เชื่อเลยว่าหลายคนที่ได้ดู Everything Everywhere All at Once (หรือในชื่อไทย ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส) แล้วคงทราบแน่นอนว่า นี่คือบทบาทที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของ มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh) อย่างแท้จริง ทั้งจากการเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำมานั้น ก็เป็นการการันตีแล้วว่าหนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในชีวิตเธอ

แต่กว่าที่ มิเชล โหย่ว จะได้รับรางวัลนี้ นี่อาจเป็นการรอคอยที่นานที่สุดในชีวิตของเธอเลยก็ได้
มิเชล โหย่ว เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1962 ในเมืองอีโปะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ถึงแม้ว่าเธอมักจะเล่นเป็นอยู่คนจีนบ่อย ๆ แต่ความจริงแล้วภาษาแรกที่เธอพูดได้คือภาษาอังกฤษและมาเลย์ ซึ่งโหย่วก็กล้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก เพราะแค่เพียง 4 ขวบเธอก็เริ่มเรียนบัลเลต์เพื่อแสดงโชว์แล้ว
เมื่ออายุได้ 20 ปี โหย่วชนะการประกวด Miss Malaysia World นั่นทำให้เธอ ได้เป็นตัวแทนของมาเลเซีย ไปประกวด Miss World ที่ลอนดอน หลังจากนั้น 1 ปีต่อมา โหย่วก็ได้มีโอกาสเล่นโฆษณากับ เฉินหลง (Jackie Chan) นั่นทำให้เธอได้รับความสนใจจากสื่อฮ่องกงเป็นอย่างมาก และวงการบันเทิงก็อ้าแขนรับโหย่วทันที เรียกได้ว่าเฉินหลงเป็นคนเปิดประตูวงการบันเทิงให้ มิเชล โหย่ว เลยก็ว่าได้
ในเวลานั้นเธอค่อย ๆ เริ่มสะสมเครดิตวงการบันเทิงไปเรื่อย ๆ ทั้งการรับเชิญหรือเป็นตัวหลักในหนัง ก็ช่วยให้เธอโดดเด่นขึ้นมา และด้วยทักษะด้านบัลเลต์ ทำให้เธอเล่นคิวบู๊ได้อย่างโดดเด่น จนในที่สุดชื่อของ มิเชล โหย่ว ก็ดังเป็นพลุแตกใน Yes, Madam (1985) หรือในชื่อไทยอย่าง ‘โอ้โห ซือเจ๊’ และนั่นทำให้แฟนหนังบ้านเราเรียกเธอว่า ซือเจ๊ ไปโดยปริยาย
ในเวลานั้นชีวิตของโหย่วก็วนเวียนในวงการบันเทิงฮ่องกง เพราะเธอถือเป็นแอ็กชันสตาร์หญิงที่ดังสุดขีด แต่ขณะที่เธอกำลังรุ่งสุด ๆ นั้นเอง โหย่วก็ถอนตัวออกจากวงการเพราะจะไปแต่งงานกับนักธุรกิจอย่าง ดิ๊กสัน พูน (Dickson Poon) เพื่อไปเป็นแม่บ้านอย่างเต็มตัว

“ในเวลานั้น ฉันไม่สามารถแบ่งเวลาชีวิตให้กับงานได้ เพราะการต้องเป็นทั้งภรรยาและนักแสดงนั้นยากสำหรับฉันมาก”
มิเชล โหย่ว ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
แต่จนแล้วจนรอด หลังจากเธอหายหน้าจากวงการบันเทิงไปถึง 4 ปี ชีวิตคู่ของเธอกับสามีนั้น ก็ถึงจุดสิ้นสุด นั่นเพราะว่า มิเชล โหย่ว ไม่สามารถมีลูกได้ เธอกับเขาจึงลาจากกันด้วยดี แต่การที่ไม่สามารถมีลูกได้ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจโหย่วเสมอมา
หลังจากนั้น เธอก็ได้รับโอกาสจากเฉินหลงให้กลับมาเล่นหนัง Supercop (วิ่งสู้ฟัด 3) ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เฉินหลงจูงมือ มิเชล โหย่วให้กลับมาสู่วงการบันเทิง หลังจากหนังเรื่องนี้ เธอยิ่งกลับมาดังกว่าเดิมเสียอีก

และก้าวใหญ่ที่สำคัญของโหย่วก็มาถึง เมื่อเธอได้ประกบ เพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) ใน Tomorrow Never Dies (1997) ซึ่งในกองถ่ายนั้น คิวบู๊เธอก็เฉิดฉายกว่าใคร จนถึงขนาดที่บรอสแนนเรียกเธอว่าเป็น ‘เจมส์ บอนด์ เวอร์ชันผู้หญิง’ เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ทำให้ฮอลลีวูดได้รู้จักกับนักแสดงชื่อ มิเชล โหย่ว เป็นต้นมา หลังจากนั้นบทที่เธอได้จึงมักจะเป็นบทหญิงแกร่ง หรือสาวนักสู้ และแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปทำให้เธอบู๊ได้น้อยลง แต่บทที่เธอได้ก็ยังคงเป็นผู้นำหญิงแกร่ง หรือปรมาจารย์ที่เก่งกาจอยู่เสมอ แม้ว่าบทสมทบเหล่านั้น จะทำให้เธอมีกินมีใช้ในทุกวันนี้ แต่มันก็มีสิ่งที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจเธอ
บทที่โหย่วได้ มักจะเริ่มไปในแนวทางเดิม และไม่ท้าทายกับเธอเสียแล้ว แน่นอนว่าบทหญิงแกร่งนี้ ทำให้เธอลืมตาอ้าปากในฮอลลีวูดได้ แต่สำหรับนักแสดงแล้ว พวกเขายังคงรอคอยบทอันท้าทาย ที่จะช่วยให้พวกเขาได้แสดงความสามารถที่มี

“ฉันอยากร่วมงานกับผู้กำกับรุ่นใหม่เสมอ เพราะพวกเขามักจะโยนบทอันท้าทาย ที่ฉันไม่ค่อยได้เจอเข้ามาบ่อย ๆ”
ในปี 2018 มิเชล โหย่ว รับบท เอลินอร์ ยัง ในหนัง Crazy Rich Asians บทบาทนี้ทำให้เธอได้เล่นในแนวทางใหม่ ๆ เธอได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากคนดู และชื่อของ มิเชล โหย่ว ก็กลับมาเป็นที่รู้จัก เพราะฝีมือด้านการแสดงอีกครั้ง

ในวันหนึ่งเธอก็ได้รับการติดต่อจากค่าย A24 ให้พิจารณาบทที่ส่งมา มันเป็นหนังเกี่ยวกับมัลติเวิร์สของหญิงคนหนึ่ง
“โดยทั่วไปแล้ว ในภาพยนตร์แอ็กชัน ฉันมักจะรับบทเป็นหญิงแกร่งอยู่เสมอ แต่ในหนังเรื่องนี้ฉันเป็นแม่ที่ล้มเหลวในทุกสิ่ง ขณะเดียวกัน ฉันก็ยังคงเป็นนักสู้จากมัลติเวิร์สอื่น ๆ ด้วย”
หลังจากอ่านบทและเรียนรู้ทุกสิ่งที่ตัวละครของเธอต้องเผชิญแล้ว โหย่วก็ตอบรับโดยทันที เพราะนี่คือโอกาสเดียวที่จะทำให้แฟน ๆ ของเธอได้เห็นว่าเธอก็ทำได้

“มันเป็นโอกาสที่จะแสดงให้โลกเห็นว่า ฉันก็เล่นซีนอารมณ์ ตลกและเศร้าได้ ฉันอยากให้ทุกคนเห็นว่าฉันสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้”
และในที่สุดมันก็ได้กลายเป็นหนังชื่อ Everything Everywhere All at Once ที่นำแสดงโดย มิเชล โหย่ว ด้วยบทของเธอในหนังเรื่องนี้ มันทำให้โหย่วได้แสดง สิ่งที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน เธอทุ่มสุดตัวกับโปรเจกต์นี้ ชนิดที่ว่ายอมปฏิเสธเงินจากหนังใหญ่ เพื่อให้เวลากับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่

“ฉันรู้สึกเหมือนเตรียมตัวมาตลอด 40 ปีเพื่อเล่นหนังเรื่องนี้”
และแล้ว ความมุมานะของเธอก็ผลิดอกออกผล หลังจาก Everything Everywhere All at Once เข้าฉาย มันก็ได้รับคำวิจารณ์ดีเยี่ยม กลายเป็นหนังที่รายได้สูงสุดของค่าย A24 พร้อมกันนั้นยังทำให้ชื่อของ มิเชล โหย่ว กลับมาเป็นที่รู้จัก ในฐานะการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเธอ และยังทำให้ มิเชล โหย่วได้รับรางวัลลูกโลกทองคำครั้งแรกในชีวิตจากบทบาทนี้อีกด้วย

“มันเป็นการเดินทางที่น่าอัศจรรย์ เหลือเชื่อจริง ๆ ที่ฉันได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้”
มิเชล โหย่ว กล่าวขณะรับรางวัลลูกโลกทองคำ
ที่มา: avclub, vanityfair, wikipedia, imdb, flickeringmyth, holbornassets, britannica, scmp
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส