ถ้าพูดถึง ทอม แฮงส์ (Tom Hanks) แน่นอนว่าต้องนึกถึงนักแสดงเจ้าบทบาทที่ขึ้นชื่อจากการรับบทเป็นผู้ชายติดดิน อบอุ่น ผู้เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของคนธรรมดาทั่วไป กับฝีมือการแสดงที่ไม่ว่าจะเล่นเรื่องไหน จะรับบทนำหรือบทสมทบก็เอาอยู่ รวมทั้งการวางตัวที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด นี่คือเรื่องราวชีวิตของ ทอม แฮงส์ จากเด็กบ้านแตก พนักงานยกกระเป๋าในโรงแรม สู่การเป็นดาราฮอลลีวูดที่คนทั้งโลกรัก
วัยเด็กของทอม แฮงส์
โธมัส เจฟฟรีย์ แฮงส์ (Thomas Jeffrey Hanks) เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ปี 1956 ที่เมืองคองคอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกชายคนที่ 3 จากพี่น้อง 4 คน ของ อามอส เมฟฟอร์ด แฮงส์ (Amos Mefford Hanks) พ่อครัวชาวอังกฤษ และแม่ เจเน็ต มาริลิน เฟรเกอร์ (Janet Marylyn Frager) เจ้าหน้าที่พยาบาลเชื้อสายโปรตุเกส ทำให้พี่น้องทั้ง 4 คนรวมทั้งตัวของแฮงส์ ไม่มีใครที่มีเชื้อสายอเมริกันเลยแม้แต่คนเดียว
และพ่อของแฮงส์ ก็มีความเกี่ยวดองเป็นญาติห่าง ๆ ของประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) และ เฟรด โรเจอร์ส (Fred Rogers) พิธีกรเจ้าของรายการเด็ก ‘Mister Rogers’ Neighborhood’ บุคคลที่แฮงส์เคยสวมบทบาทใน ‘A Beautiful Day in the Neighborhood’ (2019) นั่นเอง
ในปี 1960 ชีวิตของแฮงส์ต้องประสบปัญหาบ้านแตกเมื่อพ่อกับแม่ของเขาแยกทางกัน เมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 4 ขวบ โดยตัวเขา แซนดรา (Sandra Hanks) พี่สาว และแลร์รี (Larry Hanks) พี่ชาย ย้ายตามไปอยู่กับพ่อ ส่วนน้องชายคนเล็ก จิม (Jim Hanks) ยังอยู่กับแม่ ซึ่งพ่อและแม่ทั้งสองฝ่ายต่างก็แต่งงานใหม่ ทำให้แฮงส์ต้องย้ายบ้านบ่อยนับสิบครั้ง
ในวัยเด็ก แฮงส์เปิดเผยว่า ตัวเขาเองเติบโตในครอบครัวเคร่งศาสนา ทำให้เขามักจะอยู่ในร่องในรอย นิสัยขี้อาย เป็นคนเงียบ ๆ นิสัยเรียบร้อย ไม่ได้เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ครูและเพื่อน ๆ แต่เขากลับชื่นชอบที่จะพูดโวยวายเฉพาะตอนเวลาที่กำลังดูหนัง ซึ่งอาจจะเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้เขาชื่นชอบการแสดงในเวลาต่อมา แม้จะเป็นคนขี้อาย แต่แฮงส์ในวัยมัธยมก็เลือกที่จะเข้าชมรมละครเวทีในโรงเรียน ก่อนจะเข้าเรียนด้านการละครอย่างจริงจังที่ California State University ในเวลาต่อมา
แต่พอเรียนไปได้ไม่นาน เขากลับรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการแสดงเพิ่มเติมมากมายนักเขาจึงลาออกจากโรงเรียน และไปฝีกงานกับ วินเซนต์ ดาวลิง (Vincent Dowling) เจ้าของคณะละครเวที Great Lakes Theater Festival ในรัฐโอไฮโอนานถึง 3 ปี ซึ่งที่นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้เทคนิคเบื้องหน้าเบื้องหลังและได้เริ่มแสดงละครเวทีอาชีพเป็นครั้งแรก
ระหว่างนั้น แฮงส์ได้ทำงานหาเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นพนักงานยกกระเป๋า ในโรงแรม The Oakland Hilton แคลิฟอร์เนีย ซึ่งแฮงส์เล่าว่า เขาเคยยกกระเป๋าให้กับคนดัง ๆ มาแล้วหลายคน ทั้ง ซิดนีย์ พอยเทียร์ (Sidney Poitier) และศิลปินทั้ง แฌร์ (Cher) และ บิล วิเทอร์ส (Bill Withers) นอกจากนี้ แฮงส์ยังเคยเป็นคนขายน้ำอัดลมและถั่วในสนามกีฬาอีกด้วย
เริ่มต้นอาชีพนักแสดง
ปี 1979 แฮงส์ได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่มหานครนิวยอร์ก เพื่อเดินทางตามหาความฝันในการเป็นนักแสดง เขาได้มีโอกาสรับบทสมทบในหนังสแลชเชอร์ ‘He Knows You’re Alone’ ที่ฉายในปี 1980 และยังได้มีโอกาสแสดงในละครซิตคอมตลกเรื่อง ‘Bosom Buddies’ (1980–1982) ที่ว่าด้วยเรื่องของคู่ซี้หนุ่มออฟฟิศที่ต้องแต่งหญิงเพื่อเช่าอะพาร์ตเมนต์สำหรับผู้หญิง แม้เรตติ้งจะไม่สูงมาก แต่ เอียน เพรเซอร์ (Ian Praiser) โปรดิวเซอร์รายการทีวีมือทอง เจ้าของรางวัลเอ็มมีอวอร์ดเคยกล่าวถึงแฮงส์ว่า ตัวเขาเองเสียดายที่จะไม่ได้เห็นแฮงส์เป็นนักแสดงทีวีซีรีส์ เพราะเขาจะกลายไปเป็นนักแสดงหนังในอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
และคำกล่าวนั้นก็กลายเป็นจริง เมื่อแฮงส์ได้รับบทในซิตคอม ‘Happy Days’ (1982) ของช่อง ABC ซึ่งมีผู้กำกับชื่อดังอย่าง รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard) ร่วมแสดงด้วย ฮาวเวิร์ดประทับใจในการแสดง จึงได้ชักชวนให้แฮงส์รับบทนำใน ‘Splash’ (1984) หนังโรแมนติกคอมมีดี้แฟนตาซีที่ว่าด้วยเรื่องของความรักของคนกับนางเงือก ส่งผลทำให้เขาเริ่มมีผลงานแสดงนำในหนังอีกหลายเรื่องในเวลาต่อมา
และที่เรียกได้ว่าเป็นการแจ้งเกิดบทหนุ่มอบอุ่นใจดีแสนซื่อที่เป็นคาแรกเตอร์หลักของเขานั่นก็คือ ‘Big’ หนังตลกแฟนตาซีที่ฉายในปี 1988 ที่ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิต ก่อนจะแจ้งเกิดอีกครั้งกับหนังรอมคอมอย่าง ‘Sleepless in Seattle’ ในปี 1993
แต่บทบาทที่เปลี่ยนชีวิตของแฮงส์ให้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั่นก็คือ บทบาททนายเกย์ผู้ติดเชื้อ HIV ในหนังดราม่าเรื่อง ‘Philadelphia’ ที่ส่งให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลลูกโลกทองคำในปี 1994 แจ้งเกิดเขาในบทบาทดราม่าที่ทำได้ดีไม่แพ้หนังรอมคอม ก่อนจะตอกย้ำฝีมือการแสดงขั้นสุด ด้วยการรับรางวัลนี้อีกครั้งในปีถัดมาจากผลงานสุดยอดหนังดราม่าเรื่อง ‘Forrest Gump’ ในปี 1995
กลายเป็นหนังที่โด่งดังที่สุดของแฮงส์ ด้วยฝีมือการแสดงและเรื่องราวสุดกินใจและการรับบทเป็นหนุ่มออทิสติกของแฮงส์ ที่ทำให้ผู้ชมรักตัวละคร ฟอเรสต์ กัมป์ และการแสดงอันทรงพลังของแฮงส์ไปพร้อม ๆ กัน การทำสถิติคว้า 2 ออสการ์ 2 ปีซ้อน เป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด ส่งให้แฮงส์กลายเป็นนักแสดงแถวหน้า ที่ไม่ว่าจะหยิบจับบทบาทไหนก็มักจะได้รับคำชื่นชมและขโมยหัวใจผู้ชมได้อย่างน่าประทับใจในทุกบทบาทไป
หลังประสบความสำเร็จ
โดยเฉพาะการทุ่มเทกับการแสดงอย่างจริงจังเข้มข้น หรือที่เรียกว่า Method Acting ทั้งการลดน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ใน ‘Philadephia’ (1994) เพิ่มน้ำหนัก 13 กิโลกรัม ด้วยการกินไอศกรีม Daily Queen ใน ‘A League of Their Own’ (1992) เพิ่มน้ำหนัก และลดน้ำหนัก 24 กิโลกรัมอย่างรวดเร็วในหนังติดเกาะเรื่อง ‘Cast Away’ (2000) ที่ส่งผลให้เขาตรวจพบโรคเบาหวานที่กลายเป็นโรคประจำตัวของเขาในเวลาต่อมา
แต่อย่างไรก็ตาม ผลงานการแสดงของเขา รวมทั้งในบรรดาหนังมาสเตอร์พีซนับหลายสิบเรื่อง ทั้ง ‘Saving Private Ryan’ (1998), ‘You’ve Got Mail’ (1998), ‘The Green Mile’ (1999), ‘The Terminal’ (2004) ‘Sully’ (2016) และการรับหน้าที่พากษ์เสียงนายอำเภอวูดดี้ในแอนิเมชัน ‘Toy Story’ ก็ส่งให้เขากลายมาเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าที่สามารถเอาอยู่และโดดเด่นในทุกบทบาทไม่ว่าจะเป็นบทบาทหลักหรือสมทบก็ตาม
แฮงส์ได้ก่อตั้งบริษัทผลิตหนังเป็นของตัวเองที่มีชื่อว่า เพลย์โทน (Playtone) และเริ่มทำงานเบื้องหลังทั้งการเป็นโปรดิวเซอร์ครั้งแรกในหนัง Cast Away’ (2000) รับหน้าที่กำกับครั้งแรกในหนังตลก ‘That Thing You Do!’ ที่ฉายในปี 1996 นอกจากนี้เขายังนำเอาแรงบันดาลใจจากความอยากเป็นนักบินอวกาศในวัยเด็กถ่ายทอดผ่านมินิซีรีส์ของ HBO ‘From the Earth to the Moon’ (1998) ร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ในสารคดี IMAX ‘Magnificent Desolation: Walking on the Moon 3D’ (2005) และยังเคยร่วมกำกับ เขียนบท เป็นครีเอเตอร์ ในมินิซีรีส์สงคราม ‘Band of Brothers’ ร่วมกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ในปี 2001 ด้วย
ตลอดระยะเวลากว่า 44 ปีในฮอลลีวูดกับผลงานภาพยนตร์ 82 เรื่อง นอกจากผลงานการแสดงที่การันตีด้วยการเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 ครั้ง และชนะ 2 ครั้ง เขาเองก็ยังขึ้นชื่อเรื่องการช่วยเหลือผู้คน ทั้งเรื่องเล็กน้อยตั้งแต่การบริจาคสิ่งของและเงินและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศลในหลาย ๆ องค์กร จนทำให้เขาได้รับรางวัลทรงเกียรติจากหลายสถาบัน ทั้งรางวัลเชิดชูเกียรติ ซีซิล บี เดมิลล์ (Cecil B. DeMille Award) จากเวทีลูกโลกทองคำ รางวัล Presidential Medal of Freedom จากอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา (Barack Obama) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รวมทั้งรางวัลจากองค์กรด้านอวกาศ การทหาร และอีกมากมาย
แฮงส์เคยถูกบันทึกชื่อใน ‘Guinness World Records ในฐานะนักแสดงชายที่มีหนังทำเงิน 100 ล้านเหรียญติดต่อกันมากที่สุดมากถึง 7 เรื่อง ตั้งแต่ ‘Saving Private Ryan’ (1998) จนถึง ‘Catch Me If You Can’ (2002) และเป็นเจ้าของสถิตินักแสดงนำที่ทำรายได้ในหนังดราม่าสูงสุดตลอดกาล โดยทำเงินได้กว่า 4,323 ล้านเหรียญจากหนังดราม่า 21 เรื่องของเขา และมีการประมาณการณ์ว่า แฮงส์จะได้รับค่าตัวที่ไม่รวมเปอร์เซ็นต์จากรายได้ อยู่ที่ประมาณเรื่องละ 25 ล้านเหรียญ
และแม้ว่าตลอดชีวิตเขาจะมีผลงานการแสดงที่ถูกเรียกว่าเป็นมาสเตอร์พีซหลายสิบเรื่อง แต่แฮงส์กลับรู้สึกไม่ค่อยชอบการแสดงของตัวเองในอดีตสักเท่าไหร่ แฮงส์ให้เหตุผลว่า เขามักจะเห็นแต่ข้อผิดพลาดในการแสดงของตัวเองและคิดว่าในชีวิตนี้ มีหนังที่เขารู้สึกว่าค่อนข้างใช้ได้อยู่แค่ 4 เรื่องเท่านั้น นั่นก็คือ ‘Forrest Gump’ (1995) ที่เขารู้สึกว่าได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ รวมทั้ง ‘A League of Their Own’ (1992) ‘Cast Away’ (2000) และ ‘Cloud Atlas’ (2012) ที่เขารู้สึกประทับใจประสบการณ์ส่วนตัวในขณะถ่ายทำเป็นพิเศษ
ชีวิตส่วนตัวของทอม แฮงส์
ด้านชีวิตส่วนตัว แฮงส์ เคยแต่งงานกับภรรยาคนแรก ซาแมนธา ลูอิส (Samantha Lewes) นักแสดงหญิงชาวอเมริกันมีลูกด้วยกัน 2 คน คือ โคลิน (Colin Lewes Hanks) และ อลิซาเบธ (Elizabeth Hanks) ก่อนจะหย่ากันในปี 1987 และแต่งงานอีกครั้งกับภรรยาคนปัจจุบัน ริตา วิลสัน (Rita Wilson) นักร้องและนักแสดง ในปี 1988 ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน คือ เชต (Chet Hanks) และ ทรูแมน (Truman Hanks)
นอกจากนี้ แฮงส์ยังมีงานอดิเรกที่ไม่ค่อยมีใครรู้ด้วย นั่นก็คือการสะสมเครื่องพิมพ์ดีด เขาเปิดเผยในภาพยนตร์สารคดี ‘California Typewriter’ ว่า แฮงส์เริ่มสะสมเครื่องพิมพ์ดีดตัวแรกในปี 1978 และในปัจจุบัน เขามีเครื่องพิมพ์ดีดในคอลเล็กชัน 250 ตัวที่ยังใช้การได้ดีมากถึงกว่า 90% นอกจากนี้เขายังคงใช้พิมพ์ดีดในชีวิตประจำวัน ทั้งการตอบจดหมายแฟนคลับ จดบันทึก และเขายังใช้เครื่องพิมพ์ดีดแต่งเรื่องสั้น 17 เรื่อง ที่มีเครื่องพิมพ์ดีดเป็นองค์ประกอบตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่มีชื่อว่า ‘Uncommon Type : Some Stories’ (ฉบับแปลภาษาไทย ใช้ชื่อว่า ‘พิมพ์ (ไม่) นิยม’ แปลโดย ภาณุ บุรุษรัตนพันธุ์ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ a book) และยังเปิดตัวแอปพลิเคชันจำลองเครื่องพิมพ์ดีดบน iPad ที่มีชื่อว่า Hanx Writer อีกด้วย
ทอม แฮงส์ ในวัย 66 ปี ยังคงขยันสร้างผลงานออกมาอยู่เรื่อย ๆ ทั้งการพัฒนาซีรีส์สงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับ สปีลเบิร์กเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เคยร่วมงานในฐานะครีเอเตอร์ เขียนบท และกำกับร่วมมาแล้วในซีรีส์สงครามทั้ง ‘Band of Brothers’ และ ‘The Pacific’ (2010) โดยตัวซีรีส์เรื่องนี้ใช้ชื่อว่า ‘Masters of the Air’ ที่จะสตรีมใน Apple TV+ และแฮงส์จะมีบทบาทในภาพยนตร์ร่วมกับนักแสดงนำระดับแม่เหล็กอีกคับคั่ง ในหนังโรแมนติกคอมมีดี้ดราม่า ‘Asteroid City’ ของผู้กำกับสายเป๊ะ เวส แอนเดอร์สัน (Wes Anderson) ที่เตรียมเข้าฉายในเดือนมิถุนายน ปี 2023 ที่จะถึงนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส