ได้อยากให้พวกเขาโผล่มาเยอะกว่านี้ เมื่อผมนึกถึงช่วงเวลานั้น มันเหมือนกับวาดวิมานบนอากาศเลย ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด”
“การที่พวกเขา (แลนส์เบอรีและซอนด์ไฮม์) อยู่ในภาพยนตร์ มันมีความหมายมาก ๆ และมันมีความหมายมากขึ้นสำหรับผมตอนที่ผมใช้เวลากับพวกเขาคนละ 10 นาทีเพื่อบอกว่า งานของพวกเขามีความหมายต่อผมอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พิเศษมาก ๆ เลยครับ”
(แถม) ไม่ได้มาปรากฏตัว แต่ถูกการกล่าวถึงในหนัง
จาเร็ต เลโต (Jared Leto)
รับบทเป็น เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มคอมบูชา
เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner)
รับบทเป็น นายกเทศมนตรีเจ้าของธุรกิจซอสพริก
นักแสดงทั้ง 2 คนนี้ไม่ได้มาปรากฏตัวและไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาถูกพูดถึงโดย ไมล์ส บรอน ในฐานะผู้ประกอบการที่อยากให้มหาเศรษฐีอย่างเขาช่วยเงินลงทุน โดย จาเร็ต เลโต (Jared Leto) นักแสดงชื่อดัง ถูกอ้างถึงว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ Hard Kombucha หรือคอมบูชาที่มีแอลกอฮอล์
ส่วน เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner) ที่เรารู้จักกันจากบท คลินต์ บาร์ตัน (Clint Barton) หรือ ฮอว์กอาย (Hawkeye) ของ Marvel ถูกบรอนอ้างถึงในบทบาทของนายกเทศมนตรีเมืองคิงส์ทาวน์ (Kingstown) ที่ผันตัวมาทำธุรกิจผลิตซอสพริก ซึ่งทั้งคอมบูชาและซอสพริกแม้จะดูไม่เกี่ยวข้องกับตัวหนังสักเท่าไหร่ แต่กลับมีส่วนช่วยให้ เฮเลน แบรนด์ เอาตัวรอดจากการไขคดีสุดอันตรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียดายที่ทั้งสองผลิตภัณฑ์ไม่มีอยู่จริง ถ้ามีจำหน่ายจริง ๆ ในตลาดน่าจะขายดีไม่ใช่เล่น
ที่มา: Entertainment Weekly, Town and Country Magazine, ELLE, Time, Inverse, CinemaBlend, Wikipedia
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส