ใครจะไปเชื่อว่า ‘John Wick’ หนังแอ็กชันทุนสร้าง 20 ล้านเหรียญ ที่มีอดีตสตันท์แมนมารับหน้าที่เป็นผู้กำกับ และได้ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) มารับบทเป็นอดีตนักฆ่าฝีมือเยี่ยม ที่กลับคืนสู่วงการเพราะ ‘หมา’ ตัวเล็ก ๆ จะสร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลก จนกลายเป็นหนังแอ็กชันสุดบู๊ที่ถูกขยายจักรวาลมาถึงภาค 4 แล้ว

beartai BUZZ ขอพาทุกคนไปพบกับ 10 เรื่องที่คุณไม่เคยรู้ของ ‘John Wick’ ต้อนรับการมาของ ‘John Wick:  Chapter 4’ จะมีเบื้องหลังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอะไรที่น่าสนใจบ้างไปดูกันเลย

หนังชื่อ ‘John Wick’ ก็เพราะ คีอานู รีฟส์

เดเร็ก โคลสตาด (Derek Kolstad) ผู้เขียนบทหลักของแฟรนไชส์นี้ เคยเล่าว่า ในบทร่างฉบับแรก ๆ ก่อนตัวหนังจะได้ชื่อว่า John Wick นั้น พวกเขาเคยตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘Scorn’ หรือที่แปลว่า “ดูถูก” มาก่อน 

แรกเริ่มเดิมที ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของนักฆ่าแก่ ๆ อ้วน ๆ วัย 60  กลาง ๆ ที่ถูกดูถูกจากสมาชิกคนอื่นในสมาคมนักฆ่า แต่ในระหว่างการบรีฟบทกับ คีอานู รีฟส์ นักแสดงคนดังก็มักจะเรียกชื่อหนังว่า ‘John Wick’ อยู่ตลอด

ซึ่งพอพูดผิดบ่อย ๆ เข้า รีฟส์ก็แนะนำให้ทีมงานเปลี่ยนชื่อหนังซะเลย ด้านโคลสตาดและทีมการตลาดเอง ก็รู้สึกว่า คำคำนี้ติดหูมาก สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อ และเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของ จอห์น วิก ใหม่ ให้มีความดิบ จริงใจ และดูดีกว่าตัวละครในร่างแรก แน่นอนว่าด้านเนื้อหา ทีมเขียนบทก็ได้พัฒนาบทขึ้นมาใหม่ โดยเบนเข็มมาโฟกัสที่เรื่องราวสุดสะเทือนใจ อันเป็นเหตุให้นักฆ่า จอห์น วิก ที่วางมือไปแล้ว ต้องออกมาบู๊ล้างแค้นอีกครั้งแทน

ส่วนที่มาของชื่อ จอห์น วิก นั้น โคลสตาดเล่าว่า มันคือชื่อของคุณตาเขา ส่วนชื่อ เฮเลน ภรรยาของจอห์น วิก ในเรื่องนั้น ก็เป็นชื่อของคุณยายเขาเช่นกัน

เกือบจะไม่มีฉากหมาตาย

เหตุการณ์ที่หมาของ จอห์น วิก ถูกฆ่านั้นเป็นไอเดียมาจากโคลสตาด ผู้เขียนบท พล็อตเรื่องนี้ถูกใส่ไว้ในบทหนังฉบับร่างแรก แม้ทีมเขียนบทจะช่วยกันพัฒนาเนื้อหาออกไปอีกกี่ร่าง แต่เรื่องราวหมาตายก็ยังถูกคงไว้ จนบทหนังไปถึงระดับผู้บริหารสตูดิโอ ซึ่งได้อ่านแล้วก็รู้สึกกังวลกับฉากหมาตาย เพราะขัดกับธรรมเนียมของฮอลลีวูดที่มักจะไม่โอเคกับฉากหมาตาย ซึ่งทีมผู้บริหารแนะนำให้ตัดเรื่องหมาตายออกไปซะ เพราะกลัวจะกระทบกระเทือนจิตใจคนดู

โคลสตาดพยายามแย้งว่า เหตุการณ์หมาตายนี่แหละ คือจุดขายของหนัง อีกทั้งยังเป็นการเผยจิตวิญญาณและตัวตนของ จอห์น วิก ให้คนดูได้เข้าถึง ด้านสองผู้กำกับอย่าง แชด สตาเฮลสกี้ (Chad Stahelski) และ เดวิด ลีตช์ (David Leitch) ต่างก็เห็นด้วยและพอใจกับพล็อตเรื่องแบบนี้แล้ว เลยพยายามโต้แย้งกับทีมผู้บริหารอย่างที่สุด จนสุดท้ายฉากนี้ก็ถูกคงไว้และกลายเป็นเรื่องราวที่ดึงดูดผู้คนให้มารับชมหนังเรื่องนี้

คีอานู รีฟส์ เคยไข้ขึ้น 40 องศาฯ ตอนถ่ายฉากสำคัญ

ตามคำสัมภาษณ์ของผู้กำกับในสารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำ ‘John Wick’ ภาคแรก ในฉากคิวบู๊สุดเดือดที่ถ่ายแบบ Long Take ในไนต์คลับนั้น แม้รีฟส์จะโชว์การแสดงคิวบู๊ที่ดุเดือดชนิดแทบไม่พักหายใจ แต่ความจริงแล้วในวันนั้น เขามีไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่ามีอาการป่วยจนสมควรไปนอนโรงพยาบาลมากกว่ามาถ่ายทำ 

แต่ด้วยสปิริตในฐานะนักแสดง รีฟส์ก็ได้ถ่ายทำฉากการต่อสู้ที่ยาวนั้นจนเสร็จสมบูรณ์ แถมตัวผู้กำกับยังบอกด้วยว่า รีฟส์เรียนรู้และจดจำคิวต่อสู้ร่วมกับสตันท์แมนทุกคนได้แบบเป๊ะ 100% ทีเดียว

จอห์น วิก เกือบมี ‘ลูกสาว’

กว่าจะได้มาซึ่งพล็อตและบทของภาค 2 ที่สุดมันสาแก่ใจแฟน ๆ แบบที่เห็น ทีมผู้สร้างเคยผุดไอเดียอยากให้มีเนื้อเรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวลูกสาวของ จอห์น วิก มาแล้ว

หลังความสำเร็จในภาคแรก ทีมผู้สร้างก็พยายามจะหาเรื่องราวเพื่อปูทางต่อยอดให้ตัวละคร จอห์น วิก สำหรับภาคต่อ ๆ ไป และมีอยู่พล็อตเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ถูกตัดออกไป นั่นก็คือฉากที่ จอห์น วิก จะต้องไปช่วยลูกสาวจากตัวร้าย ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่า ตัวละครลูกสาวนั้นมาจากไหน หรือเป็นลูกสาวของ เฮเลน วิก ภรรยาผู้ล่วงลับหรือไม่? โชคดีที่ตัวหนังไม่ได้ลงเอยด้วยพล็อตแบบนั้น ไม่งั้น คีอานู รีฟส์ อาจถูกนำไปล้อกับหนัง ‘Taken’ ของลุง เลียม นีสัน (Liam Neeson) ก็เป็นได้

ฉากสู้ในห้องกระจก แรงบันดาลใจจากหนัง บรูซ ลี

เมื่อผู้กำกับสตาเฮลสกี้ ได้ไฟเขียวให้ทำภาคสองต่อนั้น เขานึกถึงฉากการต่อสู้ในห้องกระจก จากหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตของ บรูซ ลี (Bruce Lee) อย่าง ‘Enter the Dragon’ หรือชื่อไทย ‘ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง มังกรประจัญบาน’

แม้ว่าซีนการต่อสู้ในห้องกระจกที่สตาเฮลสกี้สร้างไว้ในภาค 2 จะไม่ได้เหมือนกับฉากบู๊ของบรูซ ลีในเรื่องนั้นแบบเป๊ะ ๆ แต่ซีนดังกล่าวก็เต็มไปด้วยสไตล์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องนั้น แถมออกจะเหมือนไปทางหนัง เจมส์ บอนด์ ตอน ‘The Man with The Golden Gun’ ที่เคยมาถ่ายในประเทศไทยมากกว่าด้วยซ้ำ

เลือกใช้ ‘โลเคชัน’ เดียวกัน กับหนัง ‘Spider-Man’

อาจจะฟังดูเป็นเรื่องของการถือโชคลางไปสักหน่อย แต่ในภาค 2 ฉากที่จอห์นกำลังคุยกับ ‘วินสตัน’ บนหลังคาตึกคอนติเนนทัลนั้น เป็นโลเคชันเดียวกันกับที่ใช้ถ่ายทำหนัง ‘Spider-Man’ ปี 2002 ในฉากที่สไปเดอร์แมนช่วยเหลือ แมรี เจน ได้สำเร็จจาก กรีน กอบลิน ที่แสดงโดย วิลเลม เดโฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงของ ‘John Wick’ ภาค 1 ด้วย ซึ่งสถานที่ถ่ายทำดังกล่าวคือ ดาดฟ้าของตึกร็อกกี้เฟลเลอร์ บนถนนฟิฟธ์ อเวนิวในมหานครนิยอร์ก

ฮัลลี แบร์รี ถูกส่งไปฝึก กับ ‘หมา’ หลายเดือน

ฮัลลี แบร์รี (Halle Berry) นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ที่รับบทโซเฟียในภาค 3 ถูกส่งไปฝึกกับหมาพันธ์ุ ‘เบลเยี่ยม มาลินอยส์’ หลายเดือน เพื่อทำความรู้จักคุ้นเคยและสร้างความผูกพันกับมันให้เหมือนกับเป็นเจ้าของจริง ๆ เพื่อที่จะทำให้หมาแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะทันทีที่กล้องเดิน แบร์รี่คือคนเดียวที่หมาจะฟังคำสั่ง

ผู้กำกับสตาเฮลสกี้ เล่าว่าแม้ในหนังเราจะได้เห็นน้องหมาแค่ 2 ตัว แต่จริง ๆ แล้ว ระหว่างการถ่ายทำจริง พวกเขาต้องใช้หมามากถึง 5 ตัวสำหรับฉากต่าง ๆ

คีอานู รีฟส์ ขอเล่นคิวบู๊เอง

รีฟส์ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่มักจะเล่นฉากสตันต์ด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ อย่างใน ‘John Wick: Chapter 4’ รีฟส์ใช้เวลาฝึกคิวบู๊หนักถึง 3 เดือน เขาต้องฝึกใช้กระบอง 2 ท่อนเข้าฉาก อีกทั้งยังมีซีนที่เขาต้องดริฟต์รถด้วยตัวเอง รอบ ๆ ประตูชัยในกรุงปารีส 

รีฟส์เล่าว่า เขาต้องหัดดริฟต์รถแล้วหมุนวน 180 องศา ขณะเดียวกันก็ต้องเปลี่ยนแม็กกาซีนกระสุนปืน จากนั้นก็สาดกระสุนผ่านประตูรถออกมา เห็นคิวบู๊เดือดขนาดนี้ รีฟส์ออกมายอมรับว่า ‘John Wick: Chapter 4’ คือผลงานการแสดงที่เขาต้องใช้พละกำลังอย่างหนักหน่วงที่สุดในอาชีพการแสดงเลยทีเดียว

คีอานู รีฟส์ ซื้อ Rolex แจกสตันท์แมน

ในระหว่างที่ ‘John Wick: Chapter 4’ เดินทางไปถ่ายทำกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รีฟส์เคยพา 4 สตันต์แมนของเขาไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารเลอ บิสโตร ปอล แบค ก่อนจะมอบนาฬิกา Rolex Submariner Date ที่มีการสลักข้อความพิเศษและชื่อของทุกคนไว้ด้านหลังตัวเรือนให้กับทุกคน โดยนาฬิกาทั้งหมดคือของขวัญที่รีฟส์ตั้งใจมอบให้สตันท์แมนทั้ง 4 เพื่อตอบแทนความทุ่มเทและการเสี่ยงชีวิตแทนเขา

บทหนังร่างแรกมีคนตายแค่ 3 ราย

ในหนังเราจะมักจะได้เห็นภาพ จอห์น วิก สังหารศัตรูของเขาตลอดเวลา จนฉากการตายกลายเป็นภาพจำของคนดูไปแล้ว ครั้งหนึ่งผู้กำกับสตาเฮลสกี้ เคยออกมาเปิดเผยว่า แท้จริงแล้วในบทหนังร่างแรก พวกเขาตั้งใจให้ มีคนตายในหนังแค่ 3 คน แถม 2 จาก 3 คนนั้น ตายเพราะอุบัติเหตุรถชนด้วยความประมาทอีกต่างหาก

ท้ายที่สุด ทีมผู้สร้างก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงบทโดยให้เน้นการนองเลือดเป็นจุดขายแทน ซึ่งหากนับตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาค 3 จอห์น วิก สังหารศัตรูของเขาไปแล้วกว่าไป 284 คน ต้องรอดูกันว่าจำนวนชีวิตที่จะสังเวยให้กับ พี่วิกในภาค 4 นี้ จะไปหยุดที่ตัวเลขเท่าไหร่กันแน่

พิสูจน์อักษร : สุขยา เกษจำรัส