การหาเพื่อนร่วมวงที่ใช่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งในประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี การหายไปของสมาชิกในวงหลายครั้งเป็นสิ่งที่ยากจะหาใครมาแทนที่ได้ การพยายามหาสมาชิกคนใหม่คล้ายเป็นการหาจิ๊กซอว์ชิ้นใหม่มาเติมลงในที่ว่าง ซึ่งบางครั้งต้องเหลาเหลี่ยมของมันให้เข้ากันได้กับช่องว่างนั้นก่อนที่จะพบว่ามันก็ต่อกันไม่ติดอยู่ดี

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของการพยายามเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของวงดนตรี ซึ่งแต่ละเรื่องราวก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสนุกและตื่นเต้นดีเหมือนกันเวลาคิดว่านักดนตรีที่โด่งดังจากวงในปัจจุบันของเขาจะมีเรื่องราวบนเส้นทางสายดนตรีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หากพวกเขาเลือกอยู่กับวงอื่นแทนที่จะอยู่กับวงที่เขาสร้างชื่อขึ้นมาจากมัน

Eric Clapton – The Beatles

อีริก แคลปตันและจอร์จ แฮรร์ริสัน

ในช่วงทศวรรษ 1960s The Beatles กำลังประสบกับปัญหาของการทำงานร่วมกัน เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney) เลยเสนอให้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับกระบวนการสร้างสรรค์ของวงสำหรับงานเพลงชุดใหม่และได้บันทึกฟุตเทจเบื้องหลังการทำงานของพวกเขาเอาไว้

ในช่วงที่บรรยากาศการทำงานเริ่มมาคุ จอร์จ แฮร์ริสัน ก็เดินออกไปพร้อมประกาศว่า “เจอกันแถว ๆ คลับนะพวก” เมื่อแฮร์ริสันไม่อยู่ จอห์น เลนนอน ก็พูดกับเพื่อน ๆ คนอื่นในวงอย่างขุ่นเคืองว่า “ถ้าจอร์จไม่กลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์ เราจะไปตามตัวแคลปตันมา” อีริค แคลปตัน (Eric Clapton) ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีและเคยร่วมงานกับ The Beatles และแฮร์ริสันมาก่อนในเพลง “While My Guitar Gently Weeps” เกือบจะได้กลายมาเป็นหนึ่งในสี่เต่าทองซะแล้ว

โชคดีที่แฮร์ริสันกลับมาก่อนที่แคลปตันจะถูกตามตัวมา ในที่สุดพวกเขาก็มาทำงานร่วมกันต่อจนได้กลายเป็นอัลบั้ม “Let It Be” และภาพยนตร์เบื้องหลังการทำงานเพลงในอัลบั้มนี้ ในทุกวันนี้แคลปตันก็ยังนึกขำเสมอเวลาที่คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิกวง The Beatles ซึ่งแคลปตันรู้ดีว่าออร่าของทั้งสี่นั้นคงไม่มีใครสามารถมาแทนที่ได้อย่างแน่นอน หลังจากการคืนดีกัน The Beatles ก็ได้เดินหน้าต่อและบันทึกเสียงอัลบั้ม “Abbey Road” ซึ่งนับว่าเป็นจุดสูงสุดในตำนานของ The Beatles และเป็นผลงานชิ้นสำคัญของวงการดนตรี

Dimebag Darrell – Megadeth

ไดม์แบค ดาร์เรล

ตำแหน่งมือกลองและมือกีตาร์ในวง Megadeth เป็นเหมือนเกมเก้าอี้ดนตรีสำหรับนักดนตรีแนวเมทัล หลังจากออกอัลบั้มชุดที่ 3 ‘So Far So Good So What’ เดฟ มัสเทน (Dave Mustaine) ตัดสินใจว่าเขาต้องการเลือดใหม่ในวงเพื่อมาแทนที่ เจฟฟ์ ยัง (Jeff Young) มือกีตาร์คนเดิมของวง

ในที่สุดการค้นหาของมัสเทนก็พาเขาไปที่เท็กซัส ที่ซึ่งเขาได้ประทับใจกับฝีไม้ลายมือของ ดาร์เรล แอบบอต (Darrell Abbott) ซึ่งตอนนั้นยังไมได้ใช้ชื่อ ไดม์แบค ดาร์เรล (Dimebag Darrell) ดาเรลล์รู้สึกปลาบปลื้มเมื่อได้รับข้อเสนอจากมัสเทน แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบเล่นตัวนิด ๆ ด้วยการยื่นข้อเสนอกลับไปว่าเขาจะเข้าร่วมกับ Megadeth แต่มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือ วินนี่ พอล (Vinnie Paul) พี่ชายของเขาต้องได้ร่วมตีกลองกับเขาด้วย แต่เนื่องจากมัสเทนได้จ้างมือกลองคนใหม่ นิค เมนซา (Nick Menza) ไว้สำหรับโปรเจกต์ต่อไปของวงแล้ว ในที่สุดดาร์เรลก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้และตกลงที่จะอยู่ในวงกับพี่ชายของเขาต่อไป

ถึงแม้จะสูญเสียกีตาร์ฮีโรฝีมือเจ๋งไป แต่มัสเทนก็พบเทพอีกคนหนึ่งแทนนั่นคือ มาร์ตี้ ฟรีดแมน (Marty Friedman) ซึ่งได้โชว์ฝีมืออันเลิศล้ำเอาไว้ในเพลง “Rust in Peace” ส่วนที่ เท็กซัส ดาร์เรล และวินนี่ก็ได้พบคนสำคัญที่จะกลายมาเป็นพลังสำคัญในวง Pantera ของพวกเขานั่นคือ ฟิล อันเซลโม (Phil Anselmo) ที่มาร่วมปฏิวัติวงการเมทัลด้วยกันผ่านอัลบั้มชุดที่ 5 และ 6 ของวงคือ ‘Cowboys from Hell’ และ ‘Vulgar Display of Power’ ที่แฟน ๆ เมทัลจะต้องร้องฮือและโยกหัวไปด้วยความเดือดของมัน

Corey Taylor – Velvet Revolver

คอรีย์ เทย์เลอร์ และ สแลช

หลังจากเริ่มรู้สึกเบื่อกับการวางท่าเป็นร็อกสตาร์ของ แอ็กเซิล โรส (Axl Rose) สมาชิกคนอื่น ๆ ของวง Guns N’ Roses อย่าง สแลช (Slash), ดัฟฟ์ แม็กคาแกน (Duff McKagan) และ แมตต์ โซรัม (Matt Sorum) ก็มารวมตัวก่อตั้งวงใหม่ด้วยกันโดยมี สก็อตต์ ไวแลนด์ (Scott Weiland) ฟรอนต์แมนจากวง Stone Temple Pilots มาเป็นนักร้องนำนั่นคือวง Velvet Revolver ซึ่งช่วงแรกพวกเขาก็ไปกันได้สวย แต่ไม่นานไวแลนด์ก็เริ่มเผยลีลาแบบเดียวกันกับ แอ็กเซิล โรส และเริ่มทำให้เพื่อนในวงเอือม

หลังจากปล่อยอัลบั้มที่ 2 Libertad (2007) พวกเขาก็ขอหย่าขาดกับไวแลนด์และเริ่มค้นหานักร้องคนอื่นมาแทน ซึ่งบรรดาศิลปินร็อกรุ่นใหญ่ที่เข้าท่าเข้าทีในเวลานั้นก็มี เอียน แอสเบอรี (Ian Astbury) แห่ง The Cult และ คอรีย์ เทย์เลอร์ (Corey Taylor) แห่ง Slipknot ซึ่งเป็นหนึ่งในนักร้องไม่กี่คนที่ถูกเชิญให้มาร่วมแจมกับวง ซึ่งตอนนั้นก็ดูมีวี่แววว่าจะไปด้วยกันได้ดี แต่แล้ว Velvet Revolver ก็สลายโต๋กันไป หลังจากที่สแลชเริ่มฉายเดี่ยวส่วนดัฟฟ์ก็ทำเพลงกับวงที่เขาตั้งขึ้นมาใหม่นั่นคือ ‘Loaded’ นั่นเอง

ตอนนี้ สแลช และ ดัฟฟ์ ก็กลับมาอยู่ในอ้อมอกของ Guns N’ Roses แล้ว ส่วน Velvet Revolver นั้นก็ยังไม่มี่วี่แววว่าจะกลับมา และเดโมที่ทำไว้ก็ยังคงถูกดองอยู่ ซึ่งก็น่าคิดเหมือนกันนะว่า Velvet Revolver จะเป็นอย่างไรถ้าได้เทย์เลอร์มาร่วมวง

Zakk Wylde – Guns N’ Roses

แซค ไวล์ด

กลางทศวรรษที่ 90s สำหรับ Guns N’ Roses เป็นช่วงเวลาแห่งความยุ่งเหยิงของอัตตาของสมาชิกในวง แอ็กเซิล โรส เป็นผู้นำของวงที่ทำให้ทุกคนเริ่มเบื่อหน่าย และเริ่มตีตัวออกห่างก่อนที่พวกเขาจะพังกันแบบกลับมารวมตัวกันไม่ได้ สแลชคือคนแรกเลยที่ขอบายโรส ทำให้โรสต้องหามือกีตาร์คนใหม่ที่มีความสามารถทัดเทียมกันมาแทนที่เขา

แทนที่จะเปิดออดิชันเพื่อหาสมาชิกใหม่ที่เหมาะสม โรสกลับมองหาดาวเด่นที่ตัวเองรู้จักและติดต่อกับ

แซค ไวล์ด (Zakk Wylde) มือกีตาร์ระดับพระกาฬของ ออซซี ออสบอร์น (Ozzy Osbourne) เพื่อเข้าร่วมแจมด้วยกันก่อน ซึ่งไวล์ดก็รู้สึกสนุกสนานมากกับการร่วมงานกับวง แต่ในเวลานั้นการทำงานร่วมกันเป็นแต่เพียงภาพร่างที่คลุมเครือ จนเมื่อถึงเวลาที่ไวล์ดต้องกลับไปรับใช้เจ้าชายแห่งความมืดอีกครั้ง ทำให้การร่วมงานกันกับโรสเป็นอันต้องหยุดชะงัก

ไม่กี่ปีต่อมาไวล์ดได้เดินหน้าต่อกับ Black Label Society ของเขา ทำให้ภาพฝันที่จะเห็นเขาเล่นร่วมกันกับ Guns N’ Roses ยิ่งไกลห่างออกไป ในตอนที่แฟน ๆ วงรอคอยให้ Guns N’ Roses กลับมา การที่วงนี้มี แซค ไวล์ด เข้ามาก็ยังคงเป็นภาพฝันในจินตนาการที่หายวับไปสำหรับแฟนเพลงฮาร์ดร็อกทั้งหลาย

Les Claypool – Metallica

เลส เคลย์พูล

แฟน ๆ เมทัลทั่วโลกต่างเสียใจอย่างยิ่งเมื่อมีรายงานการเสียชีวิตของมือเบส คลิฟฟ์ เบอร์ตัน (Cliff Burton) ในอุบัติเหตุรถบัส สไตล์การเล่นเบสของเบอร์ตัน เข้ากันได้ดีกับท่วงทำนองอันเร่าร้อนของ Metallica และไม่มีใครสามารถที่จะลอกเลียนแบบได้

เมื่อสมาชิกวงได้กลับมารวมกันที่อเมริกาเพื่อร่วมงานศพของเบอร์ตัน พวกเขาก็เริ่มค้นหามือเบสคนใหม่ทันที หนึ่งในชื่อที่ฟรอนต์แมนของวง เจมส์ เฮตฟิลด์ (James Hetfield) นึกขึ้นมาได้ก็คือ เลส เคลย์พูล (Les Claypool) ซึ่งมีฝีมือการเล่นที่บ้าบิ่นไม่เหมือนกับใครคนใดในยุทธภพนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่วงต้องแจมกัน สไตล์การเล่นที่แตกต่างอย่างสุดขั้วก็กลายเป็นปัญหาเพราะคนอื่น ๆ ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อหาฐานเสียงที่อยู่เบื้องหลังโทนเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเคลย์พูล หลังจากหารือกันทางวงก็ได้แจ้งข่าวกับเคลย์พูลว่า แม้ว่าพวกเขาจะชอบการเล่นของเคลย์พูลแค่ไหน แต่สไตล์การเล่นของเขาก็ไม่เหมาะกับสิ่งที่ Metallica จะทำต่อไปในอนาคต

เมื่อแต่ละฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป เคลย์พูลก็กลับไปทำวง Primus ของเขาเอง ซึ่งสร้างงานดนตรีที่มีส่วนผสมของดนตรีโปรเกรสซีฟและฮาร์ดร็อกซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในวงสำคัญแห่งยุคอัลเทอร์เนทีฟ 90s ในขณะเดียวกันช่วงเวลาแห่งการค้นหามือเบสอย่างสิ้นหวังของ Metallica ก็ถึงเวลาสิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาได้ตัว เจสัน นิวสเตด (Jason Newsted) ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของ Metallica มาตลอดชีวิต มาทำงานร่วมกันกับวงจนก้าวไปสู่จุดสูงสุดด้วยกันผ่านผลงานสุดลือลั่นอย่าง ‘And Justice for All’ และ ‘The Black Album’

Joe Satriani – Deep Purple

โจ ซาทรีอานี

แม้ว่า Deep Purple จะเป็นที่รู้จักในฐานะวงดนตรีฮาร์ดร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงหนึ่ง อย่างไรก็ตามการพยายามประคับประคองให้วงไปตลอดรอดฝั่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ดูเหมือนจะพลิกผันเมื่อวงได้เข้าสู่ยุค 80s สมาชิกคลาสสิกอย่าง เอียน กิลแลน (Ian Gillan), โรเจอร์ โกลเวอร์ (Roger Glover), เอียน เพซ (Ian Paice), ริชชี่ แบล็กมอร์ (Richie Blackmore) และจอน ลอร์ด (Jon Lord)กลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง แต่ทว่าไม่นานนิสัยเก่า ๆ มันก็กลับมาและทำท่าว่าวงจะล่มอีก

ในที่สุดความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในวงก็ถึงจุดสูงสุดในการทัวร์สำหรับอัลบั้ม ‘The Battle Rages On’ ของวงในปี 1993 หลังจากการแสดงในฟินแลนด์ แบล็กมอร์ก็เก็บกีตาร์ของเขาและออกจากวงไปอย่างถาวรและทิ้งตารางทัวร์ที่ไร้มือกีตาร์เอาไว้ให้สมาชิกวงคนอื่น ๆ หาทางแก้กันเอาเอง

สมาชิกคนที่เหลือได้พยายามแก้ปัญหาในครั้งนี้อย่างดี วงได้มือกีตาร์ฮีโร่ฝีมือดีระดับตำนานอย่าง โจ ซาทรีอานี (Joe Satriani) มาเติมเต็มให้กับการแสดงรอบสุดท้ายในญี่ปุ่นและยุโรป ในขณะที่ประตูเปิดให้ ซาทรีอานีเข้ามาอย่างถาวร ข้อผูกพันของเขาที่มีต่อค่ายเพลงกลับทำให้เขาไม่สามารถทำงานร่วมกับวงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ สุดท้าย Deep Purple ก็เลือกช่างเทคนิคกีตาร์ที่มีฝีมือการเล่นที่ล้ำเลิศอย่าง สตีฟ มอร์ส (Steve Morse) มาร่วมวง แต่วันเวลาของซาทรีอานีในฐานะมือกีตาร์ของ Deep Purple ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้

Mark Storace – AC/DC

มาร์ค สตอเรส

การสูญเสีย บอน สก็อตต์ (Bon Scott) ของวง AC/DC เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างผลกระทบที่หนักหนาที่สุดที่พวกเขาได้พบเจอ สก็อตต์ไม่เพียงแต่มีเสน่ห์และมีน้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่เขายังเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับทุกเพลงที่วงเขียนขึ้นอีกด้วย

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้วงตายไปพร้อมกับเขา สองพี่น้องแองกัสและมัลคอล์ม ยัง (Angus and Malcolm Young) รีบค้นหานักร้องเพื่อมาแทนที่ตำแหน่งของบอนที่ยังว่างอยู่ ตัวเลือกแรกที่สองพี่น้องคิดถึงขึ้นมาก็คือ มาร์ค สตอเรส (Mark Storace) ซึ่งกำลังจะสร้างกระแสให้กับวงการฮาร์ดร็อกร่วมกับวง Krokus ในเวลาต่อมา สตอเรสได้ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับสองพี่น้องแองกัสและมัลคอล์ม เพราะคิดว่าเขาน่าจะไปได้ดีกว่ากับวงดนตรีของเขา

แม้ว่าสิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกเมื่อมองย้อนกลับไป เพราะแฟน ๆ หลายคนคงคิดว่สตอเรสนั้นบ้าไปแล้วที่ปฏิเสธวงระดับ AC/DC แต่สตอเรสก็มีคำอธิบายสำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ในภายหลังว่าการคิดถึง AC/DC ที่เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีบอน สก็อตต์นั้นดูจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งในตอนนั้น และผนวกด้วยความจริงที่ว่าในที่สุด Krokus ก็ประสบความสำเร็จในที่สุด แฟน ๆ จึงเริ่มเข้าใจในการตัดสินใจของสตอเรส

และในที่สุด AC/DC ก็ได้พบคนที่จะมาแทนที่สก็อตต์นั่นคือ ไบรอัน จอห์นสัน (Brian Johnson) ผู้มีน้ำเสียงสุดเร้าใจ ซึ่งพวกเขาได้สร้างอัลบั้มคัมแบ็คที่ดีที่สุด ‘Back in Black’ และทำให้อนาคตของ AC/DC ที่มี มาร์ค สตอเรส กลายเป็นเรื่องราวที่เลือนรางจากหายไปในประวัติศาสตร์

Keith Moon – Led Zeppelin

คีธ มูนและจิมมี่ เพจ

หลังจากเบื่อกับสุ้มเสียงสำเนียงบลูส์ร็อกแบบตรงไปตรงมาของวง Yardbirds จิมมี่ เพจ (Jimmy Page) มือกีตาร์ของวงก็ลาออกจากวงเพื่อเริ่มโปรเจกต์ของตัวเอง สิ่งที่เพจจินตนาการไว้สำหรับวงใหม่ของเขานี้ยังคงเป็นเพลงบลูส์ร็อก แต่ทว่าจะมีกลิ่นอายของฮาร์ดร็อกเติมเข้ามามากกว่าเดิม

ขณะที่เพจตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อหาเพื่อนร่วมวง เขาก็พบกับ คีธ มูน (Keith Moon) มือกลองร็อกระดับตำนาน เพจได้บอกกับมูนเกี่ยวกับแผนการของโปรเจกต์ใหม่ในการเป็นวงดนตรีแนวบลูส์ร็อกที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ซึ่งคาดว่าน่าจะกลายเป็น New Yardbirds

แต่แล้วมูนก็ไม่ได้ตัดสินใจร่วมทางเดินไปกับเพจ และเลือกที่จะสร้างตำนานกับวง The Who แต่ก็ได้มอบความเห็นเก๋ ๆ เอาไว้ให้กับเพจว่าไอเดียของเพจนั้นมีศักยภาพพอ ๆ กับบอลลูนที่ทำจากโลหะ…หรือจะเป็นเรือเหาะ (zeppelin) ก็ได้ และแน่นอนสิ่งนี้ทำให้เพจปิ๊งไอเดียขึ้นมาและตั้งชื่อวงของเขาว่า ‘Led Zeppelin’ ในที่สุด จากนั้นเพจก็ได้พบกับมือกลองของเขาผู้มีลีลาการตีอันหนักแน่นเร้าใจนั่นคือ จอห์น บอนแฮม (John Bonham)

จากนั้นวงก็สมบูรณ์ด้วยนักดนตรีฝีมือขั้นเทพอย่าง จอห์น พอล โจนส์ (John Paul Jones) และโรเบิร์ต แพลนต์ (Robert Plant) ซึ่งเคมีของพวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นอะไรที่ลงตัวมาก ๆ  วงจึงได้เริ่มทำงานเพลงในอัลบั้มแรกอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นตำนานแห่งวงการดนตรีฮาร์ดร็อกไปในที่สุด

Slash – Poison

Slash

เมื่อกระแสดนตรี Glam Rock พุ่งทะยานถึงขีดสุด Poison คือวงดนตรีที่น่าดึงดูดที่สุดในบรรดาวงดนตรีทั้งหมด ซึ่งมีเพลงที่เต็มไปด้วยป๊อปฮุคมากกว่าที่จะเป็นเมทัลอันดุเดือด ในตอนที่วงต้องย้ายจากเพนซิลเวเนียไปแอลเอ วงต้องพบกับความโชคร้ายเล็กน้อยเมื่อมือกีตาร์ แมตต์ สมิธ (Matt Smith) ตัดสินใจเดินทางกลับฝั่งตะวันออก

ทางวงจึงได้เปิดออดิชันหาสมาชิกใหม่ ในตอนนั้น ซอล ฮัดสัน (Saul Hudson) [ที่ต่อมารู้จักกันในนาม Slash] ได้เข้ามาทำการออดิชันในตำแหน่งมือกีตาร์ที่ยังว่างอยู่ ฮัดสันรู้สึกมั่นใจว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการออดิชันนี้อย่างแน่นอน แต่เขากลับรู้สึกว่าลุคของเขามันโคตรจะเข้ากันไม่ได้กับแนวทางของวง ตอนนั้นทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่แล้วฮัดสันก็เริ่มสับสนเมื่อบทสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องเพลงเป็นเรื่องรองเท้าที่วงควรจะใส่บนเวที

ฮัดสันมองไปที่รองเท้าหนังนิ่ม ๆ ที่เท้าของเขา และตัดสินใจออกจากการออดิชันนี้ไปโดยรู้ว่าเซนส์ด้านแฟชั่นของเขาน่าจะไม่เหมาะกับแนวทางของวง Poison ซะแล้ว ขณะที่เขาตัดสินใจเดินจากไป มือกีตาร์ CC Deville (ซีซี เดวิล) ก็เป็นคนที่ก้าวเดินเข้ามาหาวงพร้อมการแต่งตัวที่สร้างความประทับใจให้กับวง ซึ่งทำให้เขาคว้าตำแหน่งมือกีตาร์ของวง Poison ได้ในที่สุด โชคดีที่การปฏิเสธของ Slash ทำให้เขาได้พบกับ Guns N’ Roses และกลายเป็นพลังสำคัญของร็อกแอนด์โรลที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการดนตรีร็อก

Dave Grohl – Tom Petty

เดฟ โกรห์ล

เมื่อเคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) ปลิดชีวิตตัวเองในเดือนเมษายน ปี 1994 เดฟ โกรห์ล (Dave Grohl) ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของวงการดนตรีอีกต่อไป ในความพยายามที่จะหนีจากความเจ็บปวด โกรห์ลได้เดินทางไปยังประเทศกรีซ หวังเพียงเพื่อจะสลัดความเจ็บปวดในใจและความหม่นมืดที่อยู่รายล้อมรอบตัวเขา

แต่แล้วหลังจากกลับมาที่อเมริกา โกรห์ลก็เริ่มกลับมาทำเดโม และในวันหนึ่งจู่ ๆ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จาก ทอม เพ็ตตี (Tom Petty) นักดนตรีคันทรี่ร็อกระดับตำนาน ถามว่าเขาสามารถตีกลองให้กับวง Tom Petty and the Heartbreakers ในรายการ Saturday Night Live ได้หรือไม่ โกรห์ลตอบตกลงและการแสดงก็จบลงด้วยดีจนเพ็ตตีเสนอให้โกรห์ลเป็นมือกลองถาวรหากเขาต้องการ แม้ว่าทุกคนจะเห็นด้วย แต่ เบนมอนต์ เทนช์ (Benmont Tench) มือคีย์บอร์ดที่ได้ฟังเดโมที่โกรห์ลพกติดตัวไปด้วยกลับสนับสนุนให้เขาไล่ตามเสียงนั้นไป

โกรห์ลทำเดโมเทปเสร็จ และต้องตัดสินใจว่าจะเล่นกลองกับนักดนตรีระดับตำนานหรือสร้างโปรเจกต์ใหม่ให้กลายเป็นตำนานด้วยตัวเอง โกรห์ลจึงโทรหาเพ็ตตีและตอบปฏิเสธคำเชิญของเขาอย่างสุภาพ และเดินหน้าสร้างผลงานที่จะกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวของ Foo Fighters ในที่สุด.

ที่มา

Whatculture

Completemusicupdate

Ultimateclassicrock

Loudwire

Ultimateguitar

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส