ในช่วงปี 1990 เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) ไม่ใช่แค่นักแสดงที่มีหน้าตาสะสวย แต่ยังขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสดงที่เซอร์ไพรส์ผู้ชม ด้วยลุคบทบาทที่เปลี่ยนไปหลากหลายแบบไม่ซ้ำทาง และการแสดงที่เข้าถึงอย่างลึกซึ้ง ขอนำพาไปพบกับเรื่องราวชีวิตของนักแสดงเจ้าบทบาท เจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ ที่ยิ่งนานวัน ฝีมือการแสดงของเธอก็มีแต่จะทวีความเข้มข้นและหลากหลายยิ่งขึ้นมากกว่าเดิม
แคตเธอรีน เอลลิส แบลนเชตต์ (Catherine Elise Blanchett) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1969 ที่ย่านไอแวนโฮ (Ivanhoe) เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แบลนเชตต์เป็นลูกคนกลางจากพี่น้อง 3 คนของพี่ชายและน้องสาว พ่อของเธอ โรเบิร์ต เดอวิตต์ แบลนเชตต์ จูเนียร์ (Robert DeWitt Blanchett Jr.) เป็นอดีตนายทหารเรือเหล่านาวิกโยธินสหรัฐฯ และผู้บริหารฝ่ายโฆษณา และแม่ จูน แกมเบิล (June Gamble) เป็นครูสอนดนตรีแจ๊ส และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตัวของเธอเองมีเชื้อสายอังกฤษ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส
ในวัย 5 ขวบ แบลนเชตต์เริ่มสัมผัสความมหัศจรรย์ของการแสดงเป็นครั้งแรกตอนที่เธอได้ชมการแสดงละครเวทการได้เห็นนักแสดงหนวดหลุดบนเวที ทำให้เธอรู้สึกอยากขึ้นไปร่วมแสดง บนเวทีตรงนั้นด้วย และทำให้เธอได้เข้าเรียนชั้นเรียนการละครและกลายเป็นประธานชมรมการละคร และร่วมแสดงละครเวทีนับสิบเรื่องในช่วงที่เธอเรียนอยู่ไฮสคูล
บรรดาพี่น้องทั้งสามคน แบลนเชตต์ ในวัยเด็กเป็นคนที่รักการผจญภัยเป็นคนเปิดเผย เธอและน้องสาวมักจะเแต่งตัว ตั้งชื่อและเล่นสวมบทบาทให้กันในวัย 9 ขวบ เธอเผยว่า เธอกับน้องสาวมีงานอดิเรกในการเคาะประตูบ้านของเพื่อนบ้านเพื่อแกล้งถามหาสุนัขที่หายไป
ชีวิตในวัยเด็กของแบลนเชตต์เป็นปกติดีจนกระทั่งอายุ 10 ขวบ ในขณะที่พ่อของเธอกำลังโบกมือลาเธอเพื่อจะไปทำงาน ในวันนั้นพ่อของเธอก็เกิดอาการหัวใจวายและเสียชีวิตในเวลาต่อมาโดยไม่ทันได้ร่ำลาใครเธอใช้ชีวิตร่วมกับแม่เลี้ยงเดี่ยวและยายแม้แบลนเชตต์จะมองว่าการตายของพ่อเป็นเหมือนของขวัญแปลกประหลาดที่ทำให้เธได้รู้จักตัวเองและเข้มแข็งมากขึ้นและทำให้เธอชอบจูบเพื่อร่ำลาทุกคนก่อนที่จะออกจากบ้านทุกครั้งเท่าที่จะทำได้
แบลนเชตต์ในวัยแรกรุ่นเริ่มสนใจในการแต่งตัวแบบผู้ชาย เธอเคยแต่งตัวสไตล์พังก์ กอธิก และเคยโกนหัวมาแล้ว ช่วงวัย 20 ต้น ๆ เธอได้เข้าเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และวิจิตรศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและทำงานที่บ้านพักคนชราควบคู่กันก่อนจะตัดสินใจลาออกหลังจากเรียนได้ 1 ปี
เธอได้ตัดสินใจออกเดินทางไปยังหลายประเทศ ซึ่งในขณะอยู่ที่อียิปต์ แขกที่พักโรงแรมเดียวกับเคต ได้ชักชวนเธอให้เข้าร่วมแสดงเป็นตัวประกอบในบทบาทกองเชียร์ชาวอเมริกัน ในหนังกีฬามวยของอียิปต์เรื่อง ‘Kaboria’ ในปี 1990 ซึ่งนอกจากจะได้เงินก็ยังทำให้เธอเริ่มหลงใหลในศิลปะการแสดงมากยิ่งขึ้นด้วย
ทำให้แบลนเชตต์กลับมาเรียนต่อด้านศิลปะการแสดงที่สถาบันศิลปะการแสดงแห่งชาติ หรือ NIDA (National Institute of Dramatic Art) ก่อนจะจบการศึกษาในปี 1992 การแสดงของเธอโดดเด่นจนทำให้ เจฟฟรีย์ รัช (Geoffrey Rush) นักแสดงฮอลลีวูด เพื่อนของอาจารย์คนหนึ่งของเธอ ได้ชักชวนให้มาเข้าร่วมเป็นนักแสดงละครเวที ของคณะ Sydney Theatre Company ซิดนีย์ เธียเตอร์ คอมปานี
จนทำให้ในปี 1993 แบลนเชตต์ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ของชมรมนักวิจารณ์บันเทิงซิดนีย์ (Sydney Theatre Critics Circle) และรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากละครเวทีเรื่อง ‘Oleanna’ เป็นการรับประกันถึงฝีมือการแสดง ในช่วงขวบปีแรก ๆ ของอาชีพนักแสดงของเธอ
นอกจากนี้ในวัย 25 ปี แบลนเชตต์ ยังได้ปรากฏตัวในโฆษณาขนม Tim-Tam ในปี 1994 ซึ่งเป็นการเปิดตัวให้ชาวออสซีรู้จักเธอผ่านหน้าจอเป็นครั้งแรกในนามของ สาวทิมแทม หรือ ‘The Tim-Tam Girl’ ด้วย
แบลนเชตต์เริ่มต้นอาชีพการแสดงด้วยการรับบทในทีวีซีรีส์ของออสเตรเลียเรื่อง ‘Police Rescue’ เพียงตอนเดียวในปี 1993 และรับบทเข้มขึ้นขึ้นในซีรีส์ดราม่า ‘Heartland’ ที่ส่งให้เธอเริ่มมีชื่อเสียง และหนังฉายทางทีวีเรื่อง Parklands ที่ แคทลิน มิลลาร์ด (Kathryn Millard) ผู้กำกับเผยว่า แบลนเชตต์คือนักแสดงที่เหมาะสมกับบทอันซับซ้อนที่เธอตามหามานานถึง 5 ปี
แบลนเชตต์เริ่มก้าวมาสู่จอเงินครั้งแรก ด้วยการแสดงในหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ‘Paradise Road’ ในปี 1997 และ ‘Thank God He Met Lizzie’ หนังรอมคอมเรื่องแรกของเธอในปีเดียวกัน ซึ่ง ชาร์ลี โนว์แลน Cherie Nowlan ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ได้กล่าวชื่นชมการแสดงของแบลนเชตต์ ว่าเธอมีการแสดงที่มหัศจรรย์ และจะโด่งดังในภายภาคหน้า และ ‘Oscar and Lucinda’ ที่เธอแสดงนำครั้งแรกร่วมกับ ราล์ฟ ไฟนส์ (Ralph Fiennes)
การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ทำให้ เชการ์ การปูร์ (Shekhar Kapur) ประทับใจ และชวนเธอมาแสดงเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1ในหนังเรื่อง ‘Elizabeth’ ในปี 1998 ที่เป็นการก้าวเข้าสู่ฮอลลีวูดครั้งแรกของเธออย่างเต็มตัวซึ่งในหนังเรื่องนี้ เธอทุ่มเทกับบทบาทถึงกับยอมโกนหัวบางส่วนเพื่อให้เข้าถึงบุคลิกของตัวละคร
ส่งผลทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประเภทดราม่า จากเวทีลูกโลกทองคำครั้งแรกและเข้าชิงรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์เป็นครั้งแรกในชีวิต แม้ว่าแบลนเชตต์จะเป็นตัวเก็งก็ตาม แต่สุดท้ายก็โดน กวินเน็ธ พัลโทรว์ (Gwyneth Paltrow) จากหนังพีเรียด ‘Shakespeare in Love’ ชิงรางวัลนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
แม้จะยังไม่สามารถคว้ารางวัลได้ แต่แบลนเชตต์ก็กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าที่รับแสดงในบทบาทที่หลากหลายทั้งบทแนวพีเรียด ใน ‘An Ideal Husband’ (1998) ภรรยาเจ้าเสน่ห์ ใน ‘Pushing Tin’ (1999) หญิงสาวผู้ตกหลุมรักฆาตกร ใน ‘The Talented Mr. Ripley’ (1999) และหมอดูผู้มีพลังจิต ใน ‘The Gift’ (2000) ที่เธอไปปรึกษาหมอดูถึง 5 คน ลงทุนโกนหัวจริง ๆ ใน ‘Heaven’ (2002) ก่อนจะก้าวเข้ามารับบทเป็น เลดี้กาลาเดรียล ราชินีของเอลฟ์ ในหนังฟอร์มยักษ์ไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ และ ‘The Hobbit’ ของผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson)
และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการแสดงเป็นครั้งแรก จากการแสดงบทเป็นนักแสดงฮอลลีวูดในตำนาน แคทเธอรีน เฮปเบิร์น (Katharine Hepburn) ในหนังดราม่า ‘The Aviator’ ของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ในปี 2004 ที่ส่งให้เธอชนะรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม กลายเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่ชนะรางวัลออสการ์จากการแสดงเป็นนักแสดงรางวัลออสการ์อีกคนหนึ่ง
แบลนเชตต์กลายเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทที่ยังคงเลือกรับงานแสดงอันหลากหลาย ทั้งในหนังบล็อกบัสเตอร์ จนถึงหนังนอกกระแส ทั้งบทนักท่องเที่ยวผู้เป็นเหยื่อกระสุนใน ‘Babel’ (2006) แอบรับเชิญแบบไม่มีเครดิตในหนังตลก ‘Hot Fuzz’ (2007) บทฉาวโฉ่ของครูผู้แอบมีสัมพันธ์กับนักเรียน ใน ‘Notes on a Scandal’ (2007) และร่างหญิงของ ศิลปินตำนาน บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) ใน I’m Not There’ (2008) ที่ส่งให้เธอเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิง รางวัลออสการ์อีกครั้ง
และวนกลับมาเข้าชิงนักแสดงนำหญิงอีกครั้งใน ‘Elizabeth: The Golden Age’ (2008) ก่อนจะคว้ารางวัลนี้เป็นครั้งที่ 2 ในหนังดราม่าคอมเมดี้ ‘Blue Jasmine’ ของผู้กำกับ วูดดี้ อัลเลน (Woody Allen) ในปี 2013 และเข้าชิงอีกครั้งในหนังโรแมนติก เรื่อง ‘Carol’ ในปี 2015
เธอยังมีผลงานอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งการแสดงในมิวสิกวิดีโอ “The Spoils” ของวง Massive Attack รับบทเป็น เฮล่า วายร้ายหญิงคนแรก ของจักรวาล MCU ใน ‘Thor: Ragnarok’ (2017) แสดงร่วมกับนักแสดงหญิงในหนังปล้น ‘Ocean’s 8’ ในปี 2018
นอกจากนี้เธอยังเป็น Voice Talent ที่มีผลงานการบรรยายและพากย์เสียงอีกมากมาย ทั้งการให้เสียงบรรยายในสารคดี ร่วมพากย์เสียงในการ์ตูน ‘Family Guy’ ให้เสียงบรรยายในหนังของ Netflix ทั้ง ‘Sweet Tooth’ และ ‘The School for Good and Evil’ และพากย์เสียงเจ้าลิง Spazzatura ใน ‘Guillermo del Toro’s Pinocchio’
ซึ่งตลอดชีวิตการแสดงของแบลนเชตต์ สามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์ ทั้งสาขานักแสดงนำหญิง และนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมด 8 ครั้ง ชนะ 2 รางวัล และชนะรางวัลลูกโลกทองคำ 4 รางวัล
แบลนเชตต์ แต่งงานกับนักเขียนบทภาพยนตร์และละครเวที แอนดรูว์ อัปตัน (Andrew Upton) ทั้งคู่พบกันตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นการพบกันที่ไม่ค่อยน่าประทับใจ เพราะแบลนเชตต์รู้สึกว่าเขาเป็นคนมีอีโก้สูง ส่วนเขาก็มองเธอดูไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์แต่กาลเวลาก็ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันในปี 1998
ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกัน 3 คน ได้แก่ ดาเชียล จอห์น อัปตัน (Dashiell John Upton) โรมัน โรเบิร์ต อัปตัน (Roman Robert Upton) อิกเนเชียส มาร์ติน อัปตัน (Ignatius Martin Upton) และลูกสาวบุญธรรม อีดิธ วิเวียน แพทริเซีย อัปตัน (Edith Vivian Patricia Upton)
ในปี 2008 ทั้งแบลนเชตต์ และอัปตัน ได้กลับมาสู่วงการละครเวทีด้วยการเป็นผู้บริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ ของ Sydney Theatre Company และทำให้เธอได้ร่วมแสดงละครเวทีอีกครั้ง
ตลอดระยะเวลา 33 ปีในวงการนอกจากฝีมือการแสดงที่เป็นที่ประจักษ์แล้ว แบลนเชตต์ยังมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อศิลปะและสาธารณประโยชน์มากมาย ทั้งการมีส่วนร่วมและสนับสนุนในงานศิลปะร่วมสมัยที่เกี่ยวกับหนัง และละครเวทีของออสเตรเลียซึ่งทำให้รัฐบาลออสเตรเลียได้มอบรางวัลกิตติมศักดิ์หลายรางวัลในฐานะที่เธอเป็นผู้สนับสนุนศิลปะสมัยใหม่ได้รับปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ รวมทั้งนิตยสาร TIME ได้ยกย่องให้แบลนเชตต์เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกในปี 2007
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีของ UNHCR หรือ สำนักงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ในปี 2016 ที่เธอได้มีส่วนร่วมในการรณรงค์เกี่ยวกับประเด็นผู้ลี้ภัย และในปี 2020 แบลนเชตต์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการตัดสินในเทศกาลภาพยนตร์เวนิสหลังจากที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการตัดสิน ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาแล้วในปี 2018 ซึ่งเป็นผู้หญิงคนที่ 2 ที่เคยได้รับตำแหน่ประธานกรรมการจากทั้ง 2 เทศกาล
ในปี 2018 แบลนเชตต์ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 นักแสดงหญิงที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกของนิตยสาร Forbes เป็นอันดับที่ 8 ด้วยรายได้ 12.5 ล้านเหรียญต่อปี และมีทรัพย์สินรวมกว่า 95 ล้านเหรียญ ในปี 2023
การแสดงของแบลนเชตต์ ในวัย 54 ปี จากการรับบทเป็น ลีเดีย ทาร์ วาทยากรหญิงของวงออเคสตร้าผู้ฉาวโฉ่จากหนังดราม่าจิตวิทยาเรื่อง ‘Tár’ โดยแบลนเชตต์เป็นนักแสดงคนเดียวที่ผู้กำกับอย่าง ท็อดด์ ฟิลด์ (Todd Field) นึกถึง และต้องการให้มาแสดงในหนังเรื่องนี้ ชนิดที่ว่าถ้าไม่ใช่แบลนเชตต์ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้เกิดแบลนเชตต์สามารถสวมวิญญาณของคอนดักเตอร์จอมเผด็จการได้อย่างเข้าถึงและทรงพลังจนสามารถคว้ารางวัลนักแสดงภาพยนตร์หญิงยอดเยี่ยม ประเภทดราม่า บนเวทีลูกโลกทองคำ
และในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 95 ที่ผ่านมา บทบาทเดียวกันนี้ก็ยังส่งให้เธอ ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ตัวที่ 3 ในชีวิตกลับบ้าน แม้ว่าแบลนเชตต์จะเป็นอีกหนึ่งนักแสดงตัวเก็ง ที่หลายคนมองว่าน่าจะคว้ารางวัลนี้ได้อีกครั้งก็ตาม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส