เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่คอเพลงหลายคนน่าจะรอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง นับตั้งแต่เปิดตัว จนมีการปล่อยทีเซอร์แรกออกมาให้ชมเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว กับซีรีส์ ‘The Idol’ ซีรีส์ดราม่าเรื่องใหม่ของ HBO ที่สามารถจุดติดกระแสได้ตั้งแต่การเปิดตัว อาเบล เทสเฟย์ (Abel Tesfaye) หรือ เดอะวีกเอนด์ (The Weeknd) ที่ลงมือเขียนบท ร่วมแสดงนำ และรับหน้าที่เป็นครีเอเตอร์ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก และนักแสดงชั้นนำอีกคับคั่ง ทั้ง ลิลลี-โรส เดปป์ (Lily-Rose Depp) นักแสดงและนางแบบทายาทดาราดัง และศิลปินหนุ่ม ทรอย ซีวาน (Troye Sivan)
รวมทั้งการปรากฏตัวของ เจนนี่ คิม (Jennie Kim) หรือ เจนนี่ ศิลปินสมาชิกวง K-Pop ระดับโลกอย่าง BLACKPINK ที่เรียกเสียงกรี๊ดจาก BLINK หรือแฟนคลับของวง รวมทั้งพล็อตที่ว่าด้วยเรื่องราวของโจเซลีน (Lily-Rose Depp) นักร้องแนวป๊อปที่มีความสัมพันธ์กับเท็ดรอส (The Weeknd) เจ้าของคลับในลอสแองเจลิส และผู้นำลัทธิลึกลับ กับเรื่องราวมุมมืดของอุตสาหกรรมบันเทิงที่รายล้อมไปด้วยยาเสพติด เซ็กส์ และความสัมพันธ์เป็นพิษ (Toxic Relationship)
แต่แม้ว่า ณ ตอนนี้จะยังไม่ได้เข้าฉาย แต่ก็ดูมีวี่แววว่าเบื้องหลังของซีรีส์เรื่องนี้ดูจะฉาวเกินหน้าเกินตาพล็อตเรื่องเสียแล้ว เพราะล่าสุด นิตยสาร Rolling Stone ได้เผยแพร่บทความที่แฉเบื้องหลังการสร้างซีรีส์ ซึ่งอ้างอิงจากแหล่งข่าวที่อ้างว่าเป็นทีมงานของซีรีส์เรื่องนี้ จำนวน 13 คน ที่ต่างเผยตรงกันว่า การถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ล้วนเต็มไปด้วยความวุ่นวายและดราม่าต่าง ๆ นานา ทั้งการทำงานที่เป็นพิษ การสั่งแก้บทและถ่ายซ่อมไม่มีหยุดหย่อน เพื่อยัดเยียดฉากความรุนแรงทางเพศลงไปในซีรีส์ และบทบาทของนักแสดงที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีบทบาทอะไร
เรื่องเริ่มต้นหลังจากที่ HBO เริ่มไฟเขียวให้เดินหน้าถ่ายทำตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 โดยหวังว่าตัวซีรีส์จะได้ออกอากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2022 ต่อจากซีรีส์ ‘House of the Dragon’ จบไปไม่นาน การถ่ายทำซีรีส์ดำเนินมาจนถึงเดือนเมษายน 2022 มีรายงานว่า เอมี ไซเมตซ์ (Amy Seimetz) ผู้กำกับหญิงของซีรีส์ได้ถอนตัวออกไป รวมทั้งนักแสดงอย่าง ซูซานนา ซอน (Suzanna Son) ก็ถอนตัวไปด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่ถอนตัวออกไปก็เพราะว่า The Weeknd ได้เข้ามาแทรกแซงในการแก้ไขบทและมุมมองที่เขามองว่ามี ‘มุมมองของผู้หญิง’ มากจนเกินไป และหันมาโฟกัสตัวละครของเดปป์ แทนที่จะเป็นตัวละครที่เขาแสดง ที่รับบทเป็นเจ้าลัทธิประหลาดที่มักจะมีความสัมพันธ์ลึกลับกับนักร้อง ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่เขาและเลวินสันที่เขียนบทร่วมกันต้องการตั้งแต่แรก
จนกระทั่ง แซม เลวินสัน (Sam Levinson) ครีเอเตอร์จากซีรีส์ดังอื้อฉาว ‘Euphoria’ (2019) ครีเอเตอร์และโปรดิวเซอร์ของซีรีส์เรื่องนี้ ได้ลงมารับหน้าที่กำกับด้วยตัวเอง ซึ่งเขาได้ทำการสั่งโละเนื้อเรื่องเดิม แก้บท และถ่ายทำใหม่ ทั้ง ๆ ที่ตัวซีรีส์ถ่ายทำไปได้มากถึงกว่า 80% และใช้งบประมาณในการถ่ายทำไปมากถึงราว ๆ 54-75 ล้านเหรียญ
โดยเลวินสันได้เข้ามาเปลี่ยนแนวทางเดิมของไซเมตซ์ ที่ว่าด้วยเรื่องของการแฉอิทธิพลมืด และการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบในวงการบันเทิงออกไปจนสิ้น จนเนื้อหาเริ่มเต็มไปด้วยจินตนาการทางเพศที่รุนแรง ฉากนู้ด และจินตนาการเกี่ยวกับการข่มขืน (Rape Fantasy) ซึ่งทีมงานบางรายเผยซีรีส์เรื่องนี้มีฉากความรุนแรงทางเพศหนักหน่วงยิ่งกว่าซีรีส์ ‘Euphoria’ ที่ตัวเขาเองเคยกำกับเสียอีก
The Weeknd เริ่มเข้ามาแทรกแซงปรับเปลี่ยนบทดั้งเดิม จากเรื่องราวมุ่งเน้นไปที่ตัวละครโจเซลิน (แสดงโดยลิลลี-โรส เดปป์) ที่มีความเป็น Faminist (สตรีนิยม) เบนเข็มไปเพิ่มเนื้อหาและฉากจินตนาการทางเพศที่โจ๋งครึ่ม ตัวละครที่มีลักษณะนิสัย มุมมอง และจินตนาการทางเพศที่เป็นพิษ ที่สะท้อนให้เห็นผ่านตัวละครผู้หญิงที่ชื่นชอบการถูกข่มขืน และถูกกระทำทางเพศอย่างรุนแรง เพราะมองว่าจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในวงการบันเทิง
แม้เวอร์ชันเดิมที่ไซเมตซ์กำกับจะมีฉากเซ็กส์อยู่บ้าง แต่ในบทความได้เปิดเผยว่า ในสคริปต์ที่มีการแก้ไขใหม่ มีการเพิ่มเนื้อเรื่องที่สะท้อนเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงของเลวินสันที่ถูกตัดออกไป เช่น มีฉากที่ The Weeknd เกิดอารมณ์ทางเพศ หลังจากที่เขาทุบตีใบหน้าของเดปป์ เนื่องจากเธอยิ้มให้และขอให้ตบตีเธออีกครั้งด้วยความคลั่งไคล้
และฉากที่ตัวละครของ The Weeknd ใส่ไข่เข้าไปในช่องคลอดของตัวละครของเดปป์ และพูดว่าเขาจะปฏิเสธไม่ข่มขืนเธอ ถ้าเธอทำให้ไข่ตกหรือแตก ซึ่งภายหลังฉากนี้ถูกตัดออกไปเพราะไม่สามารถถ่ายทำออกมาให้สมจริง (โดยที่ไม่ต้องใส่ไข่ลงไปจริง ๆ ) “นี่มันอย่างกับว่า…อะไรวะเนี่ย ฉันกำลังอ่านอะไรอยู่ ? มันเหมือนกับหนังโป๊ซาดิสม์เลยนะ…” แหล่งข่าวคนหนึ่งอธิบาย
แหล่งข่าวยังได้เผยว่า HBO เองต้องการควบคุมงบประมาณของซีรีส์เรื่องนี้ให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ด้วยงบประมาณทั้งซีซันที่ประมาณ 57 ล้านเหรียญ หรือเฉลี่ยประมาณ 9 ล้านเหรียญต่อซีรีส์จำนวน 6 ตอน (ซึ่งใช้งบครึ่งหนึ่งของซีรีส์ ‘Euphoria’ ซีซัน 2 ที่คาดว่าน่าจะใช้งบประมาณที่ 110 ล้านเหรียญ) ในขณะที่ผู้บริหารเองคาดว่าจะให้ไซเมตซ์ทำงานโปรดักชันให้ได้ดีเทียบเท่ากับ ‘Euphoria’
ในขณะที่ทีมงาน 2 คนเผยว่า ตัวซีรีส์ยังต้องถ่ายซ่อมอยู่เรื่อย ๆ จากการที่ The Weeknd สั่งปรับแก้สคริปต์แบบไม่หยุดหย่อน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าในระหว่างถ่ายทำ เลวินสันยังโฟกัสในการถ่ายทำช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ‘Euphoria’ ซีซัน 2 จนแทบไม่มีเวลามากำกับเอง (แต่มาปรากฏในฉากที่เดปป์และ The Weeknd เข้าฉากอย่างว่า) ส่วน The Weeknd เองก็ติดตารางงานและทัวร์คอนเสิร์ต ทำให้ทีมงานเองก็เหนื่อยในการตามแก้สคริปต์เพื่อให้เขามีบทบาทมากขึ้นอยู่บ่อยครั้งมาก จนไม่แน่ใจว่าเวอร์ชันไฟนอลของซีรีส์จะออกมาเป็นแบบไหน
ทีมงานคนหนึ่งเผยว่า เวอร์ชันแรกของสคริปต์นั้นได้รับการแก้มาแล้วกว่า 20 ครั้ง “เราแก้มันทุกวันเลย จะบ้าเกินไปแล้ว” ทีมงานอีกคนยืนยันว่า “มันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เป็นเรื่องตลกที่มีการแก้หลายครั้งมาก มีทั้งเปลี่ยนเล็กน้อยตั้งแต่ชื่อตัวละคร หรือเปลี่ยนแบบยกใหญ่เช่นการเปลี่ยนฉาก หรือตัดบางซีเควนซ์ออกไปเลย “
ทีมงานวงในบางรายเผยว่า พวกเขาชื่นชอบบทต้นฉบับดั้งเดิมมากกว่า ชนิดที่ว่าพวกเขายอมเข้ามาเป็นทีมงานของซีรีส์เรื่องนี้ก็เพราะว่าพวกเขาประทับใจเรื่องราวที่ ‘สามารถจับต้องได้และดีจนวางไม่ลง’ แต่หลังจากที่มีการมีการแทรกแซง ทำให้สคริปต์ตอนสุดท้ายนั้นเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว และบทสรุปจบก็ยังไม่ได้เขียน ฝ่ายโปรดักชันคนหนึ่งที่เป็นแหล่งข่าวถึงกับจำกัดความว่าซีรีส์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความ ‘ห่วยแตก’ (S**tshow) เหลือเกิน
แม้ว่าเบื้องบนจะชอบทิศทางเรื่องราวในแบบที่ไซเมตซ์อุตส่าห์ปูเรื่อง แต่แหล่งข่าวเผยว่าเบื้องหลังการถอนตัวนั้น อาจเกิดขึ้นเพราะไซเมตซ์ (คล้ายว่าจะ) ถูกบีบให้ออกจากซีรีส์เรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนที่เธอเข้ามาเตรียมงานล่วงหน้าด้วยซ้ำ ทั้งการที่เธอได้รับสคริปต์ที่ยังไม่เสร็จ ตารางเวลาที่กระชั้นผิดปกติ และการจับมาทำงานกับโชว์รันเนอร์ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ แถมตารางเวลายังชนตอนที่เธอไปร่วมแสดงซีรีส์ ‘Sweet Tooth’ ของ Netflix อีก เธอจึงมีการเจรจาว่าอาจจะให้ ไท เวสต์ (Ti West) ผู้กำกับหนังเชือด ‘X’ (2022) และ ‘Pearl’ (2022) มาช่วยกำกับด้วย แต่สุดท้ายการเจรจาก็ไม่เป็นผล และนำไปสู่การถอนตัวในเวลาต่อมา
“นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า เลวินสันมีอิทธิพลต่อ HBO มากขนาดไหน และพวกเขาก็จะปกปิดต่อไป เพราะเขาเป็นคนที่ทำเงินมาให้ เขาสามารถไปไหนก็ได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ และทุกคนก็ยังอยากทำงาน ยังอยากเดินตามเขาอยู่ ไม่มีใครสนใจคำเตือนหรอก” แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว
บทความนี้ยังได้เปิดเผยถึงบทบาทของ เจนนี BLACKPINK ในซีรีส์ ซึ่งนี่เป็นการทำงานการแสดงครั้งแรกในชีวิตของเธอด้วย จนทำให้แฟน ๆ ของเธอต่างก็เฝ้ารอชมบทบาทของเธอในซีรีส์เรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ แต่แหล่งข่าวในบทความนี้ได้เผยว่า เธอเองแทบจะไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในซีรีส์ “เหมือนว่าเธอจะมีบทแค่ 3 หรือ 4 บรรทัดต่อตอนนี่แหละ พวกเขาไม่ได้ให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านี้ งานหลักของเธอคือการนั่งทำตัวสวย ๆ อยู่ตรงนั้น แค่นั้นเอง”
ซึ่งภายหลังจากที่ Rolling Stone ได้เผยแพร่บทความนี้ นักแสดงนำอย่าง ลิลลี-โรส เดปป์ เจ้าของบทโจเซลิน ได้ออกมาปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวในกองถ่ายกับทาง The Hollywood Reporter “ตัวฉันเองไม่เคยรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน และให้เกียรติในความคิดสร้างสรรค์มากเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ ความคิดเห็นของฉันมีค่ามาก และการทำงานร่วมกันกับแซม ก็เป็นการร่วมมือที่ดี มันสำคัญกับเขามากกว่าอะไรทั้งหมด ไม่ใช่แค่ความคิดเรื่องงาน แต่เขายังให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเราที่ต้องสวมในบทบาทนั้นด้วย”
ในขณะที่นักแสดงและครีเอเตอร์เจ้าของโปรเจกต์อย่าง The Weeknd ก็ได้ออกมาตอบโต้บทความนี้ด้วยการโพสต์วิดีโอพร้อมกับแคปชัน “เราไปทำอะไรให้คุณโกรธหรือ” ส่วนในวิดีโอเขาเองก็ตอกกลับแบบเจ็บ ๆ คัน ๆ ถึง อิทธิพลของ Rolling Stone ต่อวงการดนตรีว่า “ไม่มีใครสนใจ Rolling Stone หรอก… Rolling Stone มีผู้ติดตาม 6 ล้านคนใน Instagram และครึ่งหนึ่งก็เป็นบอต ส่วนโจเซลีนมีผู้ติดตาม 78 ล้านคน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง สมมติว่าเธอถ่ายภาพแล้วก็แท็กไป พวกเขาก็ได้ผู้ติดตามเพิ่ม Rolling Stone ได้เงินเพิ่ม แต่โจเซลีนไม่ได้อะไร”
ที่มา: Rolling Stone, Variety, The Hollywood Reporter, IndieWire, IndieWire (2), NME
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส