ปิดจบบัญชีแค้นไปเรียบร้อยกับ ‘John Wick: Chapter 4’ ได้พักผ่อนกันยาว ๆ เสียทีนะครับคุณวิค และเราจะพาไปดูสถานที่ถ่ายทำฉากจบอันสวยงามน่าประทับใจนี้กันว่าตั้งอยู่ที่ไหนอย่างไร ทำไมถึงควรค่าของการเป็นฉากจบบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด

‘มหาวิหารซาเคร-เกอร์’ (Sacre-Coeur basilica) โบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตั้งอยู่ที่ยอดเขามงต์มาตร์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถูกเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากจบของ ‘John Wick: Chapter 4’ เนื่องจากเป็นสถาปัตกรรมที่สวยงาม และเนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาทำให้เห็นทัศนียภาพที่สวยงามของกรุงปรารีสได้แทบทั้งเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่กองถ่ายทำจะเลือกโบสถ์แห่งนี้เป็นสมรภูมิสุดท้ายของคุณวิค และเรามี 10 เรื่องราวน่าสนใจของมหาวิหารแห่งนี้มานำเสนอให้แฟน ๆ คุณวิคได้รับทราบกันครับ
1. ที่ตั้งของมหาวิหารแห่งนี้เคยถูกตั้งเป็นสถานที่สำหรับสวดบูชามาก่อนแล้ว

เนื่องจากยอดเขาแห่งนี้นับว่าเป็นจุดสูงสุดของเมืองจึงไม่แปลกที่ผู้คนจะใช้ที่ตรงนี้สำหรับสักการะบูชาพระเจ้ามาก่อนแล้ว เพราะศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีความเชื่อว่ายิ่งสูงใกล้ชิดท้องฟ้ามากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงจะได้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นไปด้วย
2. เป็นสถานที่ที่มีความสูงเป็นอันดับ 2 ของปารีส

มหาวิหารซาเคร-เกอร์ ตั้งอยู่บนยอดเขามงต์มาตร์ที่มีความสูง 130 เมตรจากระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว บวกกับความสูงของยอดโบสถ์และหอระฆัง ทำให้รวมแล้วมีความสูงถึง 213 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นรองแค่หอไอเฟลซึ่งสูง 300 เมตรเท่านั้น
3. เป็นโบสถ์ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเป็นอันดับ 2 ของประเทศ

ยอดเข้าชมของนักท่องเที่ยวของมหาวิหารซาเคร-เกอร์นั้นมีมากถึง 10 ล้านคนต่อปี น้อยกว่า ‘อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส’ (Cathédrale Notre-Dame de Paris) ที่มียอดผู้เยี่ยมชม 13 ล้านคนต่อปีที่เดียวเท่านั้น
4. ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมอันสวยงามน่าประทับใจ และได้เงินสนับสนุนในการสร้างจากชาวเมืองปารีส

ปอล อาบาดี (Paul Abadie) สถาปนิกผู้ออกแบบได้นำสถาปัตยกรรมแบบ โรมาโน-ไบแซนไทน์ (Romano-Byzantine) อันสวยงาม โดยได้นำรูปแบบโบสถ์เก่าแก่ต่าง ๆ เช่น ‘โบสถ์เซนต์โซเฟีย’ ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล และ ’โบสถ์ซานมาร์โก’ ในเมืองเวนิส มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ‘มหาวิหารซาเคร-เกอร์’ แห่งนี้ และงบประมาณในการก่อสร้างก็เกิดจากการบริจาคเรี่ยไรเงินกันเองภายในเมืองโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินของรัฐบาล และพวกเขาเหล่านั้นก็ได้รับการแกะสลักชื่อประทับเอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการกุศลครั้งนี้อยู่ที่บนกำแพงรอบ ๆ มหาวิหารนี่เอง
5. เหตุผลที่แท้จริงของการสร้างโบสถ์

เมื่อปี 1870 กองทัพของฝรั่งเศสได้แพ้สงครามต่อกองทัพปรัสเซียอย่างย่อยยับ ซึ่งนำมาซึ่งความอัปยศอดสูของคนในชาติเป็นอย่างยิ่ง อาแล็กซ็องดร์ เลอฌ็องทีล (Alexandre Legentil) คหบดีผู้มั่งคั่งใจบุญแห่งปารีส จึงเสนอที่จะสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวฝรั่งเศสให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นนัยว่าไม่ว่าอย่างไรเสียคริสตจักรยังคงดูแลและปกป้องทุกคนอยู่ และพร้อมให้อภัยต่อบาปทั้งหลายตามความเชื่ออีกด้วย
6. เป็นโบสถ์ที่มีระฆังขนาดใหญ่ติดอันดับโลก

‘ซาโวยาร์ด’ (Savoyarde) คือชื่อของระฆังยักษ์ที่ว่า มีขนาดใหญ่หนักมากถึง 19 ตัน ซึ่งเป็นการหลอมขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยเล่ากันว่าต้องใช้ม้าเทียมรถลากถึง 21 ตัว ในการนำเจ้าระฆังยักษ์ขึ้นไปจนถึงยอดเขามงต์มาตร์
7. ที่มาของชื่อโบสถ์

ในสมัยก่อนการสร้างโบสถ์ หรือมหาวิหารต่าง ๆ มักตั้งชื่อตามพระแม่มารี หรือนักบุญต่าง ๆ ตามความเชื่อของศาสนา แต่มหาวิหารซาเคร-เกอร์ นั้นตั้งชื่อเพื่ออุทิศให้กับความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำพระทัยของพระเยซูที่เสียสละรับบาปจากการไถ่บาปให้เหล่ามนุษย์ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวเมืองนั่นเอง
8. ตัวอาคารสามารถทำความสะอาดตัวเองได้

ความโดดเด่นของโบสถ์ที่มีสึขาวสะอาดตาอยู่ตลอดเวลา และสามารถเห็นได้แม้อยู่ไกลจากเขามงต์มาตร์ นั่นเพราะสถาปนิกได้เลือกใช้หินสีขาวจากเมือง ซูเปส์ (Souppes) มีความทนทานสูงมาก น้ำไม่สามารถซึมผ่านได้เลย แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษคือเมื่อฝนตกมันจะเกิดสารที่เรียกว่า คาลไซต์ (calcite) ออกมา ซึ่งมันมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดคราบสกปรกของหิน และช่วยคงความขาวเงางามเอาไว้ได้นานเท่านานอีกด้วย
9. มหาวิหารซาเคร-เกอร์ ไม่ได้เก่าแก่มากอย่างที่คิด

โครงการสร้างได้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 1870 และเริ่มก่อสร้างในปี 1875 แต่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานมากถึง 39 ปี มาแล้วเสร็จเและเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1914 นี่เอง นับว่าเป็นโบสถ์ที่อายุน้อยที่สุดในปารีสเลยทีเดียว
10. มีภาพโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ลุค-โอลิเวียร์ เมอร์สัน (Luc-Olivier Merson), อ็องรี มาร์แซล แมกเน (H. M. Magne) และ อาร์ มาแตง (R. Martin) สามศิลปินผู้เลื่องชื่อได้ช่วยกันรังสรรค์ปั้นแต่งภาพโมเสกขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดในโลกขึ้นมา ชื่อว่า ‘Apse Mosaic’ ในปี 1923 ซึ่งเป็นภาพพระเยซูที่สวยงามมาก ประดิษฐานอยู่ที่เพดาน บริเวณทางเข้าโบสถ์
ที่มา Discoverwalks
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส