เต้น นรารักษ์ ใจบำรุง คือหนึ่งในนักร้องหญิงคุณภาพของวงการเพลงไทย ล่าสุดเต้นได้ออกซิงเกิลใหม่ “เบาหวาน” ที่เธอได้เปลี่ยนลุคเปลี่ยนแนวทางใหม่ ๆ ออกมาให้เราได้ฟังกัน Beartai Buzz ได้มีโอกาสคุยกับเต้น ที่จะมาเล่าให้เราฟังถึงการทำงานเพลงซิงเกิลใหม่ของเธอ รวมไปถึงแชร์มุมมองและประสบการณ์ที่มีต่อการเป็นนักร้องและศิลปินให้เราได้รู้จักตัวตนของเธอกันมากขึ้น
ซิงเกิลล่าสุด “เบาหวาน” เหมือนเพลงนี้ทั้งตัวลุคทั้งตัวเพลงจะค่อนข้างมีสไตล์ที่แตกต่างจากเพลงก่อน ๆ ที่เต้นเคยทำมา อยากรู้ว่าเพลงนี้มีที่มาที่ไปยังไง
ก็เริ่มจากดนตรีก่อนค่ะ คือดนตรีมาก่อนซึ่งดนตรีเนี่ยพี่แมว จิรศักดิ์ (จิระศักดิ์ ปานพุ่ม) ทำให้ ก็บังเอิญว่าได้เจอพี่แมว เราก็ได้คุยกันแล้วพี่แมวก็บอกว่าจะทำดนตรีให้ไหม ก็เลยได้ดนตรีนมาก่อน แล้วตอนนั้นก็ยังไม่มีเนื้อเพลงเลย ก็เลยหาคนแต่งให้ ก็เลยติดต่อหาพี่น้ำ นุสรี ค่ะ ซึ่งพี่น้ำก็แต่งเพลงให้หลายคนเลย ก่อนที่จะโทรหาพี่เขา เต้นก็จะคิดไปก่อนแล้วว่าอยากได้เนื้อเพลงประมาณไหนยังไง แล้วก็เล่าให้เขาฟัง คือที่ผ่านมาเพลงของเต้นมักจะเป็นแบบโดนกระทำโดนหักหลังมาตลอด ก็เลยอยากจะได้ในมุมมองที่บอกว่าความรักลดลงบ้าง ตอนแรกจะเอาแบบว่าให้ต่างคนต่างลดลงจนแบบไม่รู้สึกอะไรกันแล้ว แต่คิดไปคิดมาเดี๋ยวคนจะไม่เก็ต แล้วเราก็เป็นผู้หญิงก็เลยร้องในมุมมองผู้หญิงที่ขี้น้อยใจคิดมากแบบนี้ดีกว่า เป็นความรู้สึกว่าแฟนเรารักเราลดลงน้อยลงหรือเปล่า ก็เลยได้เป็นเพลงนี้ออกมา ตอนแรกจะตั้งชื่อว่า “อ่อนหวาน” แต่รู้สึกว่ามันเบาไป แล้วช่วงนั้นเต้นไปหาหมอบ่อย ก็เลยโอเคชื่อ “เบาหวาน” ดีกว่ามันง่ายแล้วมันก็สะดุดหูดีด้วยค่ะ
คนส่วนใหญ่เวลานึกถึงงานพี่แมวก็จะนึกถึงเพลงร็อก แต่ “เบาหวาน” นี่เป็นไปอีกแนวเลย
ใช่ค่ะ ส่วนใหญ่เวลาคนนึกถึงพี่แมวก็จะแบบว่าร็อกเกอร์อะไรแบบนี้ เต้นก็ติดตามพี่แมวตั้งแต่เด็ก ไม่ได้ชอบแค่เพลงร็อกแต่ชอบตอนที่พี่เขาเล่นแจ๊สด้วย แล้วเต้นก็รู้ว่าพี่แมวทำเพลงได้หลาย ๆ แนวมาก ๆ เต้นก็เลยบอกพี่แมวไปว่าอยากจะลองอะไรให้มันแปลกจากที่เต้นเคยทำมา จากเดิมที่เป็นแนวป๊อปร็อก คราวนี้ก็จะมาซิตี้ป๊อปนิด ๆ เป็นอิเล็กทรอนิกส์เยอะหน่อย จะได้เข้ากับยุคสมัยด้วยค่ะ ช่วงนี้วัยรุ่นชอบเพลงแนวนี้เยอะ
อีกอย่างที่ถือว่าแปลกใหม่ก็คือเต้นเล่นเอ็มวีเองด้วย
จริง ๆ แล้วตอนแรกกะจะให้คนอื่นเล่น แต่ก็มีแต่คนยุว่าทำไมไม่เล่นเองเลย ก็เลยจัดให้แบบว่าเต้นเล่นเป็นคนที่อายุเยอะ ๆ หน่อยไม่เยอะมาก และก็ไม่ได้สวยมาก แต่มีแฟนหล่อแฟนเด็กอะไรแบบนี้ ซึ่งมันค่อนข้างจะซับซ้อนนิดนึง เนื่องจากว่าเรามีนักแสดงค่อนข้างเยอะ หมายถึงว่ามีนักแสดงรับเชิญเยอะ ไม่ว่าจะเป็นดาว TikTok เกือบทั้งนั้นเลย ก็จะแบบเอ๊ะจะให้เค้าเล่นอะไรดีนะอะไรอย่างงี้ ส่วนเรื่องการแสดงก็ไม่ค่อยยากเท่าไหร่เพราะว่า เต้นก็พอได้อยู่แล้ว บวกกับพระเอกที่มาแสดงคือก็รู้จักกันอยู่แล้วสนิทกันอยู่ ก็เลยไม่ได้ยากมากค่ะ
เต้นเริ่มร้องเพลงแบบจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่
เริ่มจากอนุบาลก่อนเลยค่ะ อนุบาล 3 จำได้เลย สมัยนั้นจะมีการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งก็คือการ์ตูนที่เป็นไดโนเสาร์ Little Foot อ่ะค่ะ (The Land Before Time) แล้วมันจะมีเพลงประกอบการ์ตูนชื่อเพลง “If We Hold On Together” จำได้ว่าก็ร้องตามเลยยังไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยด้วยซ้ำ ก็แค่ร้องเป็นเมโลดี้ฮัม ๆ ไป แล้วน้าเต้นเขามาได้ยิน ก็เลยเหมือนกับเห็นแวว ก็เลยเอาเต้นไปฝึกร้องเพลง ซึ่งน้าเต้นเขาก็เป็นนักร้องประกวดที่โรงเรียนอยู่แล้ว เขาก็เลยแบบโอเคจัดเต็ม พาเต้นไปฝึกหายใจฝึกอะไรอีกเยอะเลย เต้นก็เลยมีพื้นตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองชอบร้องเพลง จนมาถึงประมาณม. 1 ค่ะ ช่วงประถมนี่เราก็จะประกวดพวกเพลงหมู่ที่ร้องกันเป็นหมู่คณะ ก็ยังไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอมาประมาณม. 1 ก็เริ่มประกวดร้องเพลงเดี่ยว พอประกวดแล้วมันได้รางวัล ก็รู้สึกว่าเฮ้ย ดีว่ะอะไรแบบนี้ ก็เลยเดินสายประกวดร้องเพลงมาตลอด เพราะรู้สึกว่าตัวเองน่าจะร้องเพลงแล้วรอด ก็อยากประกวดอยากจะไปร้องเพลงอยู่บนเวที อยากเด่นน่ะค่ะ (หัวเราะ) ก็เลยประกวดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พอตอนประกวดในโรงเรียนก็เฉย ๆ นะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอดูทีวีแล้วเจอประกวดศิลปิน เหมือนมันตาลุกวาว แล้วก็บอกตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าอยากเป็นแบบนี้แหละ ก็เลยบอกแม่ว่าให้แม่พาไปประกวดหน่อย แต่แม่ก็ไม่ค่อยมีเวลาหรอก ก็เลยไม่ค่อยได้ไปประกวดเท่าไหร่ พอโตขึ้นสักประมาณ ม. 3 ก็เริ่มที่จะไปเองแล้ว
เวทีไหนที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนและจดจำมันได้ดีที่สุด
ก็ต้องเป็นไมค์ไอดอลแน่นอนค่ะ คือก่อนที่เต้นจะมารายการไมค์ไอดอล (Mic Idol) เนี่ย เต้นมาออดิชันรายการของแกรมมี่เยอะมาก หลายรอบมาก ซึ่งเราก็ไม่ได้เข้ารอบอะไรเลย แต่พอมาเป็นไมค์ไอดอลแล้วมันได้เข้ารอบ จนในที่สุดก็ได้แชมป์ มันก็เฮ้ยได้แชมป์ว่ะอะไรอย่างงี้ แล้วมันได้แชมป์ถึง 8 สมัย แล้วพอถึงรอบแชมป์เราก็ได้ที่ 1 อีก ซึ่งพอหลังจากประกวดเสร็จปุ๊บ ก็ได้มีซิงเกิลเลย ซึ่งเราไม่ได้ทันตั้งตัวมาก่อน แต่ก็ดีใจมาก หลังจากนั้นคนก็เลยรู้จักเต้นตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ
ตอนที่ต้องมาร้องเพลงตัวเองเป็นครั้งแรกยากไหม
โอ๊ยยากค่ะเพราะไม่ชินเลย เต้นเข้าวงการโดยการเราประกวดร้องเพลง พอประกวดเสร็จแล้วเราก็ได้เป็นศิลปินเลย ซึ่งมันไม่ได้มีการฝึกมาก่อน ไม่มีการฝึกว่าการเป็นตัวเองคืออะไร แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเราจะต้องร้องยังไงสไตล์เราเป็นยังไง เราก็จะร้องแบบที่เราเคยร้อง ซึ่งตอนอัดร้องโปรดิวเซอร์คือแบบด่าเลย ด่าว่าเราเชยมาก ร้องเหมือนคนแก่เลย เราก็เลยแบบเอ๊ะยังไง พี่เขาก็เลยแนะนำว่าให้ลองแบบนี้ ๆ ดู ก็เลยลองปรับวิธีการร้องของเราดูค่ะแล้วก็เลยร้องแบบนั้นมาตลอด คนก็เลยจำได้ว่าเป็นเต้น นรารักษ์ร้องแบบนี้ เสียงเต้นเป็นแบบนี้ เราก็เลยรู้ว่าเป็นศิลปินไม่ใช่แค่ร้องเพลงเพราะ มันต้องมีคาแรกเตอร์ด้วยนะ
เต้นเคยเจอเวลาที่เราไม่อินเพลงตัวเองบ้างหรือเปล่า
มีค่ะ คือมันไม่ใช่ไม่เข้าใจเพลงตัวเองนะ แต่แค่ร้องเพลงตัวเองแล้วไม่อิน ตอนนั้นเหมือนผู้ใหญ่มองเห็นอะไรบางอย่างว่าเต้นควรจะไปเรียนเพอร์ฟอร์แมนซ์ เขาก็เลยส่งไปเรียนเพอร์ฟอร์ม ไปเรียนแอ็กติ้ง ซึ่งก็เรียนอยู่นานมาก ด้วยความที่เราไม่ได้เคยฝึกมาก่อน เราก็เลยแบบไม่เก็ตว่าอ้าวมันต้องอินแค่ไหน แล้วอินคืออะไร แล้วทำไมต้องขนาดนั้น เพราะว่าก่อนหน้านั้นเต้นเป็นนักร้องกลางคืนมาก่อน ร้องเพลงตามร้านอาหารมาก่อนบุคลิกเรามันก็เลยจะไปทางนั้น พอร้องเพลงทุกเพลงก็จะเหมือนนักร้องกลางคืนไปหมด วิธีการพูด วิธีการส่ง ก็เลยกลายเป็นว่าติดแบบนั้นอยู่นาน ร้องเพลงตัวเองไม่อินแต่ร้องเพลงคนอื่นอินมาก งงมาก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน พอครูเขาให้ดูเพลย์แบ็ก ก็รู้สึกเหมือนกันว่าเวลาร้องเพลงตัวเอง ทำไมล่อกแล่กมันดูไม่อิน พอร้องเพลงคนอื่นมันดูอินมากเลย ก็เลยคิดว่าเพราะเรายังไม่เจอตัวเองหรือเปล่า ไม่เข้าใจเพลงของตัวเองหรือเปล่า ก็เลยมานั่งคิดใหม่ ร้องไห้เลยนะเครียดมาก ก็เลยมาทำความรู้จักตัวเอง มานั่งคุยกับตัวเอง ว่าเราเป็นใคร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็นั่งไล่หมดเลย ทำความเข้าใจเพลงตัวเองและเรียนรู้ในเรื่องของการสื่อสารมากขึ้น ก็เลยทำให้ตอนนี้ค่อนข้างที่จะถนัดในเรื่องของการสื่อสาร ฝึกเยอะมากเลยเรื่องนี้
ปกติแล้วเต้นมีวิธีการทำเพลงยังไง เราเป็นคนคิดเพลงมาตั้งแต่แรกไหม
เพลง “เบาหวาน” นี่เป็นเพลงแรกที่เต้นได้มีส่วนร่วมมากที่สุดเลยค่ะ ตั้งแต่เนื้อเพลง ไปถึงร้อง ยกเว้นแค่เรื่องดนตรีที่พี่แมวทำทั้งหมดเลยค่ะ เนื้อร้องนี่ด้วยความที่ตอนแรกเต้นอยากแต่งเอง ก็ลองทำดูแต่มันไม่ได้จริง ๆ ก็เลยแบบอ้าวไม่เป็นไรงั้นเราแค่เขียนละกัน เขียนออกมาเป็นเรื่องราว เราเป็นคนแต่งเรื่องเก่ง คนสร้างเรื่องเก่งมีจินตนาการอะไรแบบนี้ ก็เลยเขียนเล่าออกมาค่ะ เพลงนี้เราขอเล่าในมุมที่ความรักมันลดลงบ้าง เป็นอารมณ์น้อยใจ ก็เลยได้คีย์เวิร์ดมาก่อน ก็คือ “เบาหวาน” แล้วก็ค่อย ๆ ขยายมาจากตรงนั้น
แสดงว่าเพลงก่อน ๆ ของเต้นก็จะมีคนแต่งมาให้ไว้อยู่แล้ว
เพลงก่อนหน้านี้ที่ปล่อยไปคือเพลง “ค้างใจ” อันนั้นเต้นก็มีส่วนร่วมในเรื่องของเนื้อเพลง แต่ว่าไม่ได้เยอะขนาดนี้ เหมือนแค่เต้นคิดคีย์เวิร์ดมา เต้นก็คิดถึงคำว่า “ค้างใจ” ขึ้นมาเฉย ๆ แล้วพี่เอ็กซ์ ศักดิธัช ก็เอาไปขยับต่อ แล้วก็มาคุยกันว่าแบบนี้เต้นชอบไหม อย่างในเพลง “เบาหวาน” เต้นคิดไปเลยว่า ในคำนี้มันหมายความว่าความหวังมันอ่อนลงมันเริ่มเบาลง เนื้อเพลงก็ไม่อยากให้มันดุเดือดมาก เพราะเราโตแล้ว จะมาแบบฟาดงวงฟาดงาเหมือนตอนเราเด็ก ๆ ก็ไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นด้วยยุคด้วยค่ะเพราะว่ายุคนี้เพลงถ้าเกิดฟาดมาก มันฟังได้ไม่หลายรอบ แล้วก็รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้สไตล์การฟังเพลงก็เปลี่ยนไปชอบฟังเพลงที่มันฟังได้เรื่อย ๆ ไม่ใช่เพลงที่แบบเอะอะฟาด เราจะฟังได้รอบสองรอบก็เบื่อแล้ว
บางคนบอกว่าเต้นคือเจ้าแม่แห่งเพลงเพื่อผู้หญิง เราตั้งใจวางตัวเองเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกรึเปล่า
ใช่ค่ะ ๆ คือด้วยความที่ตอนนั้นเราเด็กมากและประสบการณ์น้อยมาก ผู้ใหญ่ก็เลยคิดให้ทุกอย่างเลย แล้วเหมือนกับทั้งค่ายเพลงและพี่โปรดิวเซอร์เขาก็มองจากบุคลิก มองจากการพูดจาของเต้น ว่าน่าจะไปประมาณ แบบเป็นคนน้อยใจ ขี้โวยวาย เป็นคนเสียงดัง แล้วก็ชอบร้องเพลงเศร้า เพราะว่าเป็นคนเสียงค่อนข้างเศร้าเสียงหนา ๆ มาทางป๊อปร็อกได้เลย ก็เลยได้เพลงแบบที่ทุกคนเคยได้ยินกันมา ซึ่งมันก็ดี มันก็ประสบความสำเร็จพอสมควร แล้วมันก็เข้ากับเรา แบบว่าโอเคเราก็เป็นคนที่ที่น้อยใจ ขี้โวยวายจริง ๆ แหละ
แล้วในวันนี้ที่เราเริ่มมีบทบาทในการทำเพลงของตัวเองมากขึ้น เต้น นรารักษ์มองคาแรกเตอร์ตัวเองเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้เต้นเพิ่งมารู้ตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว เต้นไม่ได้เป็นคนดราม่า เต้นไม่ได้เป็นเจ้าแม่ดีว่า แต่เต้นเป็นนักร้องหญิงที่โคตรเท่ คือคาแรกเตอร์เต้นจะต้องเป็นคนเท่ค่ะ แบบไม่ได้เอะอ่ะเจ้าน้ำตา ไม่ได้อ่อนแอน่าสงสาร เหมือนอย่างในเพลงที่ผ่านมาที่จะน่าสงสารอ่อนแอโดนกระทำ แต่จริง ๆ แล้วบุคลิกจริง ๆ หรือสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ เราคือคนเท่ รู้สึกว่าเต้นเป็นคนเท่และขี้เก๊ก (หัวเราะ) อย่างเพลง “เบาหวาน” ก็เริ่มขี้เก๊กมากขึ้น แบบเวลาเพลงขึ้นมา ก็จะมีความดึงหน้าแบบตัวตึงน่ะค่ะ เพลงต่อไปที่วางไว้ก็จะมีความขี้เก๊กอยู่เหมือนกัน
แนวทางของเต้นแบบที่เราคิดว่าเท่ หากให้ยกตัวอย่างคิดว่าเป็นแบบศิลปินคนไหน
ถ้าแบบศิลปินที่ชอบเลยก็ บิลลี ไอลิช (Billie Eillish) เลยค่ะ เต้นชอบมาก ชอบตั้งแต่ที่เขาออกมาแรก ๆ เลย คือจริง ๆ แล้วตั้งแต่เด็ก ๆ เต้นก็เป็นคนฟังเพลงที่ไม่เหมือนชาวบ้านอยู่แล้ว อย่างยุคนั้นก็จะฟังพาราด็อกซ์ (Paradox) จะชอบพาราด็อกซ์มาก จะเทิดทูนบูชา ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ว่าเราต้องแยกเป็น 2 อย่างคือสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่ทำได้ก็คือสิ่งที่ทุกคนเห็น เคยฟังกัน ซึ่งมันขายได้ มันสร้างอาชีพได้ แต่สิ่งที่เราชอบอาจจะสร้างอาชีพไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เราชอบบางทีเราอาจทำเพื่อสนอง need ตัวเอง ตอนนี้ก็มาเพิ่มสกิลมาเรียนเต้นเพิ่ม เพื่ออนาคตเราอาจจะมีเพลงที่เต้นไปด้วย จริง ๆ เต้นเป็นคนที่ชอบเต้นพอ ๆ กับชอบร้องเพลง อย่างในเพลง “เบาหวาน” ก็มีคลิปที่เป็นแดนซ์เพอร์ฟอร์แมนซ์ด้วย เต้นกับน้องสมาร์ทพระเอก แต่ว่าแค่เต้นเบา ๆ แค่สนอง need เฉย ๆ เรียนเต้นมาแล้วก็ร้อนของร้อนวิชาก็เลยเอาสักหน่อยค่ะ (หัวเราะ)
วิธีที่เต้นร้องเพลงตัวเองกับร้องคัฟเวอร์เพลงคนอื่นต่างกันยังไงบ้าง
จริง ๆ แล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่ค่ะ ถ้าเกิดในกรณีที่เพลงของเราทำเสร็จมาแล้วนะคะ หรือว่าแต่งเนื้อเสร็จมาแล้วคือเพลงเราก็จะเข้าใจได้ง่าย เพราะเราเป็นคนทำ แล้วเราก็จะเป็นคนคิดเนื้อเรื่องมาเองเราก็จะเข้าใจได้ แต่สิ่งที่ยากคือเราจะทำยังไงให้คนดูเห็นภาพเดียวกันกับเรา อันนั้นคือสิ่งที่ยากเพราะว่าเต้นจินตนาการบางทีมันก็เกินไปมากเลย แต่ว่าเราก็ต้องทำให้คนฟังเข้าใจเหมือนกับที่เราอยากจะสื่อสารออกไป แต่เพลงคัฟเวอร์เรารู้จักเพลงนั้นอยู่แล้ว มีคนร้องออริจินอลเขาร้องมาอยู่แล้ว เราก็จะเข้าใจได้ระดับหนึ่งว่ามันประมาณนี้ แล้วทีนี้มันก็มาถึงว่าเราเห็นภาพยังไง แล้วเราจะเล่าในแบบของเรายังไง ซึ่งพอเวลาที่เราเจอเพลงแบบที่ไม่ได้เข้าใจยากเท่าไหร่ มันก็แป๊บเดียว มันก็เก็ต แต่อย่างเพลงล่าสุด เต้นจะต้องร้องเพลงเกาหลีเพลงหนึ่ง ซึ่งถ้าเกิดเป็นเพลงต่างประเทศเนี่ยเราก็ต้องไปหาเนื้อเพลงแล้วก็แปล แต่เพลงนี้พอเราแปลแล้วมันก็จะต้องแปลความหมายอีกต่อหนึ่ง ขนาดเต้นให้เจ้าของภาษามาช่วยแปลเขายังงงกับความหมายของเพลงเลย เขาแปลออกมาเป็นเหมือนนิยายเรื่องหนึ่งเลย ซึ่งเพลงเกาหลีก็จะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว สมมุติเขาพูดถึงดอกไม้ที่เขาตั้งชื่อขึ้นมาเอง มันไม่มีในโลกแต่มีเฉพาะในเพลงของเขาอะไรแบบนี้ค่ะ เต้นก็เลยไม่เข้าใจก็เลยหาครูสอนภาษาเกาหลีเลยที่เป็นคนเกาหลี เต้นก็ทำการบ้าน ครูเขาก็ทำการบ้านช่วยเราในการทำความเข้าใจเพลงนี้ แบบงงมากค่ะเต้นก็งงครูก็งง ถึงขั้นว่าต้องไปหาว่าโปรเจกต์นี้คืออะไร มาจากค่ายหนังค่ายไหน เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร แบบนี้เลยค่ะลึกมาก ซึ่งถ้าเกิดเจอเพลงยากแบบนี้ก็ต้องทำการบ้านหนักหน่อย สำหรับเต้นแล้วแค่ร้องไห้ทำหน้าเศร้ามันไม่พอ เต้นคิดว่าคนร้องต้องรู้สึกไปกับเพลงจริง ๆ เต้นมองว่าตัวเองเป็นนักแสดงคนหนึ่ง เต้นมองว่าเราเป็นนักแสดงที่แสดงผ่านเสียง คนที่เขาจะได้รับความบันเทิง ก็ต้องได้รับความบันเทิงผ่านเสียงของเรา และเราก็ต้องเรียนรู้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดค่ะ ยิ่งช่วงนี้เต้นได้สอนร้องเพลงให้กับเด็ก ๆ ในค่ายแกรมมี่ที่เป็นเทรนด์นี่ ก็จะเห็นไฟของเด็ก ๆ มันก็เลยทำให้เรามองว่าเฮ้ยแล้วเราจะหยุดพัฒนาทำไม เต้นก็พร้อมที่พัฒนาตัวเองอีก ต่อให้ตอนนี้ 35 แล้ว แต่เราก็จะพัฒนาตัวเองต่อไปทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ หาโอกาสใหม่ ๆ ให้เราได้พัฒนาตัวเอง
เต้นมีวิธีการสอนน้อง ๆ รุ่นใหม่ยังไง
หลัก ๆ เต้นไม่ได้สอนทฤษฎีเยอะ ส่วนใหญ่คนที่เรียนกับเต้นก็จะเป็นคนที่อยากเป็นศิลปิน อยากออดิชันเข้าค่ายเพลง เต้นก็จะสอนตามประสบการณ์ สอนความเป็นศิลปินให้กับเขา ให้เขาทำความเข้าใจกับคำว่าศิลปินว่าศิลปินคือคนสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่นักร้อง นักร้องคือคนที่เอาเพลงมาร้องเฉย ๆ ซึ่ง เต้นก็เป็นนักร้องที่เขาทำเพลงมาให้แล้วเราก็ร้อง ทีนี้เราจะมีความเป็นศิลปินตรงไหน ก็ตรงที่เราสร้างความเป็นตัวของเราเองขึ้นมา เราสร้างความเป็นตัวตน วิธีการถ่ายทอด วิธีการเล่าเรื่องของเรา อันนี้นี่แหละคือการสร้างสรรค์ผลงานอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจว่าศิลปินมันไม่ใช่แค่ร้องเพลงได้ ร้องเพลงเพราะ หรือว่าสวยหล่อเท่านั้น อย่างบางคนเฉย ๆ ธรรมดา ๆ เลย แต่พอแสดงโชว์ขึ้นมาแล้วมีเสน่ห์ หลัก ๆ เต้นก็เลยจะเน้นให้เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ไม่ค่อยได้ร้องเพลงอาจจะคุยกันมากกว่า คือพูดคุยกับเพื่อเปลี่ยนวิธีการคิดมากกว่าค่ะ เพราะแค่คิดว่าร้องยังไงให้ดีร้องยังไงให้เพราะ จริง ๆ มันเพราะอยู่แล้ว แต่การทำความเข้าใจในความหมายของการเป็นศิลปินและการเป็นตัวของตัวเองนั้นสำคัญมากค่ะ
อะไรคืออุปสรรคสำคัญที่สุดของการเป็นนักร้องคนหนึ่ง
ความคิดค่ะ ความคิดของเราเองนี่แหละ การที่เราจะทำได้หรือทำไม่ได้ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ มันคือความคิดของเราเอง บางทีเราคิดว่าอุ๊ยทำไม่ได้หรอกไม่ทำดีกว่า หรือเราเก่งแล้วไม่ต้องฝึกหรอก หรือเห็นคนเก่งกว่าแล้วเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอะไรแบบนี้ คือเต้นเป็นมาก่อนก็เลยเข้าใจค่ะ พอเราเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการร้องหรือความดังหรือความสวย มันทำให้เราหยุดพัฒนาตัวเองไปเลย มันทำให้เราเกิดอาการน้อยใจว่าทำไมเราถึงไม่เหมือนเขา ทำไมถึงไม่เก่งหมือนเขา ทำไม่ได้เหมือนเขา ทำไมไม่สวยเหมือนเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความคิดของเราเองนี่แหละ อย่างบางทีได้คุยกับลูกศิษย์ที่เขานอยด์มา พอถึงเวลาใกล้จะโชว์ เขาบอกว่าครูไม่กล้าโชว์ ไม่อยากโชว์แล้ว อยากป่วยแล้วไม่อยากขึ้นเวทีกลัวแล้ว นี่แหละคือความคิดของเราที่มันขัดขวางเราไว้ เต้นก็จะถามเด็กว่าแล้วเราจะซ้อมมาเพื่ออะไร แล้วจะมาลงเรียนให้เสียตังค์เพื่ออะไร รักการร้องเพลงไหม ถ้าอยากก็แสดงออกมาเลย แสดงออกมาให้เห็นว่าเรารักมันมากแค่ไหน เราอยากเป็นนักร้องอยากเป็นศิลปินมากแค่ไหน แล้วคนที่เห็นเขาก็จะเห็นว่าเรารักมันจริง ๆ เฮ้ยเด็กคนนี้มันรักจริง ๆ จะดีหรือไม่ดีไม่รู้ ได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่เราแสดงออกมาเถอะ อย่างที่บอกค่ะว่าความคิดนี่แหละเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริง ๆ
แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยที่นักร้องที่ดีควรจะมีคืออะไร
ความรักค่ะ ความรักที่เต้นหมายถึงนี่ไม่ใช่ความรักแบบหนุ่มสาวอะไรแบบนี้นะคะ แต่หมายถึงการที่เรารักและให้เกียรติในอาชีพของเรา รักในเสียงของเรา อย่างตอนนี้เต้นเป็นกล่องเสียงบวมซึ่งกำลังรักษาอยู่ ก็ยิ่งทำให้เรารักเสียงตัวเองมากขึ้นไปอีกจากที่ตอนแรกก็รักอยู่แล้ว คือมันต้องมีความรักก่อน พอเรารักเสียงตัวเองมากขึ้นเรารักการที่ยืนอยู่บนเวทีและสปอร์ตไลท์ส่องมาแล้วได้ร้องต่อหน้าคนดู ถ้าเรารักสิ่งนี้เราจะอยากทำมัน เราก็จะอยากจะเพิ่มเติมและพัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ อยากจะทำเพลง อยากจะทำเพื่อที่จะให้เรามีผลงานไปยืนบนนั้นและมีคนดูเรา แล้วแพสชันมันจะเต็มไปหมดเลย แล้วก็จุดมุ่งหมาย เส้นชัยอะไรมันก็จะชัดเจนมาก เราก็จะเดินไปตรงนั้นพอถึงแล้วค่อย ๆ หาจุดหมายใหม่ มันเป็นเรื่องความรักล้วน ๆ เลยค่ะ รักในเสียงของตัวเอง รักในอาชีพ ในสิ่งที่ตัวเองทำและเชื่อว่าเราทำได้
ตอนนี้เต้นมีโปรเจกต์ใหม่ ๆ อะไรบ้าง
ตอนนี้อยากทำเพลงให้บ่อยขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาปล่อยเพลงช้ามากเนื่องจากติดช่วงโควิด แล้วทีนี้ความที่พอหายไปนาน คนก็จะแบบงง ๆ เต้นหายไปไหนแล้วเนี่ย แล้วพอตอนนี้เต้นมาทำเองไม่ได้มีค่ายช่วยโปรโมต คนก็จะเห็นเรายากขึ้น ทีนี้พอเราทำเพลงออกมาบ่อยขึ้น ก็จะมีโอกาสทำให้คนอื่นเห็นเรามากขึ้น ตอนนี้เราได้ทำเพลงในแบบที่เราต้องการจริง ๆ อยากจะเปลี่ยนแนวเลย แต่กลัวคนตกใจ แต่มันก็จะมีแฟนคลับที่ฟังเพลงเรา ที่เขาชอบเราแบบที่เราเคยเป็นมา เต้นก็จะพยายามค่อย ๆ ใส่สิ่งที่เป็นเราในตอนนี้ลงไป ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในสิ่งที่เราชอบ ให้เขาได้เห็นตัวตนเราจริง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะว่าก่อนหน้านี้มันไม่ใช่ตัวตนของเราจริง เราที่เป็นคนเท่ ๆ อ่ะค่ะ (หัวเราะ)
เต้นมีแผนจะออกอัลบั้มไหม
จริง ๆ มีคนเสนอมาว่าจะเอาเพลงต่าง ๆ ที่เป็นซิงเกิลมารวมเป็นอัลบั้มและทำเป็นแผ่นเสียงไวนิล ก็กำลังคุยกันอยู่แล้วก็กำลังอัดซิงเกิลใหม่อยู่ คราวนี้จะเป็นเพลงความหมายดี ๆ ที่ก็เป็นสไตล์ป๊อปร็อกเหมือนเดิม แต่ว่าจะไม่เหมือนกับที่เคยฟังมาก่อน เป็นเพลงที่แบบน่ารักมาก เพราะมากจริง ๆ ค่ะ
เต้นอยากบอกอะไรกับแฟน ๆ
ก็อยากจะบอกแฟน ๆ ว่าฝากเพลงใหม่ด้วยนะคะ อยากจะบอกว่าเต้น นรารักษ์ออกเพลงใหม่แล้วนะคะ ยังไม่ได้ไปไหน ยังทำเพลงอยู่ ในเพลง “เบาหวาน” เพื่อน ๆ ก็จะเห็นเต้นในอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นสไตล์ที่เปลี่ยนไปนิดนึง ก็อาจจะขี้เก๊กขึ้นมาหน่อย เป็นนางเอกเอ็มวีเองด้วยอะไรแบบนี้ ก็จะเห็นตัวตนของเต้นมากขึ้น แล้วเดี๋ยวต่อไปจะพยายามทำเพลงให้เร็วขึ้นออกมาให้ได้ฟังกันบ่อย ๆ นะคะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส