(คำเตือน: เนื้อหาในบทความนี้ มีรายละเอียดเกี่ยวกับเพศ และการล่วงละเมิดทางเพศ)

หลายคนที่ได้มีโอกาสชม ‘Beef’ ทีวีซีรีส์ตลกร้ายวายป่วงของ Netflix ที่ผลิตโดยค่าย A24 นอกจากการแสดงของทั้ง สตีเวน ยอน (Steven Yeun) และ อาลี วอง (Ali Wong) คู่แค้นที่เป็นตัวเดินเรื่องหลักแล้ว

อีกตัวละครสมทบที่สร้างสีสันจนทำให้หลายคนชื่นชอบนั่นก็คือ ไอแซก ลูกพี่ลูกน้องและคู่กัดของแดนนี ที่แสดงโดย เดวิด โช (David Choe) ศิลปินวาดภาพประกอบและกราฟิตีชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี วัย 46 ปี ที่มีดีกรีไม่ธรรมดาทั้งโปรไฟล์ ฝีมือ และทรัพย์สิน แต่ ณ ตอนนี้เขากำลังเผชิญกับดราม่าที่กำลังพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แถมเรื่องที่เขาต้องเผชิญยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการข่มขืน และที่สำคัญคือเป็นเรื่องที่วุ่นวายพอสมควรทีเดียว

เรื่องเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2014 โชและนักแสดงหนังสำหรับผู้ใหญ่ อาสะ อะกิระ (Asa Akira) ได้ร่วมกันจัดพอดแคสต์ที่มีชื่อว่า DVDASA (ย่อมาจาก ‘Double Vag, Double Anal, Sensitive Artist’) ที่ทั้งคู่ร่วมกันเป็นโฮสต์มาตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งในปัจจุบันพวกเขาไม่ได้จัดรายการต่อแล้ว และเนื้อหาเก่า ๆ ก็แทบจะหาไม่ได้ในอินเทอร์เน็ตด้วยเช่นกัน

โดยในตอนหนึ่งของพอดแคสต์ตอนที่มีชื่อว่า ‘Erection Quest’ (แปลตรงตัวประมาณว่า ‘ภารกิจของการแข็งตัว’) โชได้เล่าถึงประสบการณ์การใช้บริการนวดส่วนตัว (ซึ่งบางแหล่งข่าวใช้คำว่าเป็นการ ‘นวดบำบัด’ (Therapist) โดยนักนวดบำบัด ในขณะที่บางแหล่งข่าวใช้คำว่า ‘ใช้บริการหมอนวด’ ในสถานอาบอบนวด (Massage Parlor) และโชได้เล่าถึงประสบการณ์ของการล่วงละเมิดทางเพศหมอนวดหญิงที่มีชื่อว่า โรส (Rose)

David Choe Beef Netflix A24

นอกจากนี้โชยังเล่าอย่างเปิดเผยและลงรายละเอียดด้วยว่า เขาได้กระทำการช่วยตัวเอง สัมผัสร่างกายของหมอนวดคนดังกล่าวโดยไม่ได้รับความยินยอม และยังเล่าด้วยว่า เขาบังคับให้เธอทำออรัลเซ็กซ์ให้กับเขา โชได้เปิดเผยเนื้อหาส่วนหนึ่งของพอดแคสต์ที่เปิดเผยจากแหล่งข่าวว่า:-

“แค่ผมเล่าเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว มันอันตรายและเสี่ยงตายสุด ๆ ผมอยู่ในที่ที่ผมอาจจะถูกฟ้องได้เลยนะ…และเธอก็ไม่ได้ให้สัญญาณอะไรที่บอกว่าเธอชอบผม หรือสิ่งที่ผมทำ เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมหรือเปล่า ในหัวของผม ผมคิดไปเองว่า คุณสนใจไหมถ้าผมจะช่วยตัวเองตอนนี้ ? มันฟังดูน่าขนลุกจนพูดไม่ออก ผมก็เลยคิดว่า เอาวะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวค่อยเคลียร์”

“ผมก็เลยเริ่มช่วยตัวเอง มือของโรสก็หลุดออกจากขาของผม และเธอก็ผงะ ผมก็เลยบอกเธอว่า ‘ผมขอโทษนะที่ทำแบบนี้ แต่คุณช่วยนวดแล้วก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ได้ไหม’ เธอก็บอกว่า ‘แล้วแต่’ และเธอก็นวดต่อ …หลังจากนั้นผมก็บอกว่า ‘ขอผมจับบั้นท้ายคุณหน่อยได้ไหม’ ผมเอื้อมมือไปแตะบั้นท้าย ก่อนที่เธอจะถอยออกมาเพราะเธอไม่ต้องการให้ผมแตะต้อง”

โชเล่าเพิ่มเติมว่า เขาได้จับมือเธอและวางบนอวัยวะเพศของเขา โดยอ้างว่าเธอยอมจับไว้ และร้องขอให้เธอถ่มน้ำลาย และขอให้จูบ แต่โรสปฏิเสธโดยกล่าวว่าเพราะมีน้ำมันนวดเต็มตัวไปหมด หลังจากนั้นเขาก็เล่าว่า เขาจับศีรษะของเธอกดลงที่อวัยวะเพศของเขาเพื่อบังคับให้ทำออรัสเซ็กส์ แต่เธอก็ปฏิเสธ

“เธอไม่ได้ชอบ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกัน ผมกดหัวเธอลงที่อวัยวะเพศ แต่เธอไม่ทำ ผมก็เลยสั่งให้อ้าปาก แล้วเธอก็ทำ และหลังจากนั้นผมก็ทำเธอ”

“ผมแค่ต้องการแยกให้ชัดเจนนะครับว่า ผมยอมรับว่า นั่นคือพฤติกรรมข่มขืน (Rapey Behavior) แต่ผมไม่ได้เป็นคนข่มขืน (Rapist) กับเรื่องข่มขืน ผมคงมีปัญหา ถ้าผมคว้ามือเธอมาจับอวัยวะเพศของผม และเธอก็ร้องว่า ‘หยุดนะ ฉันจะไปเรียก รปภ.’ เรื่องราวมันคงต่างออกไปจากเดิม แต่ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนจะได้ติดคุก มันทำให้ผมมีอารมณ์ทางเพศขึ้นมาจริง ๆ “

อะกิระ: เอิ่ม…เดวิด คุณกำลังจะบอกพวกเราว่า คุณคือนักข่มขืน และวิธีเดียวที่ทำให้ผมมีอารมณ์ทางเพศก็คือการข่มขืนงี้เหรอ ?

“ใช่…” ผมเป็นนักข่มขืนที่ประสบความสำเร็จ” โชพูดติดตลกกับอะกิระ

David Choe Beef Netflix A24

ต่อมาในปี 2017 เมลิสซา สเตตเทน (Melissa Stetten) ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้บนเว็บไซต์ XOJane (ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว) รวมทั้งเว็บไซต์ BuzzFeed ที่เสนอข่าวนี้เป็นเจ้าแรก ๆ โดยชี้ประเด็นให้เห็นและวิพากษ์วิจารณ์การล่วงละเมิดทางเพศของศิลปินคนดังรายนี้อย่างเผ็ดร้อน ก่อนที่ในเวลาต่อมา โชได้รับมอบหมายให้วาดภาพกราฟิตีที่กำแพงโบเวอรี (The Houston Bowery Wall) ที่ย่านแมนฮัตตัน นิวยอร์ก

ผลกระทบจากพอดแคสต์นั้น ทำให้ จัสมิน วาฮี (Jasmine Wahi) ภัณฑารักษ์ และศิลปินหลายคนออกมารวมตัวกันประท้วงที่กำแพงต่อหน้าผลงานของโช เพื่อตอบโต้การเพิกเฉยต่อวัฒนธรรมการข่มขืนที่โชได้เปิดเผยในพอดแคสต์ ผู้ประท้วงบางส่วนได้ทำลายภาพวาดผลงานของเขาด้วย ก่อนที่โชจะออกมายืนยันว่า เรื่องที่เขาเล่าในพอดแคสต์นั้นเป็นเพียงเรื่องแต่ง และเป็นเพียงรูปแบบของงานศิลปะอย่างหนึ่งเท่านั้น และได้ออกแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการต่อเหตุการณ์ดังกล่าวบนเว็บไซต์ของพอดแคสต์ที่ปิดตัวไปแล้ว

“ผมไม่เคยคิดว่าผมจะตึ่นขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่ง และได้ยินว่าตัวเองถูกเรียกว่าเป็นนักข่มขืน มันแย่มาก เพราะผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมไม่ได้ข่มขืน ผมเกลียดคนข่มขืน ผมคิดว่าคนที่ข่มขืนควรถูกข่มขืนกลับและถูกสังหาร”

“ผมเป็นศิลปินและนักเล่าเรื่อง และผมมองว่า DVDASA ของผม คือส่วนขยายที่สมบูรณ์ของงานศิลปะของผม ถ้าผมมัวแต่รู้สึกผิดกับทุกอย่าง ผมก็คงเล่าออกมาแบบเส็งเคร็ง เช่นเดียวกับภาพวาดของผมที่มักถูกตีความผิด วัตถุประสงค์หลักของพอดแคสต์คือการท้าทายและกระตุ้นแขกรับเชิญในรายการ หยอกล้อ สร้างความบันเทิงและหัวเราะเยาะกัน”

“มันไม่ใช่รายการข่าว มันไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริง เราแค่สร้างและบอกเล่าเรื่องราว มันไม่ใช่ที่ที่จะหาข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับตัวผมหรือชีวิตของผม มันคือความจริงในแบบฉบับของผม เป็นศิลปะที่บางครั้งก็ทำให้คุณขุ่นเคืองใจ ขออภัยถ้าหากจะมีใครเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง มันไม่ใช่เรื่องจริงโว้ย!”

นอกจากนี้เขายังกล่าวคำขอโทษทาง Instagram ส่วนตัวเพิ่มเติม

“คนเราจะขอโทษกับสิ่งที่ทำผิดไปตลอดชีวิตได้อย่างไร ? ตลอด 3 ปีที่ที่ผ่านมาของการฟื้นฟูของผม ผมพยายามตอบคำถามนั้นผ่ายความเข้าใจ ในชีวิตผมได้ต่อสู้อย่างลึกซึ้งกับความเกลียดชังที่มีต่อตัวผมเอง ผมได้รับความเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความอับอาย พยายามปิดบังความไม่มั่นใจของผมด้วยความเชื่อมั่นผิด ๆ และพฤติกรรมเชิงลบ”

“ในปี 2014 ในพอดแคสต์ DVDASA ผมได้ถ่ายทอดเรื่องราวเพียงเพื่อต้องการจะช็อกคนดูให้รู้สึกเหมือนว่าผมได้ละเมิดทางเพศผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ผมจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ มันไม่ได้เกิดขึ้น ผมไม่เคยล่วงละเมิดทางเพศใคร ผมเสียใจอย่างสุดซึ้งสำหรับความเจ็บปวด ของทุก ๆ คนที่เกิดขึ้นจากคำพูดของผม การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการยินยอม ถือเป็นการข่มขืน และมันก็ไม่เคยเป็นเรื่องตลกหรือเหมาะสมที่จะเอามาล้อเล่น”

“ผมเป็นเพียงคนป่วยอาการทางจิตในระดับสูง ผมใช้เวลา 3 ปีที่ผ่านมาในสถานพยาบาลทางจิตเวชเพื่อรักษาตัวเอง และอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือ รักษาคนอื่น ๆ ด้วยความรัก แม้ผมจะเป็นเจ้าของคำพูด แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมพูดเหล่านั้น ผมไม่ประณามหรือโกรธต่อคนที่กระจายความเกลียดชังและพูดในแง่ลบถึงผม ผมขอโทษจริง ๆ สำหรับคำพูดในแง่ลบและข้อความแย่ ๆ ที่ผมปล่อยออกไปสู่โลกภายนอก”

เรื่องมาแดงอีกครั้งในปีนี้ ที่โชได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์ ‘Beef’ ของ Netflix พอดิบพอดี เมื่อนักเขียนและนักข่าวทั้ง ออโรรา โบกาโด (Aurora Bogado) และ มีชัม วิธสัน เมอริเวเธอร์ (Meecham Whitson Meriweather) ได้ทวีตคลิปเสียงจากพอดแคสต์ DVDASA ตอน ‘Erection Quest’ เจ้าปัญหานี้อีกครั้งเมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่ซีรีส์เข้าฉายและกำลังมีกระแสชื่นชมจากผู้ชมและนักวิจารณ์อยู่พอดิบพอดี แต่กลายเป็นว่าในวันที่ 16 เมษายน คลิปดังกล่าวก็ถูกลบหายไปแบบเงียบ ๆ

ก่อนที่ทั้งคู่ได้รับอีเมลจากทาง Twitter ว่าคลิปดังกล่าว ได้รับแจ้งจากทางโช ในนามของ David Young Choe หรือมูลนิธิไม่แสวงหากำไรที่โชก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ให้ดำเนินการลบโดยทันที เนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ดิจิทัล (Digital Millennium Copyright Act หรือ DMCA) ในวันที่ 17 เมษายน ทั้งคู่จึงได้เปิดเผยอีเมลฉบับนั้น และทวีตในเชิงตั้งคำถามว่า ถ้าบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ทำจริง ๆ แล้วจะแจ้งให้ลบ (โดยอ้างเหตุผลด้านลิขสิทธิ์) ทำไม

David Choe Beef Netflix A24

เดวิด โช (David Choe) ศิลปินวาดภาพประกอบและกราฟิตีชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี วัย 46 ปี เขาเป็นลูกชายของพ่อแม่ชาวเกาหลีที่อพยพมาอยู่ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะเริ่มฝีกวาดภาพการ์ตูนเมื่อตอนอายุได้ 14 ปี

แต่โชคร้ายที่ธุรกิจของเขาต้องล้มละลายจากเหตุอัคคีภัย ทำให้เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียน และกลายเป็นคนไร้บ้านที่ออกผจญภัยเดินทางไปทั่วทั้งโลก จนเมื่ออายุได้ 21 ปี โชได้เดินทางกลับมาสหรัฐอเมริกา และเข้าเรียนที่ California College of the Arts ก่อนจะลาออกหลังจากเรียนได้เพียง 2 ปี ก่อนจะเริ่มมีผลงานวาดภาพประกอบให้กับนิตยสารหลายหัว ทั้ง Vice, Ray Gun ไม่เว้นแม้แต่นิตยสารสำหรับผู้ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา Hustler ในช่วงระยะสั้น ๆ

จนกระทั่งในปี 2000 มีรายงานว่าเขาถูกจับกุมในญี่ปุ่น ข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากที่พยายามเข้าจับกุมเขาในข้อหาลักขโมยของในร้านค้าแห่งหนึ่ง ทำให้เขาติดคุกอยู่ที่ชิบุยะนานถึง 3 เดือน หลังจากพ้นโทษ ในเวลานั้นเขาก็เริ่มมีผลงานมากขึ้น และเริ่มมีผลงานศิลปะในแขนงอื่น ๆ ทั้งงานกราฟิตี วิดีโออาร์ต งาน Installation Art รวมทั้งยังจัดนิทรรศการศิลปะ และออกแบบผลงานให้กับศิลปินดัง ๆ เช่น วาดภาพปก EP ‘Collision Course’ ของ Linkin Park และ Jay-Z แต่ก็นับว่ายังเป็นศิลปินไส้แห้งที่ยังไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

จุดเปลี่ยนที่ทำให้โชกลายเป็นศิลปินที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลก นั่นก็คือการถูกเชิญไปวาดภาพกราฟิตีที่ออฟฟิศแห่งแรกของ Facebook ในซิลิคอนวัลเลย์ เมื่อปี 2005 โดยผู้ที่เชิญในเวลานั้นก็คือ ฌอน ปาร์กเกอร์ (Sean Parker) ประธานของ Facebook ในเวลานั้นที่เป็นแฟนตัวยงงานศิลปะของโช

โดยคิดค่าตัวในการวาดกราฟิตีบนกำแพงออฟฟิศบริษัทสตาร์ทอัปที่เพิ่งเปิดใหม่หมาด ๆ ในเวลานั้นเป็นเงิน 60,000 เหรียญ หรือประมาณ 2 ล้านบาทเศษ ปาร์กเกอร์ได้ไปเสนอชื่อของโชให้กับผู้ก่อตั้ง มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซึ่งเขาก็ตกลง แต่กลับเสนอมอบหุ้นของบริษัทให้แทน

David Choe Beef Netflix A24

แม้ในเวลานั้นโชจะไม่ค่อยมั่นใจในอินเทอร์เน็ต (และตัวบริษัท Facebook) มากนัก แต่เขาก็ตกลงยอมรับหุ้นของบริษัทแต่โดยดี และทำงานกราฟิตีแนวฉูดฉาดตามสไตล์ของตัวเองแบบไม่มีอ่อนข้อ และการตัดสินใจของเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกเผง เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Facebook กลายเป็นบริษัทที่เติบโตแบบก้าวกระโดด กลายเป็นผู้นำในตลาดโซเชียลมีเดีย บวกกับการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์

ทำให้ราคาหุ้นที่โชครอบครองทวีคูณขึ้นเป็น 200 ล้านเหรียญ หรือราว 6,700 ล้านบาท กลายเป็นชิ้นงานศิลปะที่แพงที่สุดของเขาไปโดยปริยาย และส่งให้โชกลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยรายได้รวมสูงถึง 300 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 10,323 ล้านบาท

ซึ่งนอกจากชื่อเสียงและฝีมือในด้านงานศิลปะแล้ว เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาได้ร่วมแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ก็เพราะว่า โชนั้นเป็นเพื่อนกับนักแสดงนำทั้งยอนและวอง ทั้งคู่ก็เลยแนะนำเขาให้โปรดิวเซอร์เป็นการส่วนตัว และโชยังได้มีโอกาสวาดภาพประกอบที่ถูกใช้เป็น Title Card ของซีรีส์ใน Ep.2 – Ep.10 ด้วยเช่นกัน

David Choe Beef Netflix A24

ในขณะนี้ ทั้งฝั่งของโชเอง รวมทั้ง Netflix และค่าย A24 รวมทั้งสตีเวน ยอน และ อาลี วอง 2 รวมทั้งครีเอเตอร์ของซีรีส์อย่าง ลีซองจิน (Lee Sung Jin) จะยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ในกรณีนี้ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าผู้ชมที่ชื่นชอบซีรีส์เรื่องนี้ที่มีมากมาย จะมีปฏิกิริยากับเรื่องดังกล่าวนี้อย่างไร

จะถึงขั้นออกมาคว่ำบาตรเขาในฐานะผู้เผยแพร่วัฒนธรรมการข่มขืน (Rape Culture) ที่คนยุคนี้ไม่ให้การยอมรับและปล่อยผ่านไปได้โดยง่ายเหมือนในอดีต และคว่ำบาตรซีรีส์ ในฐานะที่นำพาโช ผู้เคยเผยแพร่วัฒนธรรมการข่มขืน และเล่าเรื่องการละเมิดทางเพศอย่างเป็นปกติธรรมดาผ่านทางพอดแคสต์มาปรากฏตัวในซีรีส์ไปเลยหรือไม่ แม้ตัวเขาเองจะเคยอ้างว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องราวที่เขาแต่งขึ้นมาเองก็ตาม


ที่มา: The Hollywood Reporter, Variety, Vice, BuzzFeed, The New York Times, Vox

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส