ยังคงแรงไม่ตกสำหรับ ‘Avatar: The Way of Water’ ที่กวาดรายได้ไปถึง 1,713 ล้านเหรียญทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ และมีแนวโน้วจะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน อะไรทำให้ภาพยนตร์ภาคต่อที่ห่างจากภาคแรกถึง 13 ปี ถึงยังได้รับความนิยมมากมาย เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) จะมาบอกเล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของความสำเร็จนี้ แม้ว่ากระแสของสตรีมมิงซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ ‘Avatar: The Way of Water’ ก็ยังทำให้คนลุกจากหน้าจอทีวีออกจากบ้านเข้าโรงหนังจนได้ นับว่าเป็นสัญญาญที่ดีของวงการหนังฮอลลีวูดที่ซบเซามานาน 

เบื้องหลังของหนังภาคต่อที่ต้องรอคอยถึง 13 ปีที่ผ่านอะไรมามากมาย เริ่มจากหนังถูกสร้างในสมัยที่ 21st Century Fox ยังไม่ถูกซื้อ จนกระทั่ง Walt Disney เข้ามาควบกิจการไปในปี 2019 ซึ่งในขณะนั้น ‘Avatar: The Way of Water’ ถ่ายทำใกล้จบสมบูรณ์แล้ว คาเมเรอนก็กำลังวางแผนที่จะสร้างภาค 3-4 ต่อแล้วด้วย ซึ่งเขาเองก็กังวลอยู่ไม่น้อยว่าโปรเจกต์จะมีปัญหาเขาจึงวางแผนเข้าไปนำเสนองานกับดิสนีย์เองเสียเลย “พวกเขารู้ว่าซื้ออะไรไป แต่พวกเขายังไม่รู้จักเรา ไม่รู้ว่าเราจะสร้าง  ‘Avatar’ แบบไหน ก็เพราะพวกเขาทำหนังไม่เป็นไงล่ะ” คาเมรอนเล่าถึงสิ่งที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญของเขา “เราแสดงให้เขาเห็นถึงทัศนคติที่เยี่ยมยอดของพวกเรา เปิดเผยกันแบบใส ๆ เลย ไม่มีอะไรปิดบังกัน เราเฮฮาปาร์ตี้ ทำงานกันแบบสนุกสนาน หรืออาจจะเกิดปัญหาบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรเราเคลียร์กันได้ครับ เพราะนี่คือทีม” 

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับดิสนีย์อีกครั้งเมื่อ บ็อบ เชเปก (Bob Chapek) เข้ามารับตำแหน่ง CEO แทน บ๊อบ อีเกอร์ (Bob Iger) ที่เกษียณไปในปี 2020 แต่ก็ไม่ส่งผลอะไรมากนักกับคาเมรอน เพราะตัวเขาเองสนิทสนมอยู่กับ อลัน เบิร์กแมน (Alan Bergman) หัวหน้าสตูดิโออยู่แล้ว แต่แนวทางในการบริหารที่เปลี่ยนไปเขาเองก็กังวลอยู่บ้าง เพราะตอนนั้น ‘Avatar: The Way of Water’ นั้นเสร็จสิ้นกระบวนการถ่ายทำทุกขั้นตอนเรียบร้อย เหลือเพียงจัดการเกี่ยวกับขั้นตอนหลังการถ่ายทำในคอมพิวเตอร์ “เรากำลังพิสูจน์ตัวเองให้พวกเขาเห็น” คาเมรอนกล่าว “เราสงสัยนิดหน่อยเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับจุดขายหลักของพวกเขา และเราเองไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปอยู่ในวงจรของ Disney+ ด้วยหรือเปล่า” แต่ไม่นานนักอีเกอร์ก็กลับมารับตำแหน่งเดิมของเขาในปี 2022 “ทุกอย่างไปได้สวยเลย เราสองคนเคมีเข้ากันมาก ๆ ผมเดินสะดวกขึ้นเยอะเลยเมื่อเขากลับมา ”

แต่นายทุนก็คือนายทุน คาเมรอนเชื่อว่าดิสนีย์เองไม่ยอมเข้าเนื้อขาดทุนแน่ ๆ เพราะพวกเขาวางแผนเชิงธุรกิจการจัดจำหน่ายทั้งหลายในแฟรนไซส์เอาไว้ แล้วมุ่งเน้นไปในธุรกิจสตรีมมิงแทน ซึ่งจริง ๆ แล้วคาเมรอนเชื่อว่าควรดำเนินการควบคู่กันไปทั้งสองอย่างมากกว่า (หนังฉายในโรงภาพยนตร์ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรหลังจากมี Disney+) แต่ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็ให้ความสนใจในสตรีมมิงเช่นกัน เมื่อหมดห่วงกับ ‘Avatar: The Way of Water’ ที่กำลังเปรี้ยงปร้างไปทั่วโลกในขณะนี้ “ผมว่ามันดีนะ ผมชอบมากเลยแบบนี้ เพราะเราสามารถทำหนังยาว ๆ ลงในสตรีมก็ได้” เขาไม่ปิดโอกาสในการทำงานของตัวเอง เพราะ ‘Avatar: The Way of Water’ ต้องโดนหั่นออกถึงกว่า 40 นาที และเค้าก็ไม่ชอบใจเท่าไรนักกับการโดนตัดหนังครั้งนี้ และเขายังให้ทัศนะต่ออีกว่า “การทำหนังลงสตรีมมันเปิดโอกาสให้ทำงานร่วมกับคนอื่นเยอะขึ้นนะผมว่า ผมเองชอบอยู่แล้ว กับการทำงานกับผู้กำกับคนอื่น ๆ เหมือนตอนผมทำ ‘Alita: Battle Angel’ กับ โรเบิร์ต โรดริเกซ (Robert Rodriguez) ถึงมันจะไม่ทำกำไรเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละผมอยากทำภาคต่อ” 

คาเมรอนยังเชื่ออีกว่าสตรีมมิงคือสิ่งที่นายทุนตามสตูดิโอทั้งหลายต่างหว่านเงินแบบไม่คิดลงไปอย่างมหาศาล เพราะมันคือสมรภูมิรบหลักในการชิงคนดูนั่นเอง และมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ “ผมว่านะการที่คนดูจะต้องสมัครสมาชิกในทุก ๆ ช่องสตรีมเพื่อที่จะได้ดูอะไร ๆ ให้ครบ ๆ ตามใจต้องการ มันไม่ค่อยจะเข้าท่าเท่าไหร่ เหมือนกับวงแชร์ลูกโซ่ขนาดบิ๊กเบิ้มเลยเชียวล่ะ จริง ๆ มันควรมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างนะครับ” 

กลับมาที่ ‘Avatar: The Way of Water’ ปัญหาอีกอย่างคือโรคระบาดในช่วงที่กำลังถ่ายทำ โควิด-19 ทำให้ต้องพักกองถึง 5 เดือน และเพื่อให้งานดำเนินไปตามเป้าหมาย พวกเขาต้องย้ายกองไปถ่ายกันที่นิวซีแลนด์แทนในปี 2020 ท่ามกลางความเข้มงวดกวดขันในการเฝ้าระวังผู้ติดเชื้อ ก็ทำให้การทำงานมีอุปสรรคไม่น้อยเลย และสิ่งที่เขากังวลที่สุดในขณะนั้นคือถ้าเขาทำหนังเสร็จแล้ว จะเหลือโรงภาพยนตร์ที่ไหนให้เขาเอาหนังเข้าฉาย ในเมื่อมันไม่มีคนดู!! แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเลิกกังวลในข้อนี้ไปเรียบร้อย “ตอนนี้คนดูน่าจะอยู่ระหว่าง 75-80% ก่อนเกิดโรคระบาดนะครับ แต่คนดูน้อยลง รายได้ก็ลดลงด้วย กำไรน้อยลงนายทุนไม่ปลื้ม ตอนนี้ถึงแม้ว่ากำลังจะไปได้ดี แต่จุดคุ้มทุนของมันแล้วผมมองไว้ที่ 2,000 ล้านเหรียญครับ” เขาตั้งข้อสังเกตถึงรายได้ในอนาคตว่าจะถึงเป้าหมายอย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่ เขาให้ความเห็นว่าหนังจะได้เงินเยอะมากขึ้นเพราะคนดูไปดูซ้ำ หรือนำเข้าโปรแกรมฉายใหม่ แบบที่เขาเคยทำกับ ‘Titanic’ ซึ่งโดนนำกลับมาฉายใหม่ในโรงเรียกเงินคนดูซ้ำอยู่หลายครั้ง หลายปี และเก็บเพิ่มไปอีกเล็กน้อยกับการนำ ‘Avatar’ ภาคแรกมาฉายเรียกน้ำย่อยก่อนปล่อยภาค 2 และในอนาคตเขาก็จะทำแบบนี้กับ ‘Avatar: The Way of Water’ อย่างไรก็ดีเราก็คงต้องรอชมภาค 3-4 กันต่อไปอีกยาว ๆ กว่าจะจบครบเรื่องราวทั้งหมด รอชมไปด้วยกันครับ

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส